ที่สุดของชีวิต คือพระเยซูคริสต์

คุณเชษฐ์ชัย นรเศรษฐ์ศรีสุข

�� คำพยานต่อไปนี้ ขอถวายเกียรติแด่พระเจ้า�ผู้เป็นเจ้าของชีวิตมนุษย์ทุกคน และเป็นผู้กำหนดชีวิตของเราแต่ละคน�ตามแต่พระทัยพระองค์�เหมือนดั่งพระวจนะคำใน เอเฟซัส บทที่ 1:5 ที่กล่าวไว้ว่า “พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ ด้วยความรักก่อน�ตามที่ชอบพระทัยพระองค์ให้เป็นบุตรโดยพระเยซูคริสต์”
���������
����������เมื่อวันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาผมมีอาการท้องเดิน และปวดถ่ายตลอดทั้งวัน�และเริ่มมาถี่ในช่วงบ่าย แต่ไม่ได้เอะใจ หรือ สนใจมากเหมือนอย่างครั้งก่อน ๆ ที่เคยเป็นมา�และยังคงนั่งทำงานที่บริษัทฯ ตามปกติ�เพราะโดยประสบการณ์ที่เคยเป็นอาการท้องเดินจะรู้สึกปวดท้อง หรือเสียดท้องตลอดเวลา�และจะมีอาการคลื่นไส้ มวน ๆ ในท้องคลายจะอาเจียน�และจะมีไข้ตามมา�แต่วันนี้ไม่มีอาการอะไรเลย�นอกจากถ่ายอย่างเดียว รู้ว่าบ่อย�แต่จำไม่ได้ว่าได้เข้าห้องน้ำไปกี่ครั้งแล้ว และก็เข้าใจว่าคงทานอาหารที่เป็นพิษต่อกระเพาะ�หรือลำไส้แน่�แต่คงไม่ร้ายแรงเท่าไหร่�เพราะไม่ปวด�ไม่มีอาการจะอาเจียน หรืออะไรเลย�ก็ได้ดื่มน้ำตามทุกครั้งที่ออกมา�โดยคิดอยู่อย่างเดียวว่า�น้ำที่ดื่มเข้าไปจะเร่งช่วยให้ขับถ่ายเอาพิษล้างเชื้อออกไปให้หมด ได้เร็ว�โดยหารู้ไม่ว่า�น้ำที่ดื่มเป็นเพียงน้ำเปล่าธรรมดา�ไม่ได้มีธาตุสารอาหาร หรือเกลือแร่�ซึ่งไม่ได้มีคุณค่าที่จะเข้าไปแทนที่กับน้ำที่สูญเสียระหว่างขับถ่ายได้แม้นแต่น้อย�จนเวลาเย็นได้ต้อนรับลูกค้า�รายสุดท้ายเสร็จประมาณ 17:30 น.
�����������
������������� ขอบคุณพระเจ้าที่ลูกค้ากลับไปเรียบร้อยแล้ว�ซึ่งไม่ถึง 3 นาที ที่ลูกค้ากลับ�ผมจึงค่อยมีอาการคลื่นไส้ อยากอาเจียน วิ่งเกือบไม่ทัน�เป็นทั้งอาหารเที่ยง และค็อฟฟี่เบรค�พนักงานก็กลับกันหมดแล้ว�เริ่มตกใจกลัว พระองค์เจ้าข้าช่วยลูกด้วย ขออย่าให้ลูกอาเจียนอีกเลย�และอย่าให้มีอาการอื่นใดอีกเลย�จึงรีบขับรถกลับบ้านด้วยอาการเริ่มมึนเล็กน้อย�และเริ่มรู้สึกเพลียมากเพราะถ่ายท้องมาทั้งวัน�และมีอาการง่วงเหมือนตาอยากหลับ�เมื่อเริ่มขับรถขึ้นบนทางด่วน�ยิ่งรู้สึกง่วงอยากจะหลับซึ่งถ้าหลับตาคิดว่าคงจะหลับทันที�ขับไปอธิษฐานไปตลอดทาง�ขอพระเจ้าเมตตากลัวจะหลับแบบไม่ทันได้รู้ตัว�แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าหลับ�พยายามฝืนตา บอกตัวเองอย่าหลับ ๆ กำลังขับรถกลับบ้าน�ขับไปเรียกหาพระเยซูไปจนถึงบ้าน�ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงรักษาให้ปลอดภัย�ถึงบ้าน อาบน้ำทานยาฆ่าเชื้อนอนแต่หัวค่ำ�แต่ต้องมาตื่นตอนเที่ยงคืนเพราะเกิดอาการมวน ๆ ในท้องและอาเจียนอีก�เริ่มมีไข้ก็ทานยาลดไข้นอนด้วยใจอธิษฐานขอการรักษาจากพระเจ้าให้หลับสบาย�ขอบคุณพระเจ้าจนเช้า
