ความสว่างของโลก

คำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2009

ศจ.สมเกียรติ กิตติพงศ์

(ยอห์น 8:12)
พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ ต้องเดิน ในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”
ในงานเลี้ยงครั้งหนึ่งที่กรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูทรงยืนขึ้นและตรัสว่า พระองค์พระองค์ทรงเป็นความสว่างของโลก เมื่อพระองค์ตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นความสว่าง น่าจะหมายถึงพระองค์ทรงเป็นแหล่งแห่งความสว่าง เหมือนดวงอาทิตย์ มีความสว่างในตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากดวงจันทร์ที่สว่างเพราะได้รับแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์
ผมขอจุดเทียนเล่มนี้ และแทนภาพของพระเยซู พระเจ้าผู้ทรงมีความสว่าง แปลว่าอะไร มีความหมาย 3 ประการ คือ

(1) พระองค์ประเสริฐ พระเจ้าทรงชอบธรรม ปราศจากความบาป ใน 1 ยอห์น 1:9 พระเจ้าทรงเป็นความสว่างและความมืดในพระองค์ไม่มีเลย ถ้าเราร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์ และยังดำเนินอยู่ในความมืด เราก็พูดมุสา พระเยซูไม่เคยทำความบาป มีผู้พยายามจับผิดพระองค์มาก แต่พระองค์ตรัสว่า “มีผู้ใดในพวกท่านหรือที่ชี้ให้เห็นว่าเราได้ทำผิด” ( ยอห์น 8:46) ปีลาต กล่าวว่า “เราไม่เห็นว่าเขามีความผิดสิ่งใด” ( ยอห์น 19:4 ) พระองค์ทรงกอปรด้วยความรัก
(2) พระองค์ทรงพระปัญญา และความเข้าพระทัยล้ำเลิศ ใน ยอห์น 1:9 กล่าวว่า “ความสว่างแท้ ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงนั้นได้ แม้ในขณะนั้นกำลังเข้ามาในโลก”
มนุษย์ขาดความเข้าใจ แต่พระเจ้าทรงเป็นสัจจะธรรม พระวจนะในพระคริสตธรรมคัมภีร์ เป็นความจริงที่เชื่อถือได้ โลกสอนผิดๆถูกๆ แต่พระเยซูทรงเป็นความจ่ริงทั้งสิ่งพระองค์สอน และสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ
(3) พระองค์ทรงเปิดเผย เอเฟซัส 5:13 กล่าวว่า “สิ่งสารพัดที่ได้แสดง เปิดเผยออกโดยความสว่าง สิ่งนั้นก็ปรากฏแจ้ง เพราะว่าทุกๆสิ่งที่ปรากฏแจ้ง ก็คือความสว่าง” พระเยซูทรงดำรงชีวิตเปิดเผย ไม่มีอะไรปิดบังซ่อนเร้น ซึ่งแตกต่างจากพวกฟาริสี ที่ดำเนินชีวิตแบบหน้าอย่างหลังอย่าง มือถือสากปากถือศีล ตรงกันข้ามกับพระเยซูซึ่งจริงใจเสมอ ง่ายท่จะรู้จักพระองค์ เพราะชีวิตของพระองค์สว่าง

ส่วนเราเอง ก่อนมาพบพระองค์ เราเหมือนเทียนดับไร้ไฟ
(1) เราอยู่ในบาป (โรม 13:12-13) “กลางคืนล่วงไปมากแล้ว และรุ่งเช้าก็ใกล้เข้ามา ให้เราเลิกบรรดากิจการแห่งความมืด และสวมเครื่องอาวุธแห่งความสว่าง ให้เราประพฤติตัวเรียบร้อยสมกับเวลากลางวัน ไม่ใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย ไม่ใช่หยาบโลนลามก ไม่ใช่วิวาทริษยากัน” ชีวิตเก่าของเรา อยู่ในราคะตัณหาของเนื้อหนัง อันเป็นกิจการของความมืด เราซื้อหวย เมาเหล้ายา และอบายมุขนานา

