ภูมิคุ้มกันในทารก
Infant Immunity. <
ศจ. สมเกียรติ กิตติพงศ์
บทความจากสูจิบัตร คริสตจักรสามัคคีธรรมกรุงเทพ




เบื่อแล้วหรือยัง
ขอคุยเรื่อง “การต้านทานเชื้อโรค” ต่อ วันนี้ขอพูดเรื่อง “ภูมิต้านทานในทารก”
สูจิบัตรฉบับที่แล้ว ผมพูดเรื่อง การที่ร่างกาย สร้าง “แอนตี้บอดี้” ขึ้นมา และมัน
จดจำเชื้อโรค ชนิดที่เคยเข้ามาโจมตีได้ เป็นเหตุให้ครั้งต่อไป เมื่อเชื้อโรคชนิด
เดิมเข้ามาโจมตีอีก ร่างกายก็มี “ภูมิต้านทาน” เผชิญโรคชนิดนั้นได้ ซึ่งนับว่าเป็น
สิ่งดีสำหรับเรา แต่นั่นแปลว่า เราต้องถูกโรคภัยนานาโจมตีกัน อย่างนี้ก็อ่วมนะซี
เป็นไปได้ไหม ที่คนอื่นช่วยสร้างภูมิต้านทานให้เรา

เรื่องนี้ไม่ใช่มนุษย์เป็นผู้เริ่มต้นคิดนะครับ พระเจ้าต่างหากทรงมีพระดำริก่อนใคร
เมื่อทารกน้อย คลอดออกมาจากครรภ์มารดา แกไม่เคยถูกโจมตีโดยเชื้อโรคใดๆ

ดังนั้น ร่างกายของทารกย่อมไม่ได้สร้างภูมิต้านทาน ดูแล้ว ร่างกายของแกก็
น่าจะเปราะบางกับการโจมตีของเชื้อโรคเหลือเกิน แต่แต่ตรงกันข้าม ทารกน้อย
กลับแข็งแรงเผชิญโรคสารพัดได้อย่างอัศจรรย์ เป็นไปได้อย่างไร

มีสองทางครับ

(1) ทารกได้รับ “แอนตี้บอดี้” จากมารดาโดยตรง
เรารู้ดีว่า ปกติ ทารกปฏิสนธิในครรภ์มารดานาน 9 เดือน ในช่วงประมาณ 3
เดือนสุดท้ายก่อนคลอด แม่จะถ่ายทอด “แอนตี้บอดี้” เป็นภูมิ “รก” (Placenta)
ของแม่ บางคนเรียกภูมิต้านทานชนิดนี้ ว่า “ภูมิต้านทานที่รับมา”
(Passive Immunity)บางคนก็เรียกว่า“ภูมิต้านทานที่ยืมมา” Borrowed antibodies)
คือไปยืมมาจากแม่ เพราะทารกมิได้สร้างขึ้นมาเองภูมิต้านทานชนิดนี้เป็นภูมิต้าน
ทานชั่วคราวคือ ช่วยป้องกันการติดเชื้อให้ทารกในช่วงหลังคลอดใหม่ๆ แกจะมีภูมิ
ต้านทานของแม่สูงมาก นี่เป็นเหตุผลที่ทารกคลอดใหม่ทานโรคต่างได้ดี แต่ภูมิ
ต้านทานชนิดนี้จะค่อยๆลดลงเรื่อย ๆในไม่กี่สัปดาห์หลังคลอด และภูมิต้านทาน
ที่รับมาจากต้านทานให้แก่ลูกในครรภ์ของเธอ ผ่านแม่นี้ ก็มีเฉพาะชนิดที่แม่มีเท่านั้น
ไม่ได้มีไปเสียทุกโรค เช่นถ้าแม่มีภูมิต้านทาน “ไข้อีสุกอีใส” (Chicken pox)ลูกก็
จะมีภูมิต้านทาน ไข้อีสุกอีใสด้วย แต่ถ้าแม่ไม่มี ลูกก็จะไม่มีไปด้วย ก็เหมือนสตางค์
ในกระเป๋าแม่นั่นแหละ ถ้าแม่ไม่มีจะเอาที่ไหนไปให้ลูกยืม ดังนั้นแม่ที่สร้างภูมิต้านทาน
โรคไว้เยอะย่อมช่วย ทารกน้อยที่เพิ่งคลอกดใหม่ของตนเองได้มาก

