การพูดความจริง

การพูดความจริง เป็นเรื่องที่กล่าวถึงกันมากในบ้านของเราในสัปดาห์นี้ หลังจากมีผู้ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องเหตุการณ์ในสงกรานต์เดือด เรื่องการอภิปรายกันในรัฐสภา วันนี้ผมไม่ได้พูดถึงการเมือง แต่ผมอยากพูดเรื่อง “การพูดความจริงตามหลักของพระคัมภีร์”

พระคัมภีร์สอนให้เราเป็นคนพูดจริง พูดตรง จริงใจ พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต”(ยอห์น 14:6) ชีวิตของพระองค์ตั้งอยู่บนความสัตย์ ไม่มีการหลอกลวง พระองค์ทรงใช้ชีวิตสอดคล้องกับพระดำรัส ในขณะที่มีศัตรูพยายามจับผิดพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “มีผู้ใดในพวกท่านหรือที่ชี้ให้เห็นว่าเราได้กระทำผิด ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา” ( ยอห์น 8:46 ) แม้ในภาวะอันตรายต่อชีวิต พระองค์ไม่เคยตรัสอะไรเพื่อเอาตัวรอด ตรงกันข้ามพระองค์ทรงยืนอยู่บนความจริงเสมอ เมื่อปีลาตถามพระองค์ว่า “พระองค์เป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์ เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลก เพื่อเป็นพยานให้แก่สัจจะ คนทั้งปวงที่อยู่ฝ่ายสัจจะย่อมฟังเสียงของเรา” (ยอห์น 18:33, 37) พระองค์ทรงสอนไม่ให้เราทำตามเสียงของมาร เพราะมารถูกเรียกว่าเป็นเจ้าแห่งการมุสา (ยอห์น 8:44) พระเยซูสอนสาวกของพระองค์ว่า “จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไป มาจากความชั่ว”

เปาโล พูดถึงการรับใช้ของท่านว่า “เพราะว่าเราจะกระทำสิ่งใดขัดกับความจริงไม่ได้ ได้แต่ทำเพื่อความจริงเท่านั้น” (2 โครินธ์ 13:8) ตอนผมเรียนลูกเสือสมัยเด็ก คำขวัญของลูกเสือคือ “เสียชีพ อย่าเสียสัตย์” ลองคิดซิว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงให้ความสำคัญกับการพูดความจริงแค่ไหน

การพูดจริงง่ายกว่าพูดเท็จ
ง่ายกว่าเพราะเราไม่ต้องออกแรงปั้นน้ำให้เป็นตัวขึ้นมา ก่อนพบภรรยาที่บ้านไม่จำเป็นต้องเตรียมชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมให้ภรรยาเชื่อ ก่อนคุยกับเจ้านายในบริษัทเราก็ไม่ต้องพยายามผูกเรื่องแก้ตัว ก่อนให้การในศาลเราก็ไม่จำเป็นต้องเตรียมซักซ้อมอะไรเพราะกลัวพูดผิด ตรงกันข้ามกับคนที่พูดเท็จ ต้องปะติดปะต่อเรื่องให้มันเข้ากันบนเรื่องที่ไม่จริง มันยุ่งยากแค่ไหน

ความจริงทำให้เราเป็นไทย
พระเยซูตรัสว่า “สัจจะทำให้ท่านเป็นไทย” ( ยอห์น 8:32 ) เวลาคนเราพูดจริง อยู่บนความจริง ใจเราก็มีอิสระไม่ถูกผูกมัด ไม่ฟ้องร้อง สุขใจ ปราศจากความกลัว เพราะเราจะไม่ต้องหวาดหวั่นว่าใครจะมาโจมตี เป็นวัวสันหลังหวะ พระเยซูตรัสว่าท่านจะเป็นไทย ตรงกันข้าม การพูดเท็จเหมือนเชือกที่ยิ่งพันกันยุ่ง ยุ่งเหยิงเหมือนวัวพันหลัก

หันมาเดินบนความจริงคือการแก้ไข
ผู้ทีถ่อมใจเข้ามาเชื่อพระเจ้า เป็นคนเคยทำผิดทุกคน เราเป็นเหมือนบุตรน้อย พระเจ้าไม่สอนให้เราปกปิดความผิดตรงกันข้าม ทรงสอนให้เราสำนึกผิดและกลับใจใหม่ พระองค์ตรัสว่า “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณก็เป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา” (มัทธิว 5:3) พระเจ้าทรงมีพระเมตตา พร้อมอภัยให้เราเวลาเราสำนึกและกลับใจใหม่ ไม่ใช่แก้ตัว ยากอบกล่าวว่า “พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ทรงประทานพระคุณแก่คนที่ใจถ่อม” (ยากอบ 4:6) ผมเองสังเกตว่า น่าคิดนะครับ พระเจ้าทรงใส่คุณธรรมไว้ในใจของคน สังคมไม่ชอบคนหยิ่ง สังคมไม่เห็นอกเห็นใจคนไม่สำนึก แต่พอใครกลับใจ ยอมรับผิด ใจคนก็ให้อภัยได้ไม่ยาก

คนพูดจริงมีเครดิต
การพูดความจริง ทำให้คนเชื่อถือ สุภาษิต 12:19 กล่าวว่า “ริมฝีปากที่พูดจริง ทนอยู่ได้เป็นนิตย์ แต่ลิ้นที่พูดมุสาอยู่ได้เพียงประเดี๋ยวเดียว” เราคงจำนิทานอีสป เรื่องเด็กเลี้ยงแกะได้ หลอกให้คนทั้งหมู่บ้านวิ่งขึ้นไปช่วยบนภูเขา บอกว่า หมาป่ามากัดกินลูกแกะของเขา พอคนขึ้นไป เด็กขี้โกหกคนนี้ก็หัวเราะ ครั้งหลังหมาป่ามาจริง วิ่งมาบอกให้ใครขึ้นไป คราวนี้หาคนช่วยไม่ได้ ทำได้ทีเดียวก็จบ การพูดจริงยืนบนความจริง ความเชื่อถือของผู้คนยิ่งเกิดขึ้นกับเรา เครดิตไม่ได้เกิดขึ้นได้ในวันเดียว มันต้องค่อยๆสร้างขึ้นไป

พระคัมภีร์เป็นพระวจนะแห่งความจริง
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ไม่มีการเขียนแบบหลอกล่อใคร ผมอยู่กับพระคัมภีร์มานานหลายปี ขอรับรองว่า การอ่านพระคัมภีร์ไม่เพียงแต่ไม่มีพิษมีภัยกับใครเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความจริงแห่งชีวิต ใจมีอิสระ จำเริญขึ้น ได้รับกำลังใจ เข้าใจพระเจ้ามากขึ้น และมีความสุขอย่างแน่นอน

ขอพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านยืนอยู่บนความจริงนะครับ



Visitor 712

 อ่านบทความย้อนหลัง