จงให้เกียรติมารดาของตน

Honor your Mother.
วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม 2010
ศจ. สมเกียรติ กิตติพงศ์

ลูกต้องให้เกียรติแม่ของตน
ทำไมพระเจ้าสอนลูกให้ ให้เกียรติ “บิดามารดาของตน”
(เอเฟซัส 6:1-3)
พระคัมภีร์กล่าวว่านี่ “เป็นการถูก”
และนี่เป็น “พระบัญญัติข้อแรก”
เหตุที่พระคัมภีร์กล่าวว่านี่เป็นการถูก เพราะเป็นจริงกับคนทุกคน ไม่ว่าเขาจะมีพ่อแม่เป็นใคร เป็นคนชนิดไหน

ไม่มีใครเกิดมาในโลกนี้ได้โดยไม่มีพ่อแม่ และไม่มีใครเกิดมาได้โดยไม่เป็นหนี้บุญคุณแม่ของตน นอกเหนือจากพระเจ้าผู้ประทานชีวิตให้แก่เราแล้ว คุณแม่เป็นบุคคลแรกที่โอบอุ้มเลี้ยงดูเรา อุ้มท้องตัวเราก่อน 9 เดือน ถึงวันคลอด และจนกระทั่งเราคลอดออกมา ผมไม่รู้จักหรอกว่าคุณแม่ผมอุ้มท้องก่อนกคลอดผมอย่างไร แต่ผมเข้าใจได้ไม่ยาก เมื่อเห็นภรรยาตั้งครรภ์ ลูกทั้ง 3 คน ต้องประคับประคองตัวในการเดินเหิน ใกล้คลอดก็ยิ่งอุ้ยอ้าย บางคนแพ้ท้อง กินอะไรก็ยาก ผู้เป็นแม่ต้องอดอาหารบางอย่างที่ตนชอบ และกินอาหารบางอย่างที่เป็นประโยชน์กับลูกในครรภ์ ทุกอย่างที่ทำไปก็ทำด้วยความเต็มใจเพื่อลูก ตั้งแต่ตัวลูกยังไม่รู้อะไรสักนิดเดียว

ถึงตอนคลอดก็ไม่ธรรมดา ผมเป็นผู้ชาย แน่ละ ผมไม่เคยมีประสบการณ์ความเจ็บปวด แต่ผมก็เคยเห็นจากภาพยนตร์หลายเรื่อง ซึ่งทุกวันนี้หาดูได้ไม่ยาก มันเป็นความเจ็บปวดที่พระเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่หนังสือปฐมกาล บทที่ 3:16 ผมก็ขอ บรรรยายเป็นบทกลอนพอให้เห็นภาพซะหน่อย

  • ลูกแม่เบียดเสียดท้อง ร้องโอย
    แรงเรียวก็ร่วงโรย จิตแป้ว
    ปวดร้องไห้ใจโหย ครวญคร่ำ
    ท้องป่วนจวนคลอดแล้ว จิตตั้งหวังใจ

  • ปวดจัดกัดปากร้อง อึด แอ
    เหงื่อท่วมสิ้นดิ้นแด รวดร้าว
    มือ ขย้ำหมอตำแย พลอยเจ็บ
    หมอสั่งบังคับกร้าว เบ่งให้ใจแข็ง

  • เรียกพ่อมาอยู่ใกล้ เร็วพลัน
    ยืนข้างนางผดุงครรภ์ ปลอบน้อง
    พ่อจับถือมือภรร ยา แน่น
    “อุ แว้” เสียงเด็กร้อง “คลอดแล้ว แก้วตา”

    ครับ คนที่อุ้มท้องคือคุณแม่ คนที่อยู่ในท้อง คือเรา
    คนที่ทุกข์ทรมาน คือคุณแม่ คนที่วันนี้ ยิ้มร่า คือเรา
    คนที่คลอดอย่างแสนระทมคือคุณแม่ คนที่ออกมาจากครรภ์คือเรา

