เสียงในธรรมชาติ คือเสียงสวรรค์

ศิษยาภิบาล

จากสูจิบัตรวันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน 2008
หน้า 8


“ตั้งแต่ทรงสร้างโลกมาแล้ว มนุษย์ก็ได้เห็นพระลักษณ์ของพระเจ้าอย่างชัดเจน เป็นพระลักษณะที่มองไม่เห็นด้วยตา นั่นคือฤทธานุภาพอันถาวรของพระองค์ เขาเห็นว่ามีพระเจ้าอยู่ โดยดูจากสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา”
(โรม 1:20)


เราเกิดมาพร้อมกับสัมผัสทั้งห้าในร่างกายของเรา รูป รส กลิ่น เสียง และกายสัมผัส

แหม! มันช่างเหมาะเจาะอะไรเช่นนั้น

เรามีตาที่สามารถมองเห็นความสวยงามของธรรมชาติ
ถ้าตาเราบอด โลกนี้คงมืดมนอย่างยิ่ง อยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร เพียงหลับตาสักครู่เราก็ตอบได้แล้วว่า ตามีประโยชน์กับเราแค่ไหน เรามีดวงตาสองดวง ทำให้เรามองเห็นภาพสามมิติ คือมีความลึกด้วย ยิ่งกว่านั้นโลกที่เราอยู่ก็ช่างสวยงาม
ให้ภาพที่ชวนมองน่าพิศวง

ลองคิดซิ
ถ้าโลกทั้งใบเป็นสีขาวดำ เหมือนทีวีขาวดำ ใจเราคงหม่นหมองแค่ไหน ตามทฤษฎีสี สีมี 2 ประเภทหลัก คือสีโซนเย็นและสีโซนร้อน สีโซนเย็นได้แก่ สีม่วง สีฟ้า สีคราม เขียว ส่วนสีโซนร้อนได้แก่สีน้ำตาล สีแดง สีแสด สีเหลือง สีโซนเย็นทำให้เราสบายตาสบายใจ ใครหนอช่างเลือกสีในธรรมชาติให้เรา เหมาะเจาะกับตาเราเสียเหลือเกิน ระบายท้องฟ้า และน้ำทะเลด้วยสีฟ้า ระบายต้นไม้ด้วยสีเขียว เหมือนกับบอกเราว่า เราอยากให้เจ้าใจเย็น สุขสงบ รื่นรมย์ และแซมชีวิตให้ตื่นตาตื่นใจด้วยสีแสดและแดง ลองคิดในมุมกลับซิ ถ้าโลกเรามีแต่สีดำน้ำตาลแสดแดงเป็นพื้นแล้วนานๆจะมีสีฟ้าเขียวแซมเข้ามาบ้าง ใจเราจะเป็นอย่างไร เราคงเกรี้ยวกราด ฉุนเฉียว น่าเกลียดเชียว

ลองคิดเรื่องอาหารการกินบ้าง

ใครหนอออกแบบระบบการรับรสให้เรา คนเรามีความสุขตอนกิน จริงไหม?
ความจริง การกินเป็นกระบวนการที่ร่างกายเอาอาหารไปเผาผลาญใช้ให้เกิดพลังงานแก่ตัวของเรา ถ้าเพียงเพื่อได้อาหารไปเผาผลาญ ทำไมคนเราไม่รับอาหารเหมือนหมอให้น้ำเกลือหรือกลูโคส ที่โรงพยาบาล หรือมีฝาเปิดปิดที่เอวเหมือนรถเติมน้ำมัน แล้วไปเติมพลังเอาตามต้นไม้ ...ว่าเข้านั่น

ใครหนอช่างดีไซน์ ให้ลิ้นของเรามีปุ่มรับรสชาติ ได้ทั้ง เค็ม เปรี้ยว หวาน เผ็ด และขม เราอาจบอกว่าปุ่มรับรสอยู่ที่ลิ้นก็เพื่อให้เราได้รู้รสนะซี แค่รู้รสเท่านั้นหรือ ไม่สนใจให้เรามีความสุขตอนกินหรือ เอ้า! ทำไมปุ่มรับรสเหล่านี้ไม่ไปอยู่ที่ปลายนิ้วล่ะ ใครอยากรู้รสอาหารชนิดไหนก็เอานิ้วไปแตะๆที่อาหารให้รู้รส ครั้นตอนกินก็กินเหมือนลิ้นจระเข้ เคี้ยวบดด้วยฟันไปตามหน้าที่ก่อนกลืน ทำไมต่อมรับรสชาติมันอยู่ทีลิ้นล่ะ เคี้ยวไปก็มีความสุขไป

เฮ้อ ทำไมมันเหมาะเจาะอย่างนี้
แล้วอาหารในธรรมชาติก็ช่างเป็นใจให้เราเสียด้วย คนเรากินข้าวเป็นหลัก รสจืดอมหวานนิดๆ เป็นรสพื้นๆที่เรากินได้ง่าย ถ้าข้าวมันเผ็ดเหมือนพริก ขมเหมือนยาหรือเป็นกากขยากเหมือนขี้เลื่อย เราคงอยู่ในโลกนี้ลำบากทีเดียว ใครออกแบบอาหารในธรรมชาติให้เรา หน้าร้อนก็มีแตงโมให้ชื่นใจ หน้าหนาวก็มีทุเรียนผลไม้ที่มีแคลอรี่สูงให้ร่างกายอบอุ่น ใครใส่น้ำมันไว้ในมะพร้าว ถั่วเหลือง รำข้าว ลองโลกนี้ไม่มีพริกขี้หนูซิ คนไทยจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย

กลิ่น หรือกายสัมผัสก็เหมือนกัน มันเหมาะเจาะไปหมด ผมไม่มีเวลาพอจะสาธยาย แต่เราคงนึกภาพออกว่า ถ้าอากาศที่เราอาศัยอยู่เหม็นเน่าโดยทั่วไป หรือหอมเหมือนใครฉีดสเปรย์กลิ่นกุหลาบอบอวลไปทั่วทั้งโลกตลอดเวลา เราจะอยู่ได้อย่างไร หรือถ้าโลกทั้งโลกไม่มี

น้ำหอมเลย พฤกษา หรือดอกไม้ก็ไม่หอม มันจะน่าเบื่อแค่ไหน โลกที่มีกลิ่นสะอาดสอดแทรกด้วยกลิ่นหอมหลากหลายปะปนเข้ามา สร้างความสดชื่นรื่นรมย์ให้เรามิใช่หรือ โลกเรามี 3-4 ฤดูหมุนเวียนกันไป นี่ถ้าเรามีแต่หน้าร้อน หรือหน้าหนาวอย่างเดียว มันจะเป็นอย่างไร ใครออกแบบให้โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ในหนึ่งปี ทำให้เรามีฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว ทำให้บรรยากาศและพืชพรรณธัญญาหารเปลี่ยนไปไม่น่าเบื่อหน่าย


วันนี้เรามาฟังดนตรี
หูคนเรานี่ ว่ากันว่าสามารถรับเสียงแตกต่างได้กว่า 3,000 เสียง
เสียงที่เป็นเหมือนของขวัญล้ำเลิศให้แก่หูของเรามีอยู่ในธรรมชาติทั้งสิ้น เสียงในธรรมชาติโดยสามัญไม่บาดหูเราแต่เป็นมิตรกับเรา เสียงคลื่นที่ชายหาด เสียงน้ำตก เสียงนกร้อง เสียงใบไม้ไหว จิ้งหรีด จักจั่นเรไร โลกเราหมุนรอบตัวเองเหมือนผลส้มหมุนรอบแกน นี่ถ้าเวลาหมุนรอบแกนก็ออกเสียงดังโครกๆ ครากๆ เหมือนเครื่องจักรของโรงงานบางแห่งก้องไปทั่วทั้งโลก เราจะอยู่กันอย่างไร เราจะย้ายหนีกันไปไหน ดนตรีอันไพเราะส่วนมากสร้างมาจากวัสดุในธรรมชาติ เลียนแบบเสียงในธรรมชาติที่เราคุ้นหู ฟังแล้วไพเราะ ชื่นมื่น ให้อารมณ์และจิตใจที่สบาย ดนตรีมีคีย์สูงต่ำ ที่รื่นหู เล่นผิดคีย์ก็เป็นเสียงแปร่งขัดหู ความหลากหลายของชิ้นดนตรี ที่ผสมผสานกันสร้างความไพเราะอย่างยิ่ง คนเรายังมีพรสวรรค์ที่สามารถ นำเสียงดนตรีเหล่านี้มาบรรเลงให้ได้ไพเราะยิ่งขึ้น
ความพอเหมาะพอเจาะเหล่านี้จะเกิดโดยความบังเอิญไม่ได้ ต้องมีพระผู้สร้างยิ่งใหญ่ที่เราเรียกว่าพระเจ้า พระองค์คือใคร พระองค์เป็นอย่างไร เราต่างก็คงสรุปได้ว่า พระองค์คือผู้ที่กอปรด้วยพระปัญญาล้ำเลิศ เป็นนักออกแบบที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้

ในเมื่อชีวิตของเราก็คือ ความมหัศจรรย์ด้วย เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ต้องเป็นพระบิดาของเรา พระองค์ทรงรักเราเพราะทรงเตรียมแต่สิ่งที่ดีๆให้เราไม่ใช่หรือ แล้วเราจะไม่แสวงหาที่จะรู้จักและขอบพระคุณพระองค์หรือ

สิ่งไม่รื่นรมย์ที่สอดแทรกเข้ามาในธรรมชาติ เช่น อุทกภัย อัคคีภัย หรือวาตภัย ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว น่าจะเป็นสัญญาณบอกให้ทราบว่า พระองค์ทรงเตือนให้คนเรารู้ถึงการที่คนเราออกนอกลู่นอกทางของพระองค์ ทำความผิดบาป ว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี เหมือนพ่อเตือนลูกที่ทำผิด เมื่อลูกออกนอกทาง พ่อที่รักลูกจริงจะเงียบเสียงไม่แสดงอาการอะไรเลยได้อย่างไร พระเจ้าก็เช่นเดียวกัน เตือนสติเราให้เราเข้ามาหาพระองค์ผู้ทรงรักและมีพระเมตตาต่อเรามิใช่หรือ
ให้เรารู้จักพระองค์ คือพระบิดาผู้รักเราโดยแท้


ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ



Visitor 112

 อ่านบทความย้อนหลัง