ทำไมเราจึงทำงานเป็นทีม


พระเยซูทรงสอนสาวกให้ทำงานเป็นทีม สาวกที่เดินตามพระเยซู มี 12 คน บางครั้งเมื่อพระองค์ไปในที่ต้องการความเชื่อมั่นเป็นเป็นพิเศษ พระองค์เลือกสาวกไปด้วย 3 คน คือเปโตร ยากอบ และยอห์น ทรงสอนเขาเป็นกลุ่ม ให้เขาช่วยพระองค์เป็นทีม ให้เขาร่วมมือกันทำงานเป็นทีม
เวลาพระเยซูส่งสาวกออกไปประกาศพระกิตติคุณ พระองค์ส่งออกไปเป็นคู่ๆ ( ลูกา 10:1 ) ผมคุ้นเคยกับการออกไปประกาศในหมู่บ้านจัดสรร วิธีดีที่สุด คือการออกไปเป็นคู่ๆ ไม่ใช่ฉายเดี่ยว “ข้าฯมาคนเดียว” อะไรทำนองนั้น
ทำไมการร่วมกันทำงาน เป็นทีมจึงเป็นวิธีการของพระเยซู

(1) จะได้ช่วยเหลือกัน
คนหนึ่งล้มอีกคนจะได้ช่วยพยุง คนหนึ่งท้ออีกคนจะได้หนุนใจ คนหนึ่งสร้างอีกคนจะได้เสริม

(2) มีพลังในการทำงาน “เชือกสามเกลียว”ขาดยาก ผมเคยไปที่สะพานโกลเดน เกท ที่เมืองซานฟราซีสโก ในรัฐคาลิฟอเนียร์ สะพานนี้เป็นสะพานแขวนเหมือนสะพานพระรามเก้าของเรา นายโจเซฟ สเตร้าท์ ได้ความคิดว่า สลิงที่ยึดสะพานเหล็กชิ้นโต มีน้ำหนักมาก ต้องประกอบขึ้นด้วยลวดเล็กๆเป็นพันๆเส้นรวมกันเข้าเป็นสลิง 1 เส้น เพราะมันมีพลัง ลองคิดถึงแขนสองข้างของเรา ถ้าเรามีแค่แขนข้างเดียว จะเป็นอย่างไร ท่านพอนึกออกได้ทันทีว่า ท่านคงทำอะไรไม่ได้อีกหลายอย่าง กินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถ เล่นดนตรี มันยากไปหมด จริงไหม

(3) ชดเชยส่วนที่ขาด เวลาเราทำงานเป็นทีม ประการหนึ่งที่เราต้องยอมรับ คือเรามีความสามารถต่างกัน ไม่มีใครเก่งทุกอย่าง นี่เป็นเหตุผลที่พระคัมภีร์เปรียบเทียบคริสตจักรว่าเป็นเหมือนร่างกาย และเราแต่ละคนเป็นอวัยวะแห่งพระกาย คนหนึ่งเป็นปากอีกคนเป็นตา ทำไมตาต้องแข่งกับปาก เพราะทั้งสองอวัยวะไม่เหมือนกัน พระเจ้าทรงสร้างให้ต่างกันเพื่อชดเชยส่วนที่เรามิได้มีมิใช่หรือ แม้แต่มือขวาที่เข้มแข็ง ถ้าขาดมือซ้าย ความเข้มแข็งของมือขวาก็คือความอ่อนแอของร่างกายไปทันที สามีภรรยา อยู่ด้วยกัน พระเจ้าทรงสร้างให้ต่างกัน ถ้าหญิงเหมือนชาย ขรึม คิดมากพูดน้อย มองไปข้างหน้าไม่ค่อยสนใจรายละเอียด เป็นอย่างนี้ไปทั้งสองคน ครอบครัวคงน่าเบื่อแท้ๆ หรือถ้าชายเหมือนหญิง พูดเก่ง ตื่นเต้น เก็บรายละเอียดไปหมด กันทั้งคู่ ครอบครัวก็คงเหินฟ้าแต่ไม่รู้ไปทิศไหน ชายชอบผู้หญิงตรงความละมุนละไมที่ตนไมมี และหญิงชอบผู้ชายที่เขาแข็งแกร่ง มั่นคงไม่ใช่หรือ

(4) ช่วยปกป้องคุ้มครองกันและกัน
ผมเคยผิดพลาดในการส่งผู้รับใช้คนเดียวไปทำงานต่างจังหวัด เขาเป็นผู้ชาย ผมได้รับรายงานจากคนในพื้นที่ว่า คนงานที่ผมส่งไปรับใช้ไปจีบลูกสาวเขา เป็นเหตุให้เขาไม่พอใจ ผมเรียกผู้รับใช้มาถาม เขาปฏิเสธและว่า เป็นความเข้าใจผิด เป็นการใส่ความ นี่คือความผิดพลาดที่ผมคิดไม่ถึงมาก่อน พระเยซูทรงส่งสาวกออกไปทีละสองคนๆ นี่ถ้าเขามีเพื่อนอีกคนหนึ่งไปด้วย ผมถามเพื่อนของเขาก็จะได้รับการยืนยัน เป็นการปกป้องคุ้มครองทำให้ปลอดภัยในการทำงาน

(5) ทำให้อุ่นใจ
พระคัมภีร์ว่า นอนคนเดียวไม่อุ่น สองคนถึงจะอุ่น พระคัมภีร์ข้อนี้พูดถึงสามีภรรยา แต่ก็อาจหมายถึงความอบอุ่นในทีมงานได้ด้วย พระเจ้าใช้โมเสสไปหาฟาโรห์ โมเสสปฏิเสธ พระเจ้าตรัสว่าจะให้อาโรนไปเป็นเพื่อน ดูตามท้องเรื่องจริงๆ เวลาโมเสสต่อรองอะไรกับฟาโรห์ โมเสสทำเองแทบทั้งสิ้น แต่โมเสสไม่มั่นใจ พอมีอาโรนไปด้วย ดูโมเสสจะอุ่นใจขึ้น เปาโลกับทิโมธีก็เหมือนกัน เปาโลมารอทีมงานอยู่ทีเอเธนส์ ทะไรไม่ได้มาก แต่พอทิโมธีมาถึงท่านก็เริ่มงานอย่างกระฉับกระเฉง อุ่นใจไงล่ะ

(6) ทำให้คำอธิษฐานของเรามีพลัง นี่เป็นพระดำรัสของพระเยซูไม่ใช่หรือ “ถ้าในพวกท่านที่อยู่ในโลกสองคนจะร่วมใจกันขอสิ่งใด พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ก็จะทรงกระทำให้” (มัทธิว 18:19)

(7) ทำให้สังคมเห็นความรัก
พระเยซูตรัสกับสวกของพระองค์ว่า เขาจะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของพระองค์ก็เพราะเขารักกัน (ยอห์น 13:35) คนเดียวจะรักกับใคร ให้ใครดู แต่พอมีสองคน คนก็จับตาดูว่าทั้งสองจะเป็นอย่างไร
สรุป ก็คือ ให้เรายิ่งทำงานเป็นทีม ร่วมมือกันแล้วพระเจ้าจะนำไปสู่ความ สำเร็จในปีใหม่ครับ

ขอพระเจ้าอวยพร

Visitor 706

 อ่านบทความย้อนหลัง