พระคริสต์เป็นสามีของคริสตจักร

โรม 7:4

เช่นนั้นแหละ พี่น้องทั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้ตายจากธรรมบัญญัติทางพระกายของพระคริสต์ เพื่อท่านจะตกเป็นของผู้อื่น คือของพระองค์ผู้ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว เพื่อเราทั้งหลายจะได้เกิดผลถวายแด่พระเจ้า

พระเยซูถูกเรียกว่าเป็น”เจ้าบ่าว” ในขณะที่ผู้เชื่อถูกเรียกว่าเป็น “เจ้าสาว” ของพระเยซู อาจารย์เปาโล บอกว่าท่านได้ หมั้นพวกท่านไว้กับ “พระเยซู” แล้วท่านยังบอกด้วยว่า พระเยซูหึงหวงท่าน เวลาท่านพูดถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างสามีกับภรรยา ท่านก็เปรียบ พระเยซูกับคริสตจักร

ผมอยากพูดถึงความสัมพันธ์นี้สักหน่อย เนื่องจากวันนี้เรามีการจัดประชุมสัมมนาพิเศษที่คริสตจักร ในหัวข้อ “รู้จักพระคริสต์ สร้างศิษย์พระองค์”

1.ภรรยา เปลี่ยนนามสกุลตามสามี
ไม่กี่ปีมานี้ รัฐบาลออกกฎหมายให้ ภรรยาสามารถใช้นามสกุลเดิมของตนก็ได้ ซึ่งเป็นการ แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปจาก มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ.2505 บัญญัติว่า "หญิงมีสามีให้ใช้ชื่อสกุลของสามี" ผมไม่เห็นด้วยกับกฎหมายใหม่ หนักไปกว่านั้น วันนี้หญิงที่แต่งงานแล้วสามารถใช้ “นางสาว” แทน “นาง”ได้

การเป็นคนคนเดียวกัน การยอมฟัง การยอมว่า เราเป็นของของเขา เป็นแนวความคิดของพระคัมภีร์ คริสตจักรในฐานะที่เป็นเจ้าสาวของพระคริสต์ ต้องตระหนักเรื่องนี้ “เราเข้าเป็นอันเดียวกับพระคริสต์” “เราเป็นของของพระองค์” “พระคริสต์ทรงเป็นเจ้าของคริสตจักร” ไม่ใช่เป็นเอกเทศ

2.ความคิดของภรรยา หล่อหลอมเข้ากับ ความคิดของสามี
หญิงสาวก่อนแต่งงาน อาจมีแผนโน่นแผนนี่ ตามประสาคนโสด แต่งงานแล้ว หากคุณเธอ ซึ่งเป็นภรรยา ยังคงคิดฝันแผนการของเธอ จะไปเรียนเมืองนอก จะไปเปิดบริษัทส่วนตัว จะไปทัวร์ที่โน่นนี่นั่น โดยไม่คำนึงถึงความคิดสามี ครอบครัวเธอต้องวุ่นแน่ เพราะแผนการของเธอ อาจต่างจากของสามี ครอบครัวเดียวเลยมี สองแผน
ถ้าจะเป็นอย่างนี้ เธอก็ไม่ควรแต่งงาน เธอควรยกเลิกแผนของเธอ และหันมาฟังว่าสามีจะเอายังไง คริสตจักรก็เหมือนกัน ต้องฟังพระคริสต์ ไม่ใช่ตามใจตนเอง ความคิด ความมุ่งหมาย อารมณ์ควรเป็นอย่างเดียวกันกับพระเยซู เปาโลเปรียบเทียบว่า พระคริสต์คือศีรษะ ส่วนคริสตจักรคือร่างกาย ศีรษะคือ “ผู้ออกคำสั่ง”กายทำตาม

