เปลี่ยนวิธีพูด แล้วชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป

สวัสดีค่ะพี่น้องทุกๆท่าน

เราเคยคุยกันเรื่อง “ไม่มีใครอยากคุยกับฉันทำไม?” เมื่อหลายวันก่อนและได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาอย่างหนึ่งของเรื่องนี้คือ การสื่อสารด้วยคำพูด ภาษากายอาจจะมองไม่ค่อยเห็นว่าเป็นสาเหตุได้ชัดเจนเท่าภาษาพูด วันนี้ขอกลับมากคุยกันถึงเรื่องนี้อีกครั้งนะค่ะ
ขอคุยเรื่องภาษาพูดล้วนๆ เพราะฉันเจอเข้ากับตัวเองเต็มๆ ทั้งเป็นผู้ถูกกระทำด้วยวาจา และเป็นผู้รับฟังเรื่องของผู้อื่นที่เป็นผู้กระทำเสียเอง

ฉันได้มีโอกาสคุยกับคุณแม่ท่านหนึ่ง อายุ 60 ปลาย ๆ สามีอายุ 80 ต้นๆ มีลูกคนเดียวอายุ 30 กว่า ๆ ทำ งานเป็นหลักเป็นฐาน ครอบครัวท่านฐานะดีมีรถ 3 คันมีบ้านให้เช่า มีที่ดิน มีบ้านอยู่หรูหรา มีกำลังซื้อมากมาย สามารถซื้ออาหารเสริมกินบำรุงร่างกาย ซื้อครีมบำรุงผิวพรรณเป็นหมื่นๆ บาท ฟังแล้วเป็นไงค่ะ ชีวิตนี้ไม่มีอะไรขาดแคลนไม่ต้องดิ้นรนหาอะไรมาเติมเต็มให้ครอบครัว สุโขสโมสรจริง ๆ

แต่ผิดถนัด คุณแม่ท่านนี้ยังดิ้นรนไปเข้าคอร์สอบรมการขายตรง สารพัดสินค้า อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลากว่า 10 ปีมาแล้ว จนปัจจุบัน ไม่ใช่เพราะท่านไม่พอเรื่องเงิน แต่เป็นเพราะท่านไม่มีความสุขใจ บ้านของท่านแม้จะหรูหราราคาแพง แต่ไม่ใช่บ้านดีมีสุข ท่านจึงต้องกระเสือกกระสนออกไปหาความสุขจากนอกบ้าน แล้วก็เฝ้าหลอกตัวเองไปวันๆ ว่า “ฉันมีความสุข” แต่สีหน้าแววตาของท่านมันฟ้องอยู่ทนโท่ว่า “ยิ้มของท่านอมทุกข์”



เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของท่าน เกิดจริง ๆ ค่ะ เกิดมานับ 10 ปี แต่ท่านไม่รู้ตัว แม้ท่านจะได้รับความรักจากสามีเต็มเปี่ยมจนน่าอิจฉา แต่ลูกของท่านได้หนีออกจากบ้านไปนานมากแล้ว 2 คนสามี-ภรรยาต้องอยู่กันอย่างว้าเหว่ สาเหตุเพราะท่านไม่ยอมรับความเป็นตัวตนของลูก

  • ท่านอยากให้ลูกเป็นอย่างนี้ แต่ลูกอยากเป็นอย่างนั้น
  • ท่านอยากให้ลูกเรียนอย่างนี้ แต่ลูกอยากเรียนอย่างนั้น
  • ท่านอยากให้ลุกทำอาชีพอย่างนี้ แต่ลูกอยากทำงานอย่างนั้น
  • ท่านเลยโกรธ เจอหน้าลูก คุยกันกี่ครั้งๆ ก็เอาแต่ด่าๆๆๆ แล้วก็ด่า
    สัตว์เลื้อยคลานตัวเล็กตัวใหญ่ที่ออกมายั้วเยี้ยแถวรัฐสภาบ่อยๆ ก็เลื้อยออกจากปากของท่าน วิ่งเข้ารูหูลูกเป็นประจำ ตั้งแต่ลูกเป็นนักเรียนจนในที่สุดลูกเลยหนีออกจากบ้านไปอยู่กับเพื่อนผู้รู้ใจ ไปดำเนินชีวิตตามต้องการของตน ซึ่งไม่ใช่เรื่องชั่วร้าย อะไร ปัจจุบันทำงานรายได้ดีฐานะมั่นคง อายุกว่า 30ปีแล้ว แต่คุณแม่ยังไม่เคยหยุดด่า แม้ขณะเล่าให้ฉันฟังก็ยังด่าลูกสลับเป็นฉาก ๆ