(2) ทึบ,โง่เขลา (เอเฟซัส 4:18) “ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไร้สาระ โดยความคิดของเขามืดมนไป และ เขาอยู่ห่างจากชีวิตซึ่งมาจากพระเจ้า เพราะเหตุความรู้เท่าไม่ถึงการซึ่งอยู่ในตัวเขา” พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง กอปรด้วยความเข้าพระทัย แต่เราห่างพระองค์ เราเข้าใจอะไรผิดๆไปมากมาย เช่น เราคิดว่า “คนมาจากลิง” เราเส้นไหว้ผู้ตาย เราคิดว่าถ้าจะก้าวสู่ความเป็นใหญ่ต้องพยายามทำตัวเป็นนาย เราเชื่อพระราหูพระจันทร์ ฯลฯ เราอยู่ในความโง่เขลาเบาปัญญา เราคิดว่า แก่นสารของชีวิตอยู่ที่การมีเงินทอง อำนาจ เกียรติ เราเป็นคนทึบในความเข้าใจ

(3) ปิดบังซ่อนเร้น (ยอห์น 3:19) “มนุษย์รักความมืดมากกว่าความสว่าง เพราะกิจการของเขาเลวทราม” คนที่ทำผิดไม่อยากอยู่ในที่สว่างอยู่แล้ว นี่เป็นเหตุผลที่คนบาปอยู่ในที่มืดในนรกง่ายกว่าอยู่ในความสว่างของสวรรค์ มาสลาว นักจิตวิทยาชาวรัสเซีย เคยกล่าวว่าไม่มีใครเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้หากเขา ต้องปิดบังซ่อนเร้นเรื่องราวของตน ไปบ้านไม่ยอมให้คนที่บ้านรู้เรื่องที่ที่ทำงาน ไปโบสถ์เป็นคนละคนกับที่บ้าน คนที่มีสุขภาพจิตดีคื่อคนที่เปิดเผย ผ่องใส ทะลุประโปร่ง แต่ก่อนเรามิได้เป็นเช่นนั้นเลย เราเป็นบุรุษหรือสตรีลึกลับ

โดยพระคุณของพระเจ้า และความเชื่อพระองค์ทรงนำเรามาพบพระองค์ เราได้รับความสว่างจากพระองค์ วันนี้ไฟดวงนี้ติดขึ้นแล้ว เหมือนแสงเทียนที่ได้รับความส่ว่าง

พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก” (มัทธิว 5:14)
มีความหมาย 3 ประการเช่นเดียวกัน
(1) เราต้องมีชีวิตดี ( มัทธิว 14:16 )
“ท่านทั้งหลาย เป็นความสว่าง ของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะถูกปิดบังไว้ไม่ได้ 15เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในบ้านนั้น ทำนองเดียวกันพวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” เพื่อว่าเขาเห็นความดีที่ทำ ไม่ใช่ที่เราพูด เราต้องออกจากบาป ไม่คดโกง
ไม่โกหก ไม่อยู่ในอบายมุขอีกต่อไป
(2) เราได้รับความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ( มัทธิว 24:45 )
“ครั้งนั้นพระองค์ทรงบันดาลให้ใจเขาทั้งหลายเกิดความสว่างขึ้น เพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์ “ ตาเราสว่างขึ้น เราเริ่มรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร พระเจ้าทรงเป็นพระปัญญาของเรา
(3) เราเปิดเผย ( มัทธิว 5:15 )
หมายถึง เราไม่ต้องปิดบังซ่อนเร้นชีวิตอีกต่อไป หากเราไม่เดินในความความมืดอย่างในอดีต ก็ไม่จำเป็นที่เราต้องปิดบังตนเอง ตรงกันข้ามเราจะสำแดงตนเองแก่คนในสังคม เราจะพูดถึงความจริงของพระองค์

บางคนเอาถังครอบชีวิตของตนเองไว้ จะเปรียบถังกับอะไรดี อาจเป็นอะไรที่มาปิดปากของเรา ทำให้เราไม่พูดไม่เปิดเผยชีวิต เวลาเราปิดบังตัวเรา ไม่เพียงแต่สังคมไม่เห็นพระเจ้าในเรา เพื่อนบ้านไม่ได้ยินกิตติคุณ แต่ความส่ว่างในเราก็จะดับไปด้วย

วันนี้ขอให้ตะเกียงของเราติดอยู่และตั้งไว้บนเชิงตะเกียง

Click เพื่อฟังคำเทศนาที่นี่
Visitor 725

 อ่านบทความย้อนหลัง