Share

 เพลงคริสเตียน

โดย  ศบ.

ผมเป็นคนชอบเพลง  

            ไม่นานมานี้พระเจ้าทรงนำให้ผมแต่งเพลงขึ้นหลายเพลง  ผมเรียนรู้ว่าไม่มีใครรังเกียจดนตรีและเสียงเพลงคนไทยส่วนมากไม่ชอบอ่านหนังสือแต่ถ้าเป็นเสียงเพลง  ก็ฟังได้  ถ้าเพลงเพราะ ถูกหู บางทีก็ฮัมเพลงไปได้โดยไม่ตั้งใจ  ฮัมไปฮัมมา  โดยไม่ตั้งใจ  ก็จดจำได้  บางทีก็จำได้เป็นปีๆรู้เรื่องไม่รู้เรื่องไม่ใช่ประเด็นแต่จำได้  ตอนเรียนชั้นอนุบาลผมเคยท่อง 

            “ตั้งเอ๋ยตั้งไข่จะตั้งใยไข่กลม ก็ล้มสิ้น ถึงว่าไข่ล้มจะต้มกิน  ถ้าตกดินเสีย ก็อดหมดฝีมือ  ตั้งใจเรานี้จะดีกว่า อุตสาห์อ่านเขียนเรียนหนังสือ ท่องวิชาสารพัด ฝึกหัดปรือ ..(ว่าต่อยังไง นี่ชักลืมๆ)  ”  พอมาสมัยเรียนชั้นมัธยม  ผมอ่านหนังสือพระอภัยมณี  ครูให้อ่านบ่อย  ก็จำมาได้ถึงวันนี้  เช่น  “บัดเดี๋ยวดัง หงั่งเหง่งวังเวงแวว  สะดุ้งแล้วเหลียวแล ชะแง้หา เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา  ประคองพาขึ้นไปจนบนบรรพต  แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด  ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด  ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งดังน้ำใจคน”  นี่  ที่เขียนมานี่  ไม่มีโพยเลยนะ  ท่านก็คงเหมือนผม จำบทเพลงได้  จำบทอาขยานได้   นี่คงเป็นตอนพระฤาษีไปช่วยหลานตา  สุดสาคร  ส่วนพระฤาษีขี่รุ้ง  ขี่ได้ยังไงนี่ ถึงวันนี้ผมก็ไม่เข้าใจ  เราไม่เข้าใจ  แต่มันติดปาก ติดหูเราเข้าไปแล้ว

     นี่เป็นวิธีของพระเจ้า

              ลูกหลานคนอิสราเอลถูกสอนให้ท่องพระคำ  “เปิดซีดีให้ได้ยินที่หู  เขียนติดไว้ที่ฝาบ้านหรือคอนโด  ทำเป็นป้ายอักษรวิ่งติดตามทางเดิน  ทำเสียงดนตรีเบาๆในห้องนอน  เขียนติดไว้หน้าโถส้วมในห้องน้ำ  สลักเป็นกำไลไว้ที่มือสาว  เพ้นท์ที่แว่นตาหนุ่ม  เมมไว้ในมือถือ  ทำเป็นเสียงริงโทน เวลารับโทรศัพท์” ( ฉธบ 6:6-9 ฉบับของผมเอง )

             ปรากฏว่า  พวกยิวยังไม่ get คือยังไม่เข้าใจ  พระเจ้าก็สั่งให้โมเสสและโยชูวาเขียนเป็นเพลง  “สอนให้เขาร้องจนติดปาก  เพื่อเนื้อ

เพลงนี้จะเป็นพยาน”  วันใดพวกเขาเข้าไปในคานาอัน  ถูกการล่อลวง   เพลงที่ติดปาก พวกเขาจะเตือนสติ หรือปรักปรำพวกเขา “เพราะว่าเพลงนี้จะอยู่ที่ปากลูกหลานของเขา ไม่มีวันลืม” ( ฉธบ 31:19-22)

     คอนเสิร์ตในเมืองไทย  มีนักดนตรีเก่ง  มีนักจัดเวทีมืออาชีพ ทำให้แสง สีของเวที โดดเด่น เสียงก็คมชัด เพราะ เครื่องเสียงยุคหลังทันสมัยมาก  มีจอ เอ็ม วี เป็นฉากตระการตา  มีนักร้อง และนักเต้นนุ่งน้อยห่มน้อยที่ฝึกฝนมาอย่างดีเต้นประกอบเพลง    แม้ขายบัตรราคาแพงๆ ก็มีผู้คนเข้าไปชมเนืองแน่น  คนลานคอนเสิร์ตร้องเพลงเป็น มาตั้งแต่ที่บ้านของเขาแล้ว  ผู้ฟังจึงร่วมร้องเพลงได้ครึกครื้น  

              ผมไม่ได้ไปฟังหรอก  เห็นแต่ในทีวี  หรือซีดี  แต่พอฟังเนื้อร้อง  ผมแทบเป็นลม  บางเพลงหยาบคาย  สองแง่สามง่าม  เนื้อร้องแสดงความกลัดมันในกาม  ขมขื่น  เคียดแค้น  ชิงชัง  โกรธเคือง  ทั้งสอดแทรกความเข้าใจผิดนานาปการ   เข้ามาเนื้อเพลง  ทั้งๆที่นี่คือประตูความคิด เข้าสู่จิตใจของหนุ่มสาวได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า  สถาบันการศึกษาใดๆ   ลูซีเฟอร์  ทูตสวรรค์ที่ขบถพระเจ้า  เป็นทูตแห่งการนมัสการมาก่อน  มันชำนิชำนาญในเรื่องนี้  ดังนั้นเราต้องฉลาด  

 

หันมาดูสื่อที่เป็นเพลงนมัสการในโบสถ์บ้าง                                                                                                           

              ผมไม่ต้องการติผู้เขียนเพลงให้เสียกำลังใจ  แต่บางทีคนที่