เอเสเคียล
Ezekiel

ผู้เขียน
เอเสเคียล
ช่วงเวลา
ก.ค.ศ. 595-574
( ระหว่างการเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลน )

วัตถุประสงค์
เพื่อกล่าวตักเตือน และเล้าโลมจิตใจแก่คนเหล่านั้นที่เป็นเชลย โดยนิมิต การแสดงภาพเปรียบเทียบ และคำเผยพระวจนะเกี่ยวข้องกับประเทศใกล้เคียง และทำนายถึงการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์

เนื้อหา
เล่มนี้ตั้งตามชื่อของผู้เผยพระวจนะเอเสเคียล ผุ้เป้นปุโรหิตในเยรูซาเล็ม เขาถูกนำตัวไปยังกรุงบาบิโลน พร้อมกับชาวยิวคนอื่น ๆ ที่ถูกกวาดต้อนไปในปี 598 ก.ค.ศ. บทที่ 1-24 เป็นคำพยากรณ์เกี่ยวกับการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม หลังจากเยรูซาเล็มพังพินาศ แล้วเอเสเคียลเริ่มป่าวประกาศถ้อยคำ ที่เป็นความหวังใหม่ของประชาชนชาวอิสราเอล ที่จะได้กลับคืนสู่ถิ่นฐานบ้านเดิม

โครงเรื่อง
คำเผยพระวจนะเรื่องกรุงเยรูซาเล็ม 1-24
คำเผยพระวจนะเรื่องประเทศต่าง ๆ 25-32,35
คำเผยพระวจนะเรื่องการนำกลับคืนมา 33-48

ข้อควรคิด

เป็นนักธรรมต้องเป็นนักทำด้วย
เอเสเคียล 33:32

" "และ นี่แน่ะ เจ้าเป็นเหมือนคนร้องเพลงรักแก่เขา มีเสียงไพเราะและเล่นดนตรีเก่ง เพราะเขาฟังสิ่งที่เจ้าพูดแต่เขาไม่ยอมกระทำตาม""

ฟังแต่ไม่ทำตามก็คือการไม่ฟัง
เอเสเคียล เป็นปุโรหิตที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลนพร้อมกับกษัตริย์เยโฮยาชิน ในปี กคศ. 597 ก่อนกรุงเยรูซาเล็มแตก เขานำท่านไปอยู่ที่เมือง เทลอาบิบ ริมฝั่งแม่น้ำเคบาร์ 5 ปีต่อมาพระเจ้าทรงเรียกท่านให้เป็นผู้เผยพระวจนะ ตอนนั้นท่านยังหนุ่มแน่นอายุ 30 ปี และท่านก็ยังคงรับใช้อย่างน้อยที่สุดอีก 22 ปี ท่านเผยพระวจนะแต่ไม่มีใครสนใจฟัง ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ทรงบัญชาให้ท่านเผยพระวจนะ แก่คนยิวที่ถูกเรียกว่า “พงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ” พระเจ้าให้ท่านเป็นใบ้ คือพูดเรื่องอื่นไม่ได้ เว้นไว้แต่คำเผยพระวจนะที่พระเจ้าต้องการตรัสกับชาวยิว ท่านเป็นใบ้ในลักษณะนี้อยู่นานถึง 7 ปี พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ทำไม พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ “ย้ำการตักเตือนในวาระสุดท้าย” ผู้พยากรณ์ในสมัยนั้น แม้ประเทศจวนเจียรจะแตก พวกเขาก็ยังพยากรณ์หวานๆให้ชาวเมืองฟัง ซึ่งทุกคนก็ชอบ แต่ไม่มีการแก้ไขสิ่งใด ตรงกันข้ามกับเอเสเคียล ท่านพูดตรงไปตรงมา ใครฟังก็เจ็บ แต่หากพวกเขาเชื่อฟังเขาก็จะได้รับการแก้ไข คนไทยเราว่า หวานเป็นลมขมเป็นยา ณ วันนี้ ในสังคมของเราที่กระทำความผิด ก็ยังมีคำเตือนสองประเภทนี้อยู่ สักแต่ว่าใครจะรับคำเตือนเพื่อแก้ไขปรับปรุง

วันหนึ่ง ท่านทราบข่าวเรื่องกรุงเยรูซาเล็มแตก วันนั้นปากท่านหายใบ้ หลายคนหันมาสนใจท่าน เข้ามาฟังสิ่งทีท่านพูด แสดงความสนใจราวกับจะกลับใจใหม่ แต่ในใจของคนเหล่านั้นก็หาได้เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ คงเป็นการแสดงออกแต่เพียงภายนอกให้ดูดี ส่วนภายในจิตใจก็ยังดื้อ กบฏเหมือนเดิม

พระเจ้าไม่สนพระทัยการแสดงออกภายนอกต่อหน้าคนเพื่อเพียงให้ดูดี ในขณะที่จิตใจภายในยังมิได้กลับใจเสียใหม่ พระเยซูตรัสว่า “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาแล้ว” อีกครั้งหนึ่งพระองค์ตรัสว่า “คนที่ฟังแต่ไม่ทำตามเหมือนสร้างเรือนไว้บนดินทราย พอพายุพัดมาก็พังพินาศ แต่คนที่ฟังและทำตาม ก็เหมือนกับการสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา พายุพัดมาหนักหน่วงแค่ไหน ก็ทนทานอยู่ได้” อย่าให้เราเป็นคนประเภทชอบฟัง เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา คำเตือนกลายเป็นเพลงรักไพเราะกล่อมให้หลับใหล คนไทยเราว่า คนดีชอบแก้ไข แต่คนจัญไรชอบแก้ตัว เมื่อเราเชื่อ เชื่อฟังและทำตาม เราก็แข็งแกร่งขึ้นในความเชื่อถึงซึ่งความรอดครับ

Visitor 605

 อ่านบทความย้อนหลัง