ไม่มีใครอยากคุยกับฉัน ทำไม?

สวัสดีค่ะพี่น้องทุก ๆ ท่าน

ระเด็นคุยกันวันนี้ เป็นเรื่องใหญ่สำหรับบางคนจริง ๆ เพราะมันทำให้คน ๆ นั้น หาความสุขใจไม่ค่อยได้ เพื่อน้อยสังคมแคบ ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้าง ทำให้...ทำให้ ที่สุดอาจลงเอยที่รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า โลกนี้ไม่สวยงาม ไม่ยุติธรรม แล้วอาจเลยเถิดก่อปัญหาร้ายแรง ทำร้ายจิตใจคนอื่น ทำลายความสุขในบ้าน ในครอบครัว ในหมู่คนรอบข้างทั้งในบ้านนอกบ้านอย่างไม่รู้ตัว แต่กับคนบางคน “ไม่มีใครอยากคุยกับฉันเหรอ” เรื่องเล็กไม่เห็นเป็นไร ไม่คุยก็อย่าคุย ไม่สนใจ ไม่ง้อ ฉันอยู่คนเดียวได้...คนที่คิดอย่างนี้ อาจมีปัญหาหนักกว่าคนพวกแรก น่าเห็นใจกว่า เพราะเขามีจิตใจหยิ่งยะโส ไม่ยอมรับความจริง ไม่เห็นปัญหา ไม่รู้ตัว จึงไม่คิดจะนำไปสู่การหาวิธีแก้ไข คนอย่างนี้บางเวลาอาจจะเก็บตัวเองร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอยู่คนเดียวเงียบ ๆ เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่า คนพวกแรก
“ไม่มีใครอยากคุยกับฉัน” จึงเป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรละเลย อย่าปล่อยให้กลายเป็นปัญหา ลามเข้ามาทำลายเสียงหัวเราะใน “บ้านดีมีสุข” ของเรา และตกอยู่ในภาวะที่เสียงครื้นเครงค่อย ๆ เบาลง จนกลายเป็นเงียบสนิท เหมือนที่เกิดขึ้นกับบ้านหลาย ๆ บ้าน ที่ฉันรู้จักมาแล้ว
เราจะช่วยกันค้นหาสาเหตุ เพื่อนำมาปรับ แก้ไข ไม่ให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์นะคะ
เราเพิ่งก้าวผ่านชีวิตเก่าเข้าสู่ปีใหม่ เพื่อต้อนรับชีวิตใหม่ได้ไม่กี่วัน ลองหันกลับไปทบทวนชีวิตเดิม ๆ จะเห็นชัดเจนว่า กิจกรรมของมนุษย์ทุกคน ล้วนต้องสื่อสารต้องมีกิจกรรมกระทำร่วมกับคนอื่น ๆ เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมกัน ต้องพี่งพาอาศัยกัน ต้องสามัคคีธรรมกัน คุณเห็นด้วยใช่ไหมคะ

การอยู่ร่วมกับคนอื่น ภาษาจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ที่ก่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน และภาษานั้น เป็นได้ทั้งคำพูดที่เปล่งเสียงออกมา หรือภาษากาย ที่แสดงออกทางสีหน้าอารมณ์ความรู้สึก ท่าทางของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายของคนคนนั้น
ภาษาที่เราใช้จึงเป็นสิ่งแรกที่ต้องพินิจพิเคราะห์ให้ถ้วนถี่ว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไม? ไม่มีใครอยากคุยกับฉัน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญเริ่มแรกจริง ๆ คือใจของคุณเอง คุณต้องการเปลี่ยน ต้องการแก้ไข ต้องการรู้สาเหตุ เพื่อนำมาปรับปรุงตัวเองอย่างจริงใจหรือไม่ ถ้า “ไม่” เรื่องที่คุยกันวันนี้จะทำให้คุณเสียเวลาไปปล่าว ๆ แต่ถ้าคุณคิดว่า “ใช่ฉันต้องการ” หลังจากคุยกันแล้ว ฉันเชื่อว่าชีวิตคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะใคร ๆ ก็อยากคุยกับคุณ แล้วอย่าเบื่อที่จะคุยกับใคร ๆ ที่อยากเข้ามาคุยกับคุณก้แล้วกัน