  • ฉันถามท่านว่า “รักลูกไหม คิดถึงเขาใช่ไหม” ท่านไม่ตอบ ฉันจี้จุดต่อ “คุณรักลูกมากนะเนี่ยคิดถึงเขาด้วย ไม่งั้นจะจำรายละเอียดเรื่องของเขาได้ถี่ยิบขนาดนี้ได้ยังไง คิดถึงเขารักเขาบอกเขาซิค่ะ” ท่านเล่าต่ออีก “เวลาฉันโทรไปหามัน ฉันรู้มันรับสาย แต่ไม่พูด ฉันด่ามันเลย ไอ้ เ.งี้.. ย รับสาย ทำไมไม่พูดวะ... มันรับสายทุกครั้งที่ฉันโทรไป แต่มันไม่ยอมพูด ฉันโมโหฉันต้องด่ามัน” เห็นมั้ยค่ะพี่น้อง คุณแม่ท่านนี้ แม้ไม่เห็นหน้าลูก แค่ส่งเสียงไปตามสาย ท่านยังปล่อยตัวอะไรต่อมิอะไรที่ไม่น่าฟัง พรั่งพรูไปตามสาย ไหลลื่นเข้ารูหูลูกอยู่เป็นประจำทุกครั้ง ถ้าคุณเป็นลูกอยากคุยกับแม่ อยากกลับบ้านมาเจอหน้าแม่ไหมเนี่ย

    เพราะสาเหตุจากแม่ พลอยทำให้พ่อต้องอ้างว้างไปด้วย เพราะท่านเล่าอีกว่า พ่อเคยพูดกับลูกขอให้กลับมาเยี่ยมบ่อยๆ ไม่ต้องเอาเงินมาให้แค่มาหาบ่อยๆ ก็ชื่นใจแล้ว ไม่ใช่มาหาปีละครั้ง ทั้งที่อยู่ใกล้ๆ โทรไปก็ไม่พูดด้วย ฉันฟังแล้วมึนตึ๊บ เห็นใจทั้งพ่อและลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวคุณแม่เอง ฉันรู้ว่าคำด่าลูกที่ท่านพูดให้ฟังนั้น จริงๆแล้วมันรุนแรงกว่าที่ท่านเล่าหลายเท่าตัว ไม่มีใครทนฟังอยู่ได้เป็น 10 ปี ลูกใครเจอแบบนี้ฉันเชื่อว่าต้องหนีทุกคน เพราะถ้าไม่หนีอาจบ้าได้



    เลยเสนอวิธีการพูดแบบใหม่ให้ท่านตรึกตรองดู “เวลาคุณโทรไปหาลูก พอเขารับสายบอกเขาเลย..พ่อ..แม่..คิดถึงลูกนะเมื่อไรจะมาหาละลูก” ถ้าเขาไม่พูดอะไรวางสายไป ไม่เป็นไร ทำใจเย็นๆ อีก 2-3 วันโทรไปใหม่ทำอย่างนี้อีก ถ้าเขาไม่พูดแต่ยังไม่วางสาย พูดต่อเล่าเรื่องพ่อ – แม่ ให้เขาฟังบ้าง เช่น “เมื่อวานพ่อกับแม่เหงาๆ อยู่กัน 2 คนเลยไปเดินเที่ยวห้าง มีขนมขายเยอะแยะ ลูกชอบกินอะไร แม่จะซื้อมาฝาก” ถ้าเขายังไม่พูดอะไร วางสายไปอีก ไม่เป็นไร อย่าโกรธ ทำใจเย็นๆ โทรไปคุยกับเขาอย่างนี้บ่อยๆ แต่อย่าพูดยืดยาวเซ้าซี้กวนใจ เขาจะคิดว่าแม่เปลี่ยนวิธีการใหม่ ไม่ด่าแต่กำลังทำสงครามประสาทกับเขา เลยกลายเป็นผลร้ายไปอีก พูดสั้นๆ แค่ให้ลูกรู้สึกว่า แม่คิดถึงจริงๆ ก็พอ

