ท่าทีในการสงเคราะห์

การช่วยเหลือคนยากจน เป็นสิ่งที่อยู่ในพระทัยของพระเจ้า

อ่านพระคัมภีร์เดิม จะเห็นว่า พระเจ้ามีพระทัยช่วยเหลือคนยากจน เช่น โบอัสสอนคนใช้ของตนว่า เวลาพวกเขาเกี่ยวข้าว ให้แกล้งทำข้าวร่วงไว้ เพื่อคนจนจะได้มาเก็บเล็มเศษข้าวที่ตกในท้องนา (นางรูธ 2:15-16) ไม่คิดดอกเบี้ยเงินยืมจากคนจน (อพยพ 22:25) ไม่เรียกเงินประกันจากคนจน เมื่อมีการหยิบยืมเงินหรือข้าว (เนหมีย์ 5:10) ในการทำนา หรือสวนองุ่น เมื่อทำมาครบ 6 ปี พอถึงปีที่เจ็ด ให้ปล่อยท้องนาหรือสวนองุ่นว่างไว้ปีหนึ่ง เพื่อคนจนที่ไม่มีที่ทำกินได้เก็บกิน (อพยพ 23:10-11;เลวีนิติ 23:22) ใช่ บางทีอาจมีคนจน ที่ยากจนเพราะการขี้เกียจ ซึ่งพระคัมภีร์สอนให้เราตักเตือนเขา (1 เธสะโลนิกา 5:14) อย่างไรก็ตาม มีคนที่ยากจนเพราะเหตุอื่น เข่น เป็นหม้ายไร้ที่พึ่ง เป็นลูกกำพร้า พิการ หรือพบวิกฤติเช่น การกันดารอาหาร เป็นต้น พระเจ้าสอนให้เรามีใจสงสารเขา และว่า “คนจนจะไม่หมดไปจากแผ่นดิน” พระองค์จึงมีพระบัญชาให้เรายื่นมือไปช่วย ด้วยใจกว้างขวาง ( เฉลยธรรมบัญญัติ 15:10-11)

พระองค์ทรงยอม รับแบกภาระแทนคนจน โดยตรัสว่า “ผู้ใดเอาใจใส่คนจน ก็เป็นสุข พระเจ้าทรงช่วยเขาในวันยากลำบาก” (สดุดี 41:1) บุคคลที่เอ็นดูคนยากจนก็ให้พระเจ้าทรงยืม พระองค์จะทรงตอบแทนการกระทำของเขา (สุภาษิต 19:17)
พระเยซูเมื่อทรงเสด็จดำเนินในโลกนี้ พระองค์ทรงนำข่าวดีมายังคนยากจน
( ลูกา 4:18) และ ใครก็ตามที่ให้อาหาร เสื้อผ้า ที่พักพิง แก่คนจนก็เหมือนกับได้ทำกับพระเยซูเองโดยตรง ( มัทธิว 25:35-36) พระเยซูสอนเราว่า “เมื่อท่านทำการงานเลี้ยง จงเชิญคนจน คนพิการ คนขาเขยก คนตาบอด แล้วท่านจะเป็นสุข เพราะเขาไม่มีอะไรจะตอบแทนท่าน” ( ลูกา 14:13-14)



ท่าทีของการช่วยเหลือคนยากจน

1.เราต้องตระหนักถึงพระคุณของพระเยซู (2 โครินธ์ 8:9)
หากเรามั่งมีขึ้น ก็เพราะพระองค์ทรงยอมยากจนเพื่อเรา พระองค์ประทับในสวรรค์ มั่งคั่งอย่าง
ยิ่ง แต่พระองค์ทรงยอมเสด็จเข้ามาในโลก ทุกข์ยาก คลอดในรางหญ้า ไม่มีทรัพย์สินอะไร จนถึงความมรณาที่กางเขนเพื่อเรา เป็นแบบอย่างให้เราทำตาม เราเป็นหนี้บุญคุณ

2. เราต้องทำการกุศล ไม่ใช่เพื่ออวดใคร ( มัทธิว 6:1-4 )
การกุศลที่ผู้ทำได้ทำเพื่อให้คนสรรเสริญเยินยอมีอยู่ดาษดื่น ทำแล้วก็โชว์ให้คนเห็นที่หน้าจอโทรทัศน์ หรือที่สลักไว้ที่แผ่นทองเหลือง พระเยซูตรัสว่า ให้ทานของท่านเป็นทานลับ พระเจ้าเท่านั้นทรงทราบ พระเจ้าเองจะเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้

3. เราต้องทำด้วยใจกว้างขวาง ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง (โรม 12:8)
“ถ้าเป็นการบริจาค ก็จงให้ด้วยใจกว้างขวาง” เวลาพระเยซูเลี้ยงประชนอย่างอัศจรรย์ ด้วยขนมปัง 5 ก้อน ปลา 2 ตัว พระองค์มิได้แยกผู้ที่เชื่อและออกจากผู้ไม่เชื่อ ทุกคนที่มาฟังพระองค์ได้อาหารอิ่มทุกคน เมื่อพวกศิษย์ ในเยรูซาเล็มเกิดความรู้สึกว่า อัครทูตมีใจลำเอียงในการแจกทานระหว่างแม่หม้ายขาวกรีก และแม่หม้ายชาวฮีบรู พวกอัครทูตก็จัดการแก้ไขเรื่องนี้ทันที ( กิจการ 6:1-6) โดยให้คริสตจักรเลือกมัคนายก 7 คนมาช่วยทำการนี้แทน

4. เราต้องทำด้วยใจยินดี (2 โครินธ์ 9:7)
“ไม่ไช่ด้วยนึกเสียดาย ไม่ใช่ด้วยการฝืนใจ เพราะพระเจ้ารักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี” การช่วยเหลือที่ให้โดยไม่เต็มใจ มิได้มีพระพรแต่อย่างใด ของถวายในพระคัมภีร์เดิม เป็นของถวายที่ให้ด้วยใจสมัครทั้งสิ้น (เลวีนิติ 22:18)

5. ให้โดยไม่หวังการตอบแทน (ลูกา 14:14)
ไม่ใช่ หมูไปไก่มา ไม่ใช่ให้อย่างมีเลศนัย หรือมีผลประโยชน์แอบแฝง เราต้องช่วยเขาเพราะเรารักพระเจ้า และเรารักเขา การบริจาคไม่ใช่การค้าหรือหวังกำไร ตรงกันข้ามเวลาคนที่ได้รับมีความสุข เราก็สุขใจแล้ว แม้พระเจ้าทรงสัญญาพระพรมากมาย แต่การให้ของเราต้องไม่ได้อยู่ที่พระพรย้อนกลับ แต่อยู่ที่ความชื่นใจที่คนจนมีความสุข

พระเยซูตรัสว่า “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” (กิจการ 20:35)

ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพระพรครับ

Visitor 317

 อ่านบทความย้อนหลัง