เริ่มกันที่ภาษากายก่อนเลยนะคะ คุณทำอย่างนี้หรือไม่
ให้ความสนใจคู่สนทนา เมื่อมีใครแสดงท่าทีอยากคุยด้วย คุณยิ้มรับให้ความสนใจทันที แม้ขณะกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ก็เงยหน้ามองเขา เก็บหนังสือพิมพ์แสดงอาการพร้อมจะคุยกับเขา หรือกำลังจะออกไปทานข้าวกับเพื่อน ๆ แล้วมีใครเข้ามาหามีเรื่องอยากคุยด้วย คุณรีบขอตัวจากกลุ่มเพื่อน แล้วชวนคนนั้นไปทานข้าวกันสองคนเพื่อรับฟังเรื่องของเขา เป็นธรรมชาติของมนุษย์ย่อมอยากคุยกับคนที่ให้ความสนใจตัวเอง แม้แต่ฉันก็รู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน
มองหน้าคู่สนทนา ทุกครั้งที่คุยกับใครต้องมองหน้า สบตาเขา พยักหน้าเป็นครั้งคราว หรือ ตอบรับบ้าง เช่น ค่ะ,ครับ...เพื่อทำให้เขารู้สึกว่าคุณกำลังฟังอยู่ เขาจะรู้สึกอบอุ่นใจรู้สึกรับรู้ได้ถึงมิตรไมตรีจิตของคุณมองย้อนกลับมาที่ตัวเราเอง ถ้าคู่สนทนาของเรา ไม่มองหน้าเราเลย เหลียวไปทางโน้นทีทางนี้ที ท่าทางยุกยิกไปมา เราจะรู้สึกเหมือนคุยอยู่คนเดียว หรือกำลังพูดกับตอไม้ที่ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ขั้นอย่าคุยกันดีกว่า คนอื่นก็รู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน

แค่ปรับปรุงท่าทาง 3 อย่างนี้ ฉันเชื่อว่าจะมีใคร ๆ อยากเข้ามาคุยกับคุณมากขึ้น ยิ่งคุณเปลี่ยนแปลงภาษาพูดให้โดนใจคุณผู้ฟังด้วยวิธีการง่าย ๆ ต่อไปนี้ ฉันรับรองว่า “ใคร ๆ ก็อยากคุยกับคุณ” พูดแต่สิ่งดี ๆ ให้พรทุกครั้งเมื่อมีจังหวะเวลา ไม่มีใครอยากฟังเรื่องไม่ดี หรือฟังคำสาปแช่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว เช่นเมื่อถูกถามว่า “กระเป๋าใบนี้สวยไหม เพิ่งซื้อมาราคาเท่านี้...” คุณตอบอย่างไร “สีนี้ไม่ค่อยสวยเลย ดูเก่า ๆ แพงไปนะเนี่ยฉันเห็นวางขายที่โน้นราคา...ถูกกว่า ทำไมเธอไม่ต่อราคาแม่ค้าล่ะ” คนถามจะรู้สึกแย่ไปในบัดดล ความสุขใจที่มีกระเป๋าใบใหม่หมดไปเลย เกิดความทุกข์ว่าตัวเองโง่ถูกคนขายหลอก เอากระเป๋าเก่ามาขาย แถมยังแพงอีกต่างหาก ถ้าคุณพูดแบบนี้กับทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ทำร้ายความรู้สึกคนฟังเป็นประจำ จะไม่มีใครอยากคุยกับคุณ คุยด้วยแล้วทุกข์ใจ จะคุยด้วยไปทำไม
แต่ถ้าคุณตอบ “สวยดีค่ะ เข้าชุดกับเสื้อตัวนี้เลย เนี๊ยบมาก “คุณกำลังให้ความรู้สึกดี ๆ กับเขา กำลังอวยพรเขานะคะ เขาต้องชอบคุณแน่ ๆ
ฉันเคยเจอกับตัวเองจัง ๆ เลย มีพี่น้องคนหนึ่งถามเรื่องบ้านว่าซื้อที่ไหนจะไปอยู่เมื่อไร พอฉันบอกว่าซื้อแถวเทพารักษ์ กำลังจะย้ายไปอยู่ เธอสวนกลับทันควัน “ซื้อแถวนั้นทำไม น้ำจะท่วมพี่ไม่รู้เหรอ” ฉันตอบกลับทันทีเหมือนกัน “พระเจ้านำพี่ไปซื้อตรงนั้น พี่เชื่อว่าพระเจ้าจะปกป้องดูแลเอง ถ้าบ้านเราจะต้องถูกน้ำท่วมในอีก 10- 20 ปีข้างหน้า อยู่ที่ไหนก็หนีไม่พ้น” เธอยังพล่ามต่อ “แต่เรารู้ล่วงหน้าก็ดีไม่ใช่เหรอ อาจารย์...ออกมาบอกว่าพื้นที่ตรงนั้น อนาคตจะถูกน้ำท่วมกลืนเป็นทะเล แล้วไปซื้อแถวนั้นทำไม” ฉันรู้สึกเศร้าใจกับพี่น้องคนนี้มาก ๆ เธอช่างไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่ ฉันไม่ได้ขอคำปรึกษาเธอว่าจะซื้อบ้านแถวไหนดี บ้านซื้อแล้วสร้างเสร็จแล้ว รอวันจะย้ายเข้าไปอยู่ สิ่งควรพูดคือ “ขอบคุณพระเจ้าที่ให้พี่มีบ้านสวยหน้าอยู่ อากาศดี ทำเลดี บ้านพี่จะเป็นพระพร สำหรับเพื่อนบ้านในหมู่บ้านนี้” ไม่ใช่ยกพระเจ้ามาเอาชนะคะคานจะให้ฉันยอมรับว่าบ้านฉันไม่ดี