�������������� วันที่ 10 ก.พ. ตื่นมาก็รู้สึกดี�แต่ยังถ่ายไม่หยุด�ดื่มน้ำเกลือแร่บ้าง�ทานอาหารอ่อนบ้าง และตัดสินใจหยุดงาน พร้อมโทรไปลาประชุมกรรมการพันธกิจ�ซึ่งนัดบ่ายโมงที่คริสตจักรสามัคคีธรรมกรุงเทพ ฯ�ปรากฏว่าบ่ายสามโมงครึ่งเริ่มมีไข้�และอาเจียนอีกครั้ง�จึงตัดสินใจ ขับรถเข้านอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล�มีไข้ขึ้นทั้งคืน�แต่ถ่ายลดลง ให้น้ำเกลือ ตรวจเช็คเลือด�สรุปเป็นแค่ลำไส้อักเสบ�ทานยาฆ่าเชื้อ วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 11 ก.พ. ก็กลับบ้านได้แม้มีไข้นิดหน่อย�แต่อยู่ในช่วงไข้กำลังลดลงเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ช่วงเช้ามืดเป็นต้นมา�หมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้�ออกจากโรงพยาบาลได้�ออกจากโรงพยาบาลประมาณ 4 โมงเย็น สบาย ๆ ก็อาบน้ำ และทานข้าวเย็นประมาณ 5 โมงครึ่ง
����������� �ซึ่งวันนี้เป็นวันพุธ�ปกติจะมีการประชุมของกลุ่มกิจการ�และจะมีการร่วมทานอาหารเย็นเป็นประจำปกติ�แต่วันนี้ขอลาไปไม่ได้เข้าร่วม�ปรากฏว่าระหว่างที่นั่งทานอาหารที่บ้าน�เริ่มรู้สึกตัวรุม ๆ เหมือนจะมีไข้�ก็คิดว่าเดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้วค่อยทานยาลดไข้�ทานเสร็จยังไม่ได้ได้ทานยา�เกิดอาการอยากเข้าห้องน้ำ�ระหว่างทำธุระไข้เริ่มสูงขึ้นรุนแรงเร็วมากจนเริ่มรู้สึกสั่น�และสั้นเพิ่มขึ้น ก็ฝืนทน�แต่พอมองหน้าตนเองในกระจกก็ตกใจเพราะไม่เคยเห็นหน้าตนเอง�ปากคร้ำเป็นสีม่วง�และหน้าเริ่มกระตุกแบบนี้มาก่อน�จึงรีบวิ่งไปเอาแผ่นเย็น (โคลแพ็ค)�ขึ้นไปนอนโปะศีรษะไปสั่นไป�พร้อมเรียกคุณดวงซึ่งกำลังทำความสะอาดบ้านอยู่ให้รีบเอาผ้าเย็นมาช่วยเช็ดตัวด่วน�ปรากฏว่าไม่ทันการ�ไข้คงขึ้นสูงมาก�และสั่นมากขึ้นด้วย�มือเท้าเริ่มจะเกร็ง�เริ่มจะพูดไม่เป็นคำ�ได้แต่ร้องขอพระเยซูเจ้าช่วยลูกด้วย�ได้แต่บอกตัวเองว่าอย่าหยุดเรียกหาพระเยซู�ต้องหนักแน่น เข้มแข็ง สู้กับมัน�และจะชนะทั้ง ๆ ที่กำลังสั่นทั้งตัว�หนาวทั้งตัว�ขาเริ่มพับ น่องนอกจากจะสั่นเริ่มรู้สึกเป็นตะคิว�
���������� คุณดวงยิ่งตกใจเพราะไม่เคยเจอเช่นกัน�ทั้งอธิษฐานเสียงดัง�จะทำอย่างไรดีอยู่กันสองคน�จะเรียกรถพยาบาลฉุกเฉินก็ไม่รู้เบอร์�จะวิ่งหาเบอร์โทรก็ห่วงผม กำลังนอนหนาวสั่น�จะเรียกเพื่อนบ้านก็มีแต่ผู้หญิงชรา�กับคนงานวัยรุ่นบ้านถัดไปกำลังนั่งก๊งเหล้าใต้ต้นไม้หน้าบ้าน�ขอบคุณพระเจ้า�ลูกชาย (น้องต่อ)�กลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านพอดี�จึงเข้าช่วยเช็ดตัว�คุณดวงจึงหาเบอร์โทรเรียกรถฉุกฉฺน�กว่าจะออกมาไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนจะตกลงอะไรไม่ได้�เพราะช่วง 6 โมงเย็นกว่า ๆ�กำลังวุ่นกำลังเปลี่ยนเวรหรือเปล่าไม่ทราบ หรือรถพยายาลไม่ว่าง�คุณดวงจึงตัดสินใจขับรถไปส่งเอง�ซึ่งคุณดวงก็กลัวมากด้วย�เพราะไม่ทราบว่าหากมีอะไรกลางจะช่วยอะไรได้บ้าง�เพราะกำลังไปมือเปล่า ส่วนตัวผมนั่งข้างหลังสั่นรุนแรงแบบนี้�รถติดจะทำอะไรได้บ้าง คิดไปต่างๆ นานา ขับรถไปก็อธิษฐานไป ขออย่าให้มีอุบัติเหตุใด ๆ เลย�เพราะทางในซอยแคบ รถก็ติด มืดก็มืด กลัวก็กลัว สั่นก็สั่น ทั้งคนป่วยและคนขับ ขับไปขาก็สั่นไป (เจ้าตัวพึ่งจะมาเผยที่หลัง)�
������� ผมเองก็ร้องขอพระเจ้าทรงโปรดคุ้มครอง�โดยพระนามพระเยซูคริสต์เจ้าทรงอยู่ด้วย อย่าช็อค�ขอบคุณพระเจ้า อาการสั่นก็ทุเลาลงเรื่อย ๆ ในระหว่างที่นั่งอยู่หลังรถ�จนถึงห้องไอซียู�ปรากฏว่าวัดไข้ขึ้นถึง 40 องศา�(ช่วงที่สั่นมากน่าจะเกิน)�และความดันโลหิตวัดได้ 144�ซึ่งปกติผมไม่ได้เป็นโรคความดันโลหิตสูง�จะอยู่ที่ 120+/-5 เท่านั้น�คุณดวงเองพอส่งถึงห้องไอซียู�ก็โทรหาพี่น้องในกลุ่มกิจการช่วยอธิษฐานเผื่อซึ่งระหว่างนั้นก็กำลังประชุมกันอยู่พอดีด้วย�และแวะมาเยี่ยมอธิษฐานวางมือกันภายหลังที่โรงพยาบาล�ช่วงสี่ทุ่มกว่าห้าทุ่ม�ในคืนเดียวกันซึ่งก่อนหน้านี้ 2 ชั่วโมงในระหว่างรอแอ็ดมิทท์�หาห้องประมาณ 1 ทุ่ม�คุณเปิ้ลและคุณปุ๊ก ได้รีบแวะมาเป็นเพื่อนให้กำลังใจคุณดวง�และผมด้วย
����� �และเหนือสิ่งอื่นใด�ขอบคุณพระเจ้าโดยพระเยซูคริสต์เจ้า�องค์พระผู้เป็นเจ้า�พระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้าและของพี่น้องทุกท่าน�สำหรับการจัดเตรียมของพระเจ้าที่มีต่อผม�ซึ่งทีแรกรู้สึกเหมือนจะช้าแต่ไม่สาย�ผมมาถึงคิดว่าคงจะเจอหมอเวร�หรือหมอที่ไม่เคยเจอหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ�คุณหมอที่ดูแลผม�ซึ่งเป็นเจ้าของไข้ ก็พึ่งจะออกจากโรงพยาบาลไป�แต่ออกไปได้ไม่ไกล ก็กลับมาช่วยจัดการดูแลให้จนเป็นที่เรียบร้อย�ขอบคุณพระเจ้า�ขอบคุณพระเยซูคริสต์�และขอบคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์ ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ด้วยกับผมทุกหนแห่ง�และทุกสถานการณ์�จนผมหาย ไข้ลดเป็นปกติ�หลังจากเข้านอนพักรักษาตัวอีก 2 คืน
��������������� ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงคุ้มครองพิทักษ์อารักขา�และการทรงช่วยเหลือโดยเฉพาะตอนที่สั่นอยู่ที่บ้าน และไข้กำลังขึ้นสูงไม่ให้เกิดอาการช็อคในเวลานั้น�และผมเชื่อว่าพระเจ้าก็พร้อมสำหรับทุกคนที่ร้องออกพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้าอองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา�ซึ่งตรงกับที่พระเยซูคริสต์เจ้าได้สอนสาวก
ในยอห์น บทที่ 16:23 ซึ่งมีใจความว่า ��“...ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดา�พระองค์จะประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน ในนามของเรา”




Visitor 89

 อ่านบทความย้อนหลัง