    ถ้าเขาใจอ่อนกลับมาเยี่ยม เห็นหน้าเขาปุ๊บเข้าไปกอดเขาเลย (ไม่ต้องเขินถ้าไม่เคยทำก็ลองทำดูไม่ยาก) ทักทายถามสารทุกข์สุกดิบ บอกเขาว่าพ่อ – แม่รักเขาคิดถึงเขา เหงามากที่ต้องอยู่กัน 2 คนอยากอยู่กันพร้อมหน้าพ่อ - แม่ - ลูก ด้วยวิธีการพูดที่เปลี่ยนไป ตลอดกาล ฉันเชื่อว่าคุณแม่ท่านนี้จะได้ลูกกลับคืนมาสู่อ้อมอก และบ้านที่เคยเงียบเหงาวังเวงของท่านจะเป็น “บ้านดีมีสุข” ท่านอายุมากแล้ว ไม่ต้องขวนขวายตะลอนๆ ออกไปไขว่คว้าหาเสียงหัวเราะนอกบ้าน มาหลอกตัวเองไปวันๆ อีก
    อีกตัวอย่างค่ะ ภรรยาคุยเล่นๆ กับสามี “ตั้งแต่แต่งงานมานี่ แม่ไม่เคยตื่นสายกว่าใครในบ้านนี้เลยนะ” สามีโต้กลับหน้าตาขึงขัง “ก็แม่เข้านอนก่อนใครนี่” ทั้งๆที่คืนที่เข้านอนก่อนลูก – สามี นับวันได้น้อยมาก เมื่อเทียบกับคืนที่เข้านอนทีหลัง หรือคืนที่ต้องรอลูกทำงานล่วงเวลากว่าจะกลับบ้านเกือบสว่าง แม่ยังต้องรอเปิดประตูให้ คำพูดอย่างนี้ คนฟังตีความหมายได้ว่า การกระทำดีๆ ที่เกิดขึ้นมีสาเหตุทำให้จำเป็นต้องกระทำ ไม่ใช่ทำด้วยความเต็มใจของผู้กระทำเอง จึงไม่มีความดีไม่ต้องชมเชย ส่อให้เห็นลักษณะจิตใจของผู้พูด ไม่เคยเห็นความดีของใคร คนพูดแบบนี้เป็นนิสัยเข้าที่ไหนวงแตกทันที ไม่มีใครอยากคุยด้วยแล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าคุณเป็นภรรยา คิดยังไงค่ะ

    ถ้าสามีคนนี้เปลี่ยนวิธีพูดใหม่ตลอดกาล เป็นชมเชย ขอบคุณจากตัวอย่างนี้ลองพูดใหม่ “ขอบคุณนะ แม่ที่เหน็ดเหนื่อยมาหลายสิบปี เพื่อดูแลลูกๆ กับพ่อ ขอบคุณจริง ๆ” แค่นี้เองรับรอง
    ภรรยายิ้มแป้นหน้าบานเป็นจานเชิง ทำงานบ้านทั้งวันไม่เหนื่อยเลย”

    ลองอีกตัวอย่าง เพื่อนเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง “นี่เธอคนนั้นเขาอวดว่าลูกเขาสอบได้มหาลัย...เหอะ..เป็นลูกใครก็สอบได้ก็เขามีตังค์ให้ลูกเรียนพิเศษเป็นปีๆ” ฟังแล้วเป็นไงค่ะ เหนื่อยเลย เพราะเธอเป็นอีกคนที่ไม่เคยเห็นความดีของใคร ใครทำอะไรที่ดี ๆ เป็นหาข้อมาโต้แย้งสารพัด นี่แสดงถึงความขมขื่นบางอย่างที่ฝังอยู่ใต้จิตสำนึก ทำให้รู้สึกอิจฉาและแสดงออกโดยไม่รู้ตัว ถ้ายังชอบติเตียนคนอื่นๆ แบบไม่สร้างสรรค์ให้คนอื่นฟังตลอดเวลา ไม่มีใครอยากคุยด้วย ฟังแล้วเบื่อค่ะ หาเรื่องรื่นหูไม่ค่อยได้ไม่รู้จะคุยไปทำไม คุยด้วยแล้วไม่มีความสุข

    ถ้าเธอเปลี่ยนวิธีพูดใหม่ตลอดกาล เป็น “ลูกเขาเก่งจัง ใครเป็นพ่อแม่ก็ชื่นใจ” ง่าย ๆ ด้วยภาษาไม่ซับซ้อนคนฟัง ฟังแล้วสบายใจดี ใครๆ ก็อยากฟัง ฉันก็อยากฟัง คุณก็อยากฟังใช่ไหมค่ะ