ผมนึกถึง “การดูแลคริสเตียนใหม่” เรื่องนี้เราจะเห็นว่า พ่อหรือแม่ฝ่ายวิญญาณนี่
สำคัญแท้ๆ คริสเตียนบังเกิดใหม่ ปกป้องตนเองไม่ได้ เขาไม่รู้เรื่องศัตรู เรื่องมาร
เรื่องสงครามฝ่ายวิญญาณ เขาไม่รู้เรื่องนิกายเทียมเท็จ คำสอนผิด เขาไม่รู้จัก
อันตรายอันเนื่องจาก เล่ห์ของบาปหลายอย่าง แต่เมื่อเขาเชื่อฟังศรัทธา แม่ฝ่าย
วิญญาณ ที่นำเขาให้ดำเนินชีวิตคริสเตียน เขาก็ปลอดภัย แม้เขาจะยังไม่รู้จักผิด
ชอบชั่วดีในหลายๆเรื่อง แต่การเชื่อฟังผู้เลี้ยง ก็ทำให้เขารอดพ้นจากความชั่วร้ายได้
อีกประการหนึ่งคนใหม่พึ่งพาอาศัยพ่อแม่ฝ่ายวิญญาณเป็นแบบเมื่อพ่อแม่ฝ่ายวิญญาณ
อธิษฐาน ลูกก็ทำตามเมื่อแม่ถ่อมใจลูกก็ถ่อมจิตใจตามแบบแม่ แม่รักวันอาทิตย์
ลูกก็รักวันอาทิตย์ด้วย เปาโลพูดกับคริสเตียนใหม่ที่คริสตจักรเธสะโลนิกา ซึ่งทุก
คนต่างก็เป็นคนใหม่ว่า “เราอยู่ในหมู่พวกท่านด้วยความสุภาพอ่อนโยน เหมือนพี่เลี้ยง
ที่เลี้ยงลูกของตน” ( 1 เธสะโลนิกา 2:7) ท่านพูดต่อไปว่า “เราได้ประพฤติตัวบริสุทธิ์
เที่ยงธรรม และปราศจากข้อตำหนิในหมู่พวกท่านที่เชื่อ ดังที่ท่านรู้อยู่แล้ว” (10-11)
อีกตอนหนึ่งท่านกล่าวว่า “ท่านได้เรียนจากเราแล้วว่าควรจะประพฤติอย่างไร ท่านกำลัง
ประพฤติอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ขอให้ประพฤติยิ่งๆขึ้นไป” (4:1) ในทางตรงกันข้าม
หากพ่อแม่ฝ่ายวิญญาณอ่อน ไม่เป็นแบบในเรื่องใด ลูกฝ่ายวิญญาณก็จะอ่อนในเรื่อง
นั้นตามไปด้วย พระเยซูตรัสว่า “ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู” ยังไงล่ะ

(2) น้ำนมแม่
อย่างที่กล่าวแล้ว ภูมิต้านทานที่ลูกรับมาจากแม่โดยตรงผ่านทางสายสะดือนั้น
อยู่ได้นานไม่กี่สัปดาห์ และจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆในช่วงนี้ทารกน้อยก็เริ่มเสี่ยง
กับการติดเชื้อจากภายนอกมากยิ่งขึ้น พระเจ้าได้ทรงวางวิธีแก้ไขไว้เรียบร้อยแล้ว
วิธีของพระองค์ก็คือให้ลูกกินนมแม่ เราคงได้ยินว่าน้ำนมแม่นั้นมีภูมิต้านทานโรค
ให้ลูก เรื่องนี้ผมจะขออธิบายให้ฟังสักหน่อย หลายคนเข้าใจว่า ในน้ำนมแม่นั้นมี
สารโคลอสตรุม(Colostrum’s)บางคนเรียกว่า “หัวน้ำนม”เป็น“แอนตี้บอดี้”
เข้าไปสู่ร่างกายของลูก เพื่อเป็นภูมิต้านทานให้ลูก

ความจริงเป็นอย่างนี้
ธรรมดาร่างกายคนเรา รวมทั้งร่างกายทารกด้วย หากฉีดอะไรเข้าไปทางเส้นเลือด
ทุกสิ่งที่ฉีดเข้าไป “เม็ดเลือดขาว” ทหารหาญในร่างกาย ก็จะอ่านว่าเป็นสิ่งแปลก
ปลอม (Antigen) คือเป็นศัตรู แล้วมันก็จะถูกฆ่าและหมดฤทธิ์ไปโดยปริยาย
หากเรากินสารที่เป็นภูมิต้านทานเข้าไปทางปาก ร่างก่ายก็จะอ่านว่าเป็นอาหาร (Food)
แล้วมันก็จะย่อยสลายเพื่อการดูดซึม ดังนั้นถ้าทารกกินนมแม่ซึ่งมี “หัวน้ำนม”อยู่ด้วย
มันจะถูกย่อยสลายในกะเพาะเช่นเดียวกัน มองอย่างนี้แล้ว ก็จะเห็นว่าหมดหนทางที่
ทารกจะสร้างภูมิต้านทานได้โดย วิธีกินนมแม่

แต่เอาเข้าจริงไม่เป็นเช่นนั้นเพราะนักวิทยาศาตร์เขาพบว่า เมื่อทารกที่กินนมแม่
แกมีภูมิต้านทานมากขึ้นอย่างมาก
เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไรในที่สุดเขาพบว่า ใน”หัวน้ำนม” (Colostrums)นั้น
โมเลกุลเล็กๆ ที่เขาเรียกว่า “ตัวส่งผ่าน” (Transfer Factor)ว่ากันว่า “ตัวส่งผ่าน”
นี้มันมีขนาดเล็กมากๆเล็กมากจนไม่ถูกทำลายในระบบย่อยอาหาร ครั้นดูดซึมเข้า
ไปในระบบเลือด ร่างกายมิได้อ่านว่ามันเป็น “สารแปลกปลอม” (Antigen) ร่างกาย
จึงไม่ได้ลุกขึ้นมาต่อต้านอย่างต้านเชื้อโรค“ตัวส่งผ่าน” นี้พระเจ้าทรงสร้างมาให้เขา
เก่งไม่เบาพอไปถึงในระบบเลือดมันก็ปลุกระดม กระตุ้นบรรดาเซลล์เม็ดเลือดขาว
ของทารกน้อย ที่ยังไม่เคยเผชิญเชื้อโรคใดๆให้สร้าง “แอนตี้บอดี้”(Antibody) ต้าน
เชื้อโรคสารพัดชนิดขึ้นมาเช่น การติดเชื้อจาก แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา เช่น หวัด
เจ็บคอ วัณโรค ตับอักเสบ เริมเป็นต้นภูมิต้านทานที่สร้างขึ้นนี้ คงอยู่ในร่างกาย
ได้นาน บางทีเป็นปีๆ ว้าว !วิเศษแท้ พระเจ้าของเรา ทรงวางระบบไว้ให้ทารกต้าน
โรคได้อย่างอัศจรรย์เหลือเกิน

สมแล้วที่ “วันแม่” เราร้องเพลงว่า
ค่าน้ำนมคิด ชวนจิตคิดฝัน แต่เบื้องหลัง ดุจดังเจ้าฟ้า สูงกว่าแผ่นดิน
ประทานให้มารดาสิ้น หยดหนึ่งน้ำนมกิน ทดแทนไม่สิ้น คุณพระเจ้าเอย”

เปโตรสอนคริสเตียนใหม่ว่า “เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญ
ญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้น จะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความรอด เพราะ
ท่านได้ลิ้มรสพระกรุณาคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (1 เปโตร 2:2) ท่านหมายถึง
พระวจนะคำ ที่เป็นหลักธรรมเบื้องต้น (ฮีบรู 6:11) นะครับ

