พฤษภาคม เดือนแห่งการเรียนรู้

ฟัง และ ทำตาม

ศิษยาภิบาล


“เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตามเล่า เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่ง ( มัทธิว 7:24-27 )

พระคัมภีร์ไบเบิล เป็นความจริง ที่ท้าทายคนทั้งโลก ท้าทายคนให้เชื่อหรือปฏิเสธ ให้คนที่เชื่อจริงทำตาม เพราะทำตามแล้วมีแต่ความเข้มแข็งมั่นคง

พระคัมภีร์ถูกแบ่งออกเป็น 2 ภาค ภาคพันธสัญญาเดิม มี 39 เล่ม ส่วนภาคพันธสัญญาใหม่มี 27 เล่มย่อย เขียนขึ้นโดยผู้เขียนประมาณ 30 คน
โลกนี้ มีภาษาทั้งหมด 6,909 ภาษา ปัจจุบันมีการแปลพระคัมภีร์ 2,454 ภาษา (ตัวเลขนี้ รวมทั้งที่แปลเพียงบางส่วนของพระคัมภีร์ และที่แปลทั้งเล่ม) ภาษาที่แปลไปทั้งเล่มแล้วมีถึง
438 ภาษา 1,168 ภาษาที่มีเฉพาะพระคัมภีร์ใหม่ มี 848 ภาษาที่มีพระคัมภีร์อย่างน้อยก็ 1 เล่มย่อย เช่น มัทธิว ยอห์น เป็นต้น ก็นับว่าเป็นหนังสือที่ถูกแปลออกไปทั่วโลกมากที่สุด ขณะนี้ที่อยู่ในระหว่างการแปล มีถึง 1998 ภาษา ( Wycliffe Bible Translator, NZ.)

พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า เขียนขึ้นโดยการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์
( 2 ทิโมธี 3:16) อันหมายถึง ผู้เขียน เขียนไปตามสถานการณ์ในสมัยนั้นๆ เขียนด้วยสำนวน ภาษาของตนเอง แต่พระเจ้าทรงควบคุมการเขียนของผู้เขียนโดยวิธีพิเศษให้การเขียนออกมามีความหมายถูกต้องไม่ผิดพลาด จนสามารถนำมาใช้อ้างอิงได้ ไม่มีหนังสือเล่มใดในโลกที่เป็นแบบนี้เว้นไว้แต่พระคัมภีร์
พระคัมภีร์มีเรื่องเอก คือเรื่องความรอด นั่นคือ คนเราพ้นโทษบาปได้เพราะการไถ่โทษ โดยพระเยซู พระคัมภีร์มีทั้งหลักความประพฤติ คำหนุนใจ พระสัญญา คำเผยพระวจนะ คำพยากรณ์ มีเรื่องราวประวัติศาสตร์ เรื่องปัจจุบัน และอนาคต เขียนเพื่อสั่งสอน ปรับปรุง ตักเตือน ว่ากล่าว ให้เราเป็นคนดีขึ้น พระคัมภีร์ไม่มีพิษภัยแก่ผู้อ่านทั้งสิ้น ไม่ว่าเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ จึงไม่ต้องระบุด้วยตัวอักษร ว่าเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีห้ามอ่าน หรือห้ามดูอย่างรายการทีวีบางรายการ
วันนี้มีคนอ่านพระคัมภีร์ ฟังพระวจนะมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก คริสเตียนบางคนเป็นคริสเตียนมานานหลายปี ยังไม่เคยอ่านพระคัมภีร์จบเลย สักเที่ยวเดียว น่าเสียดาย ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งท่านต้อง วางโปรแกรมให้ตัวเองแล้วละครับ อ่านให้จบเสียใน 1 ปีก็จะดียิ่ง เริ่มต้นอ่านแบบ ลุยอ่านให้รู้ผ่านตา เหมือนนั่งรถชมกรุงเทพ ดูซิว่ามีอะไร อยู่ที่ไหนบ้าง จบไปแล้ว ก็อ่านแบบเจาะเป็นเรื่องๆ เป็นที่ๆไป เหมือนคนลงไปชอบปิ้งแถวประตูน้ำ รู้ให้ลึก ที่สำคัญควรอ่านพระคัมภีร์ ด้วยใจน้อมยอมฟัง
อ่านแล้วปฏิบัติ อ่านแล้วทำ รู้ที่สมองแต่ต้องให้มันลงมาถึงมือและเท้า คือลงมือทำ
ท่านก็จะมีประสบการณ์ อ่านแล้วไม่ทำอะไร ก็ไร้ประโยชน์ พระเยซูทรงเปรียบเทียบคนที่อ่านพระคัมภีร์ประเภทนี้ว่าเหมือนคนที่สร้างบ้านบนทราย คือไร้รากฐาน เหมือนคนหลักลอย หรือหลักปักขี้เลน พอพายุพัดมา ก็ถูกพายุพัดพินาศไป เพราะไม่รู้จริง รู้แค่มันสมอง มีคนมาแย้งก็หวั่นไหวแล้ว ตรงกันข้ามพระเยซูสอนเราว่า เราต้องอ่านแล้วลงมือทำ ปฏิบัติตาม คนที่เชื่อฟัง เอาจริงเช่นนี้กับสิ่งทีตนเรียนรู้เช่นนี้จะเป็นคนที่มีประสบการณ์ มั่นคง ไม่หวั่นไหว เหมือนบ้านที่สร้างบนศิลา พายุพัดกระหน่ำแค่ไหนก็ไม่ล้มลง ต้านทานอยู่ได้ ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นด้วยซ้ำ
อย่าเอาแต่ฟัง เก็บภูมิรู้จากพระคัมภีร์ แต่ต้องลงมือทำตามเป็นเรื่องๆ ชีวิตของท่านจะมั่นคงแข็งแรง ไม่หวั่นไหวอย่างแน่นอน

Visitor 262

 อ่านบทความย้อนหลัง