3. ภรรยามีสามีเป็นผู้ปกป้อง คุ้มครอง และนำเธอ
นี่คือความอบอุ่นที่ควรเกิดขึ้นกับภรรยาทุกคน คือเธอมีสามีเป็น “ผู้คุ้มครองดูแล” พระเยซูทรงคุ้มครองป้องกัน คริสตจักรของพระองค์ เซาโลก่อนมาเชื่อพระเยซู ได้ข่มเหงคริสตจักรรุนแรง หลังจากสเตเฟนถูกฆ่าตาย เซาโลย่ามใจหนัก ขอหนังสือจากมหาปุโรหิต เพื่อจะไปจับคริสเตียนที่เมืองดามัสกัส มาขังคุก ท่านพบพระเยซูกลางทาง พระองค์เข้ามาขวางเซาโล มีแสงสว่างจากฟ้า เซาโลซบหน้าถึงดิน พระเยซูตรัสว่า “เจ้าข่มเหงเราทำไม” พระองค์เป็นเดือดเป็นแค้นแทนคริสตจักร เซาโลไม่เคยคิดว่า ข่มเหงคริสตจักร คือการข่มเหงพระเยซู วันนี้ก็เช่นเดียวกัน พระเยซูรัก หวง เป็นเจ้าของและคอยปกป้องคริสตจักรของพระองค์

4.ภรรยาสมควรทุ่มเทความรักให้สามีแต่ผู้เดียว
แต่งแล้ว ยังใช้เวลากับแฟนเก่า นอกใจก็ถือเป็นความผิดร้ายแรงใช่ไหม? นี่คือหลักสามัญของครอบครัวมิใช่หรือ หากแต่งแล้ว เธอยังคิดถึงแฟนเก่า ยังนัดแนะไปกินข้าวกับแฟน ไปเที่ยวเตร่ ท้องบ้านช่อง ก็ต้องถือว่าใช้ไม่ได้ เป็นไปได้ไหม ที่คริสตจักร คือภรรยาไม่สนใจพระคริสต์ แต่กลับยังหลงเสน่ห์ของโลก ไม่อิ่มกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระเยซู อย่างนี้ ท่านทำให้พระเยซูหึงหวงท่านแน่ เราควรชื่นมื่นกับการอยู่กับพระองค์ การการเข้าเฝ้า ไม่ใช่รายการละครทีวี ไนท์คลับ บาร์ เกมส์กีฬา วัตถุนิยม ฯลฯ

5.ยิ่งแต่งกันนานวัน ยิ่งรู้ใจกัน และความรักก็ทวีขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีคู่สมรสใดรู้จักกันหมดตั้งแต่วันแต่ง หลังจากแต่งงานแล้ว ทั้งสองยังต้องเรียนรู้ เปิดใจให้กัน ครั้งแรกความรักอาจเกิดจาก ภายนอก เช่นรูปหล่อ สวย หน้าตาดี แต่พอแต่งแล้ว ต่างฝ่ายต่างเริ่มพบชีวิตจริงที่ตนไม่ทราบมาก่อน รักที่เกิดขึ้นเมื่อพบตัวแท้ คือรักที่ยั่งยืน ตอนแรกๆ ผู้เชื่อใหม่อาจเข้ามารู้จักพระเยซูผิวเผิน รู้ว่าพระองค์คือผู้ให้ ผู้ช่วยให้หายโรค ในโบสถ์มีเพลงไพเราะ ต่อมาท่านมารู้จักพระเยซูจริงๆ ท่านสมควรรักพระองค์มากขึ้น ท่านเริ่มพบว่า มาแต่งกับพระองค์นั้นท่านต้องร่วมทุกข์กับพระองค์ด้วย ถูกการข่มเหงด้วย สิ่งนี้ไม่ควรทำให้เราผละพระองค์ไป แต่ควรทำให้เรารักพระองค์มากขึ้น
เราต้องรู้จักพระคริสต์มากยิ่งขึ้น แล้วเราจะเกิดผล

Visitor 339

 อ่านบทความย้อนหลัง