คนที่บังเกิดใหม่ลืมตามาดูโลกฝ่ายวิญญาณต้องตื่นเต้น เหมือนกับหญิงสาวพบชายหนุ่ม
อย่างเป็น “รักแรกพบ” (วิวรณ์ 2:4) รักพระเยซูไปหมด เหมือนเด็กเพิ่งคลอด
อยากกินนมแม่ หมอลูกาบรรยายคริสเตียนใหม่ 3000 คนในคริสตจักรรุ่นแรกว่า
“เขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูต และร่วมสามัคคีธรรม
ทั้งขะมักเขม้นในการหักขนมปังและการอธิษฐาน” (กิจการ 2:42)นี่เป็นเหตุผลที่
คริสตจักร เราจัดชั้นเรียนสำหรับผู้เชื่อใหม่และชั้นฟูมฟํกพระคำเหล่านี้จะช่วยเป็น
“หัวน้ำนม”สร้างภูมิต้านทาน “ความชั่วร้าย” ให้คนใหม่ ธรรมชาติของทารกย่อม
หิวนม ทำนองเดียวกัน “คนบังเกิดใหม่” ย่อมอยากเรียนอยากรู้พระวจนะ สำหรับ
คนใหม่ที่ไม่หิวพระคำนี่ ผมว่าแปลก บางทีผมต้องตั้งข้อสงสัยว่าเขา
“คลอดแล้วหรือยัง”
ทารกต้องการนมแม่ ทุกวันนี้มีแม่ไม่น้อยไม่ให้นมลูกเพราะต้องไปทำงานและ
เลี้ยงลูกด้วยนมกระป๋อง จะเป็นนมยี่ห้ออะไรก็ตามสิ่งที่นมกระป๋องไม่มีคือ
“หัวน้ำนม” (Colostrum’s) ที่ช่วยสร้างภูมิต้านทานให้ทารก

ลูกฝ่ายวิญญาณต้องการพี่เลี้ยง เขาจะใช้วิธีเรียนทาง วีซีดี วิดีโอ เทป วิทยุ
โทรทัศน์ หรืออินเทอเน็ท นั้นไม่เพียงพอ ในการช่วยเขาให้สร้างภูมิต้าน
ทานทั้งสิ้น นี่เป็นเหตุผลที่ในการสร้างสาวกของพระเยซู “พระองค์ตั้ง
ศิษย์สิบสองคนไว้ให้อยู่กับพระองค์” (มาระโก 3:14) เพราะเขาจะทั้งได้
ยินได้ฟัง ได้เห็นและได้สังเกตพี่เลี้ยงด้วย เหมือนทิโมธีเรียนจากเปาโล
(2 ทิโมธี 3:10-11)

ในโลกปัจจุบัน มีแม่ซึ่งเป็นเศรษฐินีบางคนที่คลอดลูกแล้ว แต่เธอไม่อยาก
เลี้ยงลูกเธอใช้วิธีเสาะหา“แม่นม” (Wet nurse) มาช่วยเลี้ยงลูกแทนเธอ
“แม่นม” คือใคร?�เธอคือสตรีที่เป็นแม่เธอมีน้ำนมและเพื่อเห็นแก่ราย
ได้เธอจึงรับจ้างให้นมแก่ลูกเศรษฐินี ที่ไม่ อยากเลี้ยงลูกด้วยตนเองด้วยวิธีนี้
ทำให้เศรษฐินีสามารถไปทำงานนอกบ้านได้อย่างสบายโดยฝากลูกของตน
ไว้กับแม่นม

แปลกแต่จริง เขาพบว่า น้ำนมของ “แม่นม” ที่ลูกเศรษฐินีดูดนั้น ทั้งๆที่มีสาร
“หัวน้ำนม”(colostrum’s) อยู่ด้วย เมื่อทารกดูดเข้าไปแล้วร่างกายของ
ทารกมิอาจสร้างภูมิต้านทานได้เลย นี่ แปลว่าอะไรก็ แปลว่าแม่ที่คลอด
ลูกต้องเป็นผู้ให้นมลูกด้วยตัวของเขาเองภูมิต้านทานจึงจะเกิดขึ้นได้ภูมิ
ต้านทานโรคไม่อาจเกิดได้โดยการสลับแม่

ในการประกาศพระกิตติคุณ หลายครั้งที่ไม่เกิดผลดีเท่าทีควรก็
เพราะพ่อหรือแม่ฝ่ายวิญญาณไม่เต็มใจฟูมฟักผู้เชื่อใหม่ แต่ใช่วิธีเอาเขา
ไปฝาก “แม่นม” ให้เขาทำแทน ผมไม่มีเวลาพอจะสาธยายสรรพคุณของ
การที่ลูกกินนมจากแม่ของตน แต่ตำราไม่น้อยยืนยันว่า การที่แม่เลี้ยงลูก
ด้วยนมของตน แทนนมขวดนั้น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับแม่ดีขึ้น
อย่างมาก เพราะมีการสัมผัสสัมพันธ์เนื้อต่อเนื้อ (skin to skin contact)
แล้วฝ่ายวิญญาณเราจะใช้ นมขวด หรือจ้างแม่นมหรือ

ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
Visitor 154

 อ่านบทความย้อนหลัง