นี่ถ้าฉันบ้าจี้ จิตใจอ่อนแอ ตกอกตกใจ กลับไปตีโพยตีพายในครอบครัว “แย่แล้ว ๆ ต่อไปบ้านเราจะถูกน้ำท่วมกลายเป็นทะเล” ฉันบ้าไหมเนี่ย เท่าที่ฉันสังเกต เธอคนนี้มีเพื่อนน้อยมาก เมื่อได้คุยด้วยบ้างเลยหมดข้อสงสัย ว่าทำไม ก็เธอไม่ค่อยให้พรใคร ไม่ค่อยพูดเรื่องดี ๆ ของใคร ถ้าคุณเหมือนเธอ คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมไม่มีใครอยาคุยด้วย พูดให้กำลังใจ หลายครั้งการพูดคุย คือการเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวผู้พูดเอง หรือปรับทุกข์อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง อยากทำอะไรบางอย่าง แต่ไม่มั่นใจว่าจะทำได้ หรือไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน เช่น
“แม่ใกล้สอบแล้ว หนูยังอ่านหนังสือไม่จบเลย กลัวสอบไม่ผ่านทำไงดีล่ะ”
“มัวไปทำอะไรอยู่ล่ะ วัน ๆ เอาแต่นอน ถ้าสอบตกก็โทษตัวเองแล้วกัน” ถ้าคุณตอบลูกแบบนี้ล่ะก้อ เชื่อขนมกินได้เลยว่าลูกจะไม่มาคุยกับคุณอีก คุยกับแม่ได้ไง คุยทีไรถูกด่าทุกที
ลองพูดใหม่นะคะ “ไม่เป็นไรลูก ยังมีเวลาอีกหลายวัน ลูกอ่านหนังสือทันแน่นอน ลูกต้องเชื่อว่าตัวเองสอบผ่านแน่นอน เกรด 4 ด้วย รู้ไหมถ้าลูกคิดอย่างนี้ ลูกชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว เอาละลูกรีบไปอ่านหนังสือเลย แม่เป็นกำลังใจให้ สู้..สู้ นะลูก เราต้องสอบได้แน่นอน” สั้น ๆ แค่นี้ลูกจะรักคุณมากขึ้น มีเรื่องอะไรก็อยากคุยให้แม่ฟัง เพราะคุยแล้วได้ปลดความทุกข์ออกไป รับความสบายใจเข้ามาแทน มีใครไม่ชอบบ้างละ?
คำพูดให้กำลังใจ เปรียบประดุจน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจให้ผู้ฟังสามารถฟันฝ่าอุปสรรคของชีวิต และมองเห็นคุณค่าของตัวเอง ทุกคนล้วนอยากได้ยินคำพูดแบบนี้กันทั้นนั้น พูดในสิ่งที่ถูกต้อง บางคนอยากเอาใจคนอื่น เออออห่อหมกไปกับทุกคนที่คุยด้วย ทั้ง ๆ ที่บางเรื่องฟังแล้ว ไม่เห็นด้วยไม่ค่อยถูกต้อง แต่ไม่กล้าทักท้วง กลัวเพื่อนไม่ชอบ กลัวลูกไม่พอใจ กลัวทะเลาะกับภรรยา (หรือสามี) เลย “ว่าไงก็ว่าตามกัน หมดเรื่อง” ถ้าคุณทำอย่างนี้ กับคนนอกบ้านเป็นนิจสิน ไม่ช้าไม่นานคุณจะกลายเป็น “บุคคลผู้ปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้าย” ที่มีแต่คนรังเกียจ เพราะเขาจะรู้กันในที่สุดว่า คุณไม่เคยแนะนำสิ่งดี ๆ ให้ใครเลย จึงไม่มีใครอยากคุยด้วย
การยืนหยัดในความถูกต้องทุกครั้ง ที่คุยกับใคร แรก ๆ เขาอาจไม่ชอบ แต่ต่อไป เมื่อเขาพบความจริง เขาจะกลับมาหาคุณและเชื่อใจ ไว้วางใจว่าคุณจริงใจกับเขา คุยกับคุณปลอดภัย ปลอดเชื้อร้าย แต่ถ้าคน ๆ นั้นเดินจากคุณไปด้วยความไม่พอใจที่คำท้วงติง ขัดใจเขา ไม่กลับมาอีก อย่าลงโทษตัวคุณเองว่าทำความผิด แต่เป็นเพราะคน ๆ นั้น ต้องการเลือกเดินอยู่บนทางชีวิตแห่งความผิดบาป จงปล่อยเขาไป
และถ้าคุณทำอย่างนี้กับคนในบ้าน คุณกำลังสร้างพลเมืองร้าย ซึ่งวันหนึ่งในอนาคต เจ้าพลเมืองร้าย นี้ จะหวนกลับมาทำร้ายคุณ ถึงวันนั้นคุณจะเสียใจ
การพูดในสิ่งที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องยึดมั่น แต่อย่าลืม ค้นหาวิธีการพูดที่เหมาะสมกับผู้ฟังแต่ละคน คุณจะรู้ด้วยตัวคุณเองว่าคน ๆ นี้ควรพูดแบบไหน พูดแบบนี้เขาสบายใจ พูดแบบนี้เขาอาจขัดใจบ้างแต่ไม่มาก วันนี้อาจงอนกลับไป เคืองขุ่นกลับไป เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มาคุยอีก ถ้าหากคุณมีความเอาใจใส่ สังเกตคู่สนทนา สนใจภาษากายของเขาทุกครั้ง คุณจะสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธวิธีการพูด เรื่องที่จะคุย ภาษาที่จะใช้ ให้คู่สนทนาฟังแล้วรู้สึกมีความสุข สบายใจ ได้ปลดภาระหนักอึ้งของตนเอง ที่สำคัญรู้สึกปลอดภัย ได้กำลังใจ ได้เห็นคุณค่าของตัวเอง ใคร ๆ จึงอยากคุยกับคุณไงคะ ฟังกับพูดให้สมดุลย์กัน ถ้าคุณได้แต่ฟังไม่พูดอะไร หรือพูดน้อยเกินไป คู่สนทนาจะอึดอัด ขณะเดียวกัน ถ้าคุณเอาแต่พูดให้เขาฟัง เขาจะเบื่อ เพราะคนที่เขามาหาคุณเพื่อคุยด้วย เขาต้องการเล่าเรื่องอะไรบางอย่าง ให้คุณฟัง และต้องการเห็นการตอบสนองของคุณ ดังนั้นเสน่ห์ของการดึงดูดคู่สนทนาจึงต้องเป็นผู้ฟังที่ดี รู้จักโต้ตอบตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม พูดเรื่องของเขา อย่าพูดเรื่องของตัวเองเกินความจำเป็น เพราะเมื่อเขาเข้ามาหาคุณ เขาต้องการให้คุณฟังเรื่องของเขา ไม่ใช่เข้ามาฟังเรื่องของคุณ

วิธีการพูด 4 แบบ นี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้มีคนอยากคุยกับคุณมากขึ้น แล้วอย่าลืมนำวิธีการเหล่านี้ มาใช้ในบ้านของคุณนะคะ ปลุกบ้านที่เคยเงียบเชียบ ให้เป็นบ้านที่ครื้นเครง จนเพื่อนบ้านอยากครื้นเครงเหมือนบ้านคุณมั่ง
ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรค่ะ

ข้อคิดจากพระคัมภีร์
อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดี และเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง
( เอเฟซัส 4:29)

ทั้งอย่าพูดคำหยาบ พูดเล่นไม่เป็นเรื่อง และพูดตลกหยาบโลนเกเร ซึ่งเป็นการไม่สมควร แต่ให้ขอบพระคุณดีกว่า
(เอเฟซัส 5:4)

ผู้สื่อสารไม่ดี ก็เอาคนจุ่มลงไปในความลำบาก แต่ ฑูตที่ซื่อสัตย์นำการรักษามาให้
( สุกาษิต 13:17)

ลิ้นของปราชญ์แจกจ่ายความรู้ แต่ปากของคนโง่เทความโง่ออกมา
( สุภาษิต 15:2)
ลิ้นที่สุภาพเป็นต้นไม้แห่งชีวิต แต่ลิ้นตลบตะแลงทำน้ำใจให้แตกสลาย
(สุภาษิต 15:4)

Visitor 774

 อ่านบทความย้อนหลัง