    เห็นความสำคัญของ “คำพูด – วิธีการพูด” ไหมค่ะ ว่า คำพูด สามารถสร้างสิ่งสวยงามจากสิ่งที่ดูหมองหม่นได้ แต่ขณะเดียวกันก็สามารถทำลายสิ่งสวยงามให้พังพินาศไปในบัดดลได้เช่นเดียวกัน เราจะน่าจะสำรวจตัวเองว่า เราชอบพูดแบบไหน ถ้าเป็นแบบสร้างสรรค์ให้กำลังใจ ชมเชย ยกย่องความดีคนอื่น หรือเวลาจะติเตือน ก็ทำด้วยความถ่อมใจ เข้าใจ จริงใจ ชี้ให้เห็นปัญหาชัดเจนพร้อมเสนอแนะให้ด้วย ดีมากเลยค่ะ พูดแบบนี้ต่อไป อย่าเปลี่ยนวิธีการพูดนะค่ะ

    แต่ถ้าคุณชอบพูดเหมือนตัวอย่างที่ยกมาละก้อ ไม่สายเกินไปที่จะแก้ไขไม่ว่าคุณจะมีอายุมากน้อยแค่ไหนเป็นเด็กวัยรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยทำงาน วัยพ่อ..แม่..ลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายาย เอาเป็นว่าสามารถแก้ไขได้ทุกวัย โดยเริ่มที่ความต้องการของคุณก่อนว่า ต้องการเปลี่ยนหรือไม่ ถ้าคิดว่า “ไม่ฉันจะเป็นของฉันอย่างนี้ใครจะทำไม ไม่ได้ขอใครกินนี่” ถ้างั้นหยุดอ่านเดี๋ยวนี้ ปิดคอมฯ เชิญลุกออกไปทำอะไรก็ได้ตามใจคุณ ไม่มีใครว่า ชีวิตเป็นของคุณ คุณมีสิทธิเลือกเอง แต่ถึงคราวน้ำตาตกอย่าหาว่าไม่เตือนก็แล้วกัน

    หากคุณต้องการแก้ไขจริงๆ สิ่งแรกต้องทำคือ เปลี่ยนวิธีคิดของคุณก่อน สังเกตไหมค่ะ ฉันใช้คำว่า “เปลี่ยนวิธีพูดตลอดกาล” คือไม่ใช่เปลี่ยนแค่ครั้งสองครั้ง แต่ตลอดกาลคือชั่วชีวิตของคุณเอง และต้องไม่หวนกลับไปพูดด้วย วิธีเดิม ๆ เด็ดขาด จะทำอย่างนี้ได้ ความคิด จิตใจ ของคุณต้องเปลี่ยน จึงสามารถเปลี่ยนวิธีพูดได้อย่างสบายใจเป็นธรรมชาติ และจริงใจจริงๆ เพราะไม่มีใครฝืนทำสิ่งตรงข้ามกับใจได้ตลอดไป สักวันต้องถูกจับได้ และวันนั้นศรัทธาในตัวคุณจะหมดไป เจ็บปวดนะค่ะ หรือคุณคิดว่าไม่?

    แล้วเราควรเปลี่ยนความคิดอะไรบ้างล่ะ

    เริ่มเดี๋ยวนี้เลยค่ะ ถ้าคุณไม่เคยขอบคุณพระเจ้าทุกกรณี ก็ลองเปลี่ยนมาคิดขอบคุณพระเจ้าในทุกสิ่งที่คุณมีอยู่ (พ่อ-แม่, สามี ภรรยา ลูก พี่น้อง บ้าน ฐานะ การเงิน ความรู้อาชีพ ฯลฯ ที่เป็นตัวคุณเอง (รูปร่างหน้าตา สติปัญญา ฯลฯ) และทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณตั้งแต่จำความได้จนถึงวันนี้ ลองคิดย้อนกลับแล้วคุณจะเห็นพระคุณพระเจ้ามากมายมหาศาล ทำให้รู้สึกพอใจในตัวเอง เลิกคิดเปรียบเทียบกับคนอื่นทุกเรื่องเด็ดขาด เลิกคิดค้นหาว่าอะไรเป็นเหตุให้เขามีอะไรดี ๆ กว่าเรา ถ้าเรามีอย่างเขา เราก็จะมีดีอย่างเขา นั่นเป็นความคิดของคนขี้อิจฉาไม่เคยยินดีในเรื่องดี ๆ ของใคร จึงหาความสุขไม่ค่อยได้ หน้าตาพลอยหม่นหมองตลอดเวลา