    ผมไปซื้อตู้น้อคดาวน์ ที่ห้าง ผมเข็นมันออกมา ผมยกมันไม่ไหว บังเอิญมีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ร่างกายแข็งแรงผ่านมา แกมาช่วยผมยก มันขึ้นรถ แกยกมันไม่ยาก เพราะมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ผมยังอดไม่ได้ที่จะขอบใจแกแล้วขอบใจแกอีก ควักเงินให้ก็ไม่เอา ผมยังระลึกถึงบุญคุณของพ่อหนุ่มคนนั้นไม่ลืม
    แล้วแม่ของเราละครับ นี่ไม่ใช่การยกของภายนอกนะ มันเป็นการอุ้มชีวิตทั้งชีวิต คุณแม่ไม่ได้เป็นหนุ่มกำยำล่ำสัน แต่เป็นผู้หญิงบอบบางคนหนึ่ง มันไม่ใช่การยกของหนักแค่ 5 นาที แต่เป็นการอุ้มท้องตั้งแต่ลูกปฏิสนธิในครรภ์นานถึง 9 เดือนจนถึงวันคลอด แล้ววีรกรรมของแม่ก็ยิ่งกว่านั้นคือ ต้องผ่านความเจ็บปวดมหันต์ ในบทกลอนที่ผมเขียน ตอนแม่คลอด พ่อช่วยได้มากที่สุดก็คือ ขับรถพาแม่ไปโรงพยาบาล หมอหรือพยาบาลอาจอนุญาตให้พ่อไปยืนหนุนใจแม่ข้างเตียงคลอด ก็แค่นั้น แต่แม่รับความปวดร้าวเต็มๆครับ เราอาจไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณใครในโลกนี้ เพราะเราเก่งเหลือเกิน แต่เราต้องเป็นหนี้บุญคุณคุณแม่ของเราเองอย่างแน่นอน

    พอคลอดเรามาแล้วท่านก็สุขใจ อิ่มใจ มีความหวัง ไม่มีความข่มขืนในใจสักนิด แต่จิตใจของท่านก็เต็มไปด้วยการขอบพระคุณ ฟังกลอนผมอีกที

  • มองตาทารกน้อย น่ารัก
    แม่อุ้มวางกลางตัก ตื่นเต้น
    จิตใจนึกคึกคัก ลูกคน แรกเฮย
    พ่อกล่าวขานท่านเน้น “พระเจ้าทรงประทาน”

  • ต่างเอิบอาบปลาบปลื้ม สุขสม
    จวบพรรษาหย่านม แม่แล้ว
    จัดเลี้ยงรื่นชื่นชม คุณพระ
    ทรงจัดสรร “ขวัญแก้ว” กริ่มยิ้มอิ่มโสมย์


    ท่านฝันเรื่องตัวเราไปในทางดีทั้งนั้น เชื่อไหม ไม่มีแม่คนไหนฝันว่า วันหนึ่งอนาคตของลูกจะเป็นคนขี้ขโมย คนขี้โรค คนขี้เกียจ หรือคนขี้คุก มีแต่ฝันว่า วันหนึ่งเขาจะเป็นคนสัตย์ซื่อ ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟัง ขยันขันแข็ง ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่มีแม่คนไหนฝันว่า วันหนึ่งมันจะกลับมาด่าตน ทะเลาะกับตน เพราะโดยสามัญสำนึกใครๆก็เข้าใจได้ว่า แม่ลงทุนลงแรงลงไปเพื่อลูกมากแค่ไหน เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะกลับมาแว้งกัด หรือพูดจาก้าวร้าวอะไรที่ทำให้เจ็บแสบปวดร้าว ตรงกันข้าม แม่ฝันว่า แม้ใครในโลกนี้ไม่รักเธอ ไม่ให้เกียรติเธอ ให้ร้ายเธอ อย่างน้อยที่สุด ในโลกนี้เธอก็มี ลูกในใส้คนหนึ่งที่รักเธอแน่ๆ

    เวลาสัตว์คลอดลูกออกมา มันใช้เวลาไม่นานนักลูกก็ช่วยตัวเองได้ แต่คนไม่เป็นเช่นนั้น ผมเคยเห็นแม่วัวคลอดลูก คลอดแล้วแม่ก็มาเลียเมือกที่ติดอยู่ตามตัวลูกของมัน ไม่ถึงชั่วโมง ลูกที่มันคลอดก็ลุกขึ้นยืน 4 ขาพิงแม่วัวได้ ชั่วโมงถัดมาลูกวัวก็เดินได้ แต่พระเจ้าออกแบบให้ทารกน้อยที่คลอดออกมาจากครรภ์มารดา ไร้สมรรถภาพโดยสิ้นเชิงที่จะช่วยตัวเอง ถ้าแม่ไม่อุ้ม ป้อนนม ช่วยเหลือ ทารกก็ไม่มีมันรอดชีวิตมาได้เลย ทำไมพระเจ้าออกแบบตัวเราอย่างนี้ ง่ายนิดเดียว เพื่อเราจะต้องพึ่งพ่อพึ่งแม่ ไม่ใช่เดือนสองเดือนนะครับ หลายปีกว่าที่เราจะเป็นตัวของตัวเอง กินอาหารเอง ใส่เสื้อผ้าเอง ยืนด้วยลำแข้งตัวเอง หาเงินเอง ไม่มีแม่ ก็ไม่รอดล่ะครับ แล้วอย่างนี้จะโอหังกับแม่ตัวเองได้อย่างไร พระเจ้าออกแบบให้คนเราต้องพึ่งพาอาศัยแม่มากมายเช่นนี้ ก็เพื่อมนุษย์จะเป็นผู้สำนึกในพระคุณได้โดยง่าย
    ความรักที่แม่มีให้ลูกมันมากกว่าหน้าที่ด้วยซ้ำ แต่เป็นความเต็มใจที่แม่ทำให้โดยไม่หวังการตอบแทนจากลูกแม้แต่น้อย

