คนขายพระคัมภีร์
 

 

 
 
 
              ศิษยาภิบาลสรุปว่าคริสตจักรกำลังมีปัญหาการเงินอย่างหนัก แต่เมื่อไปสำรวจห้องเก็บของ ก็พบว่า มีพระคัมภีร์ใหม่จำนวนมากอยู่ในโกดังโบสถ์ เป็นห่อพระคัมภีร์ใหม่ยังไม่เคยแกะออกมาใช้เลย ในประชุมวันอาทิตย์ ศิษยาภิบาลจึง ประกาศหาอาสาสมัคร 3 คนให้ออกไป เคาะประตูตามบ้านคน เพื่อขายพระคัมภีร์เหล่านั้น ในราคาเล่มละ 50 บาท เพื่อหาเงินเข้าคริสตจักร และเป็นการเผยแพร่ไปพร้อมๆกัน
 
               เก่งกาจ คล่องพาณิชย์, อภิวาท เยี่ยมวจี, และรำพึง สนิทภาชน์  3 หนุ่ม ยกมือขึ้นขันอาสาออกไปทำงานนี้  
               ศิษยาภิบาลรู้จักเก่งกาจ และอภิวาทดี ว่าทั้งสองมีอาชีพเป็นเซลแมน ขายของเก่ง ก็มั่นใจว่าจะขายพระคัมภีร์ได้ แต่ศิษยาภิบาลค่อนข้างเป็นห่วงรำพึง ชาวนาบ้านนอก ที่เก็บตัว และพูดจาตะกุกตะกัก อย่างไรก็ตาม ศิษยาภิบาลก็ไม่ขัด ให้รำพึงเสียใจ จึงรับเขาด้วย
              
              ศิษยาภิบาล บรรทุกพระคัมภีร์หลายกล่องใส่ท้ายรถ และส่งเขาออกไปขายในหมู่บ้าน แล้วก็นัดพวกเขาให้กลับมารายงานผลการขายในวันอาทิตย์หน้า
              วันอาทิตย์ถัดมา ศิษยาภิบาลอยากรู้ผลการขายอย่างยิ่ง ถามเก่งกาจว่า “เป็นไงบ้าง อาทิตย์ที่แล้วขายพระคัมภีร์ได้มากน้อยแค่ไหน?” 
               ด้วยความภาคภูมิใจ เก่งกาจยื่นซองให้ ศ.บ. “ผมใช้เทคนิคการขายที่ผมชำนิชำนาญ ผมขายได้ 20 เล่ม นี่ครับเงิน 1,000 บาท” “สุดยอด เก่งกาจ” ศิษยาภิบาลจับมือเขา “คุณเป็นเซลแมนเยี่ยมมาก คริสตจักรขอบคุณ คุณอย่างยิ่ง” 
 
        เขาหันไปหา อภิวาท “แล้วอภิวาทละ อาทิตย์ที่แล้วคุณขายพระคัมภีร์ไปได้กี่เล่ม?
           อภิวาทยิ้ม ยืดอกอย่างมั่นใจ “ผมขายให้โบสถ์ได้ 28 เล่ม นี่ครับ เงิน 1,400 บาท” ศิษยาภิบาลชอบใจ “สุดยอด อภิวาท คุณเป็นนักขายมืออาชีพจริงๆ คริสตจักรซาบซึ้งมาก” 
          ศิษยาภิบาลหันไปเห็น รำพึงเข้ามาพอดี จึงถามว่า
          “แล้วคุณล่ะ รำพึง อาทิตย์ที่แล้วคุณขายพระคัมภีร์ได้กี่เล่ม?
รำพึงไม่ได้พูดอะไร ยื่นซองใบใหญ่ให้ ศิษยาภิบาลเปิดซอง พร้อมใบรายการ แล้วก็นับเงินดู “อะไรกันนี่” ศิษยาภิบาล อุทาน “รำพึง เงินทั้งหมด 16,000 บาท นี่แปลว่าคุณขายพระคัมภีร์ ในหมู่บ้าน ให้โบสถ์ได้ถึง 320 เล่มเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว”
 
         รำพึงพยักหน้า “เป็นไปไม่ได้” ทั้งเก่งกาจ และอภิวาทพูดออกมาพร้อมกัน “เราเป็นนักขายมืออาชีพ แต่คุณบอกว่าคุณขายพระคัมภีร์ได้ 10 เท่าของเราสองคน” “นั่นสิ เป็นไปได้ยังไง??” ศิษยาภิบาลถามด้วยความอยากรู้
     
         “ขอคุณควรช่วยอธิบายให้เราฟังว่าคุณทำได้อย่างไร” รำพึงพยักหน้า “ผ ผ ผ ผม ไม ไม่ ไม่ ทรา ทรา ทราบ เหมือ เหมือ เหมือน กะ กะ กะ กัน   คะ คะ คะ ครับ” เขาตอบอย่างตะกุกตะกัก อภิวาทอดรนทนไม่ได้ ย้ำถาม “ผมอยากรู้ว่า เวลาคุณไปพบเจ้าบ้าน ที่หน้าประตูบ้านน่ะ รำพึง คุณพูดว่าอะไร”
 
         “สิ สิ สิ สิ่ง ที ที ที ผ ผ   ผ ผม พุ พุ พู พูด คึ คึ คึ คือ” รำพึงตอบ “คุ คุ คุ คุณ จ จ จ จะ ซึ ซึ ซึ ซื้อ พ พ พ พระ คะ คะ คะ คัม ภิ ภิ ภิ ภี ม ม ม ไม ไหม คะ คะ คะ ครับ เล เล เล เลม เล่ม ลัล ลัล ลัล ละ หะ หะ หะ ห้า สิ สิ สิ สิบ บะ บะ บะ บาท ทึ ทึ ทึ ทึ เท่า นะ นะ นะ นั้น คุ คุ คุ คุณ ยะ ยะ ยะ อยาก หะ หะ หะ ให ให้ ผ ผ ผ ผม ยึ ยึ ยึ ยืน ทิ ทิ ทิ ที่ นิ นิ นิ นี่ อะ อะ อะ อาน หะ หะ หะ ให ให้ คุ คุ คุ คุณ ฟะ ฟะ ฟะ ฟัง มะ มะ มะ ไหม คะ คะ คะ ครับ ??”        
 




 




 






Visitor 80

 อ่านบทความย้อนหลัง