    ลองเปลี่ยนความคิดใหม่ “ฉันจะยินดีด้วยใจจริงกับทุกคนที่มาเล่าเรื่องดี ๆ ของเขาให้ฉันฟัง ฉันจะชมเชยเขาและเล่าเรื่องดีๆ ของเขาให้คนอื่นฟังด้วย” เปลี่ยนจากการมองโลกในแง่ร้าย มามองด้านบวกด้านสวยงาม คิดแต่สิ่งดี ๆ อะไรที่แย่ ๆ มองข้ามไปบ้าง เปลี่ยนจากคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เป็น “ไม่เป็นไร เขาคงไม่เจตนา ยกโทษให้” เปลี่ยนจากมองแต่ข้อบกพร่องของตัวเอง มาพินิจพิจารณาแต่ข้อดี ๆ ของเขาและของตัวเอง ชมเชยเขาและชมเชยตัวเองบ่อย ๆ จะทำให้คุณมองเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้นและคนอื่นก็ชอบที่คุณเห็นความดีของเขาด้วย เช่นกัน

    ความคิด 2-3 อย่างที่ว่านี้ยอมรับว่าเปลี่ยนไม่ได้ง่าย ๆ หรอกค่ะ เพราะมันอยู่ลึกลงไปในจิตสำนึกของทุกคน แต่ไม่มีอะไรยากเกินกว่าความตั้งใจที่จะทำของคุณ คุณทำได้แน่นอน ลองฝึกทำดู ปรับเปลี่ยนความคิดวันละเล็กวันละน้อย ทำทุกวันๆๆ อย่าหยุด ไม่นานความสำเร็จจะเป็นของคุณ คุณจะกลายเป็นคนใหม่ มีบุคลิกใหม่ หน้าตาชื่นบานฉายแววความสุขใจ ที่สำคัญ วิธีการพูดของคุณจะเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะคนที่มีจิตใจปรารถนาดี เห็นอกเห็นใจคนอื่น ชอบยกย่องชื่นชมความดีคนอื่น ย่อมไม่พูดทำลายจิตใจใคร มีแต่ให้คำพูดดี ๆ ให้กับคนรอบตัว และจากชีวิตที่เหงา ๆ ไม่ค่อยมีเพื่อน คุณจะมีมิตรสหายห้อมหน้าห้อมหลัง ทำให้จิตใจเบิกบาน แถมได้สุขภาพกายแข็งแรงตามมาด้วย

    และที่สำคัญที่สุด นำมาใช้ในบ้านด้วย พินิจดูว่าคนในบ้านของเราชอบพูดแบบไหน แล้วช่วยกันปรับปรุงแนะนำกันสอนกัน ใครพูดดีอยู่แล้ว ชมเชยให้กำลังใจ ช่วยกันทั้งพ่อ – แม่ – ลูก ญาติ ฯลฯ เพียงทุกคนในบ้านช่วยกันมองซึ่งกันและกัน และร่วมใจกันเปลี่ยนความคิดที่แย่ ๆ ให้งดงาม ช่วยกันฝึกวิธีการพูดให้ทุกคนชื่นใจ การดำเนินชีวิตของทุกคนจะเปลี่ยนไป บ้านคุณจะเป็น “บ้านดีมีสุข” ที่สมาชิกทุกคนอยากกลับบ้าน เมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมนอกบ้าน เพราะอยู่บ้านเราแสนสุขใจ

    ขอพระเจ้าอวยพระพรค่ะ
    ข้อคิดจากพระคัมภีร์
    ถ้อยคำที่พูดเหมาะ ๆ จะเหมือนลูกท้อทองคำล้อมเงิน (สุภาษิต 25:11)
    คำตอบที่อ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ
    (สุภาษิต15:1)
    ที่จะตอบให้เหมาะสมก็เป็นความชื่นบานแก่คน คำเดียวที่ถูกกาละก็ดีจริง ๆ
    (สุภาษิต 15:23)
    จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะได้รู้จักตอบให้จุใจแก่ทุกคน (โคโลสี 4:5)

    Visitor 99

     อ่านบทความย้อนหลัง