  • ลูกเติบใหญ่ เมื่อเข้า โรงเรียน
    อ่าน ก. ไก่ ใฝ่เขียน เก่งแท้
    แม่มานะพากเพียร สอนการ บ้านแฮ
    ส่ง-รับ นะ ชะแง้ ติดเฝ้าตามมอง

  • ข้าวปลาหาเพราะรู้ ลูกหิว
    ใจแม่พรั่นหวั่นหวิว แสบท้อง
    ลูกเรียนอ่อนสอนติว ให้ทัน เพื่อนนอ
    อุตส่าห์รอหน้าห้อง รับด้วยเต็มใจ

  • ลูกป่วยแย่แม่ก้อ จัดยา
    แม่ลาพักรักษา ลูกแก้ว
    เช็ดตัวหัวแขนขา จนไข้ ลดเฮย
    ลูกป่วยใจแม่แป้ว ห่อนแคล้วทรมาน

    ผมไม่มีหน้ากระดาษบรรยายความรักของแม่ลงไปได้ทั้งหมด มันมากเกินกว่าที่จะบรรยาย ไม่แปลกที่พระเจ้าตรัสว่านี่เป็นบัญญัติข้อแรก ข้อต้น พื้นฐาน ที่มนุษย์คนไหนในโลกก็สัมผัสได้ทั้งสิ้น โลกทุกวันนี้แปรเปลี่ยนไปมาก นักปรัชญาสมัยใหม่ พยายามอธิบายให้คนเราออกไปนอกความจริงพื้นฐาน โดยสอนว่า มันเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ไม่มีบุญคุณอะไร ถ้าท่านเป็นคนพูดจาดีก็นับถือท่าน ถ้าท่านพูดจาไม่เพราะ ทำไมต้องฟังท่าน แล้วความยโส ไม่ให้เกียรติพ่อแม่ก็ทวีขึ้นในโลกยุคสุดท้าย ( 2 ทิโมธี 3:2) ผมได้ยินว่าที่อเมริกา พ่อแม่ตีลูก แล้วลูกเอาเรื่องฟ้องศาล ศาลบางรัฐก็รับคำฟ้องร้องเสียด้วย คนไทยเรายังเห็นว่า การไม่เห็นบุญคุณพ่อแม่ เป็นการอกตัญญู และร้ายกว่านั้นคือ คนที่ให้ร้ายพ่อแม่ เป็นคนเนรคุณ

    รางวัลสำหรับลูกกตัญญูพ่อแม่ ที่พระเจ้าทรงประทานให้นั้นก็ยิ่งใหญ่เหลือเกิน นั่นคือ ไปดีมาดี แปลว่าทำอะไรที่ไหนก็ดีไปหมด เรียนก็ดี ทำงานก็ดี สร้างครอบครัวใหม่ก็จะดี ความปลอดภัยก็สูง ความมั่นคงก็แน่นอน อีกอย่างคือ อายุยืนยาวในแผ่นดินโลก นี่ เยี่ยมยิ่งกว่าการหายาอายุวัฒนะมากินเสียอีก ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เป็นเหมือนแมวเก้าชีวิต ตายยากครับ (ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต)
    ในวันแม่ ขอพระเจ้าทรงโปรดให้เราได้รื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคุณแม่ของเรานะครับ

  • คุณแม่นั้นมากล้น รำพัน
    ขอบคุณพระทรงธรรม์ ยิ่งแล้
    ประทานแม่ลาวัณย์ ให้ลูก
    ความรักแม่ดีแท้ ลูกก้มวันทา


  • สุขสันต์วันแม่ครับ
    Visitor 121

     อ่านบทความย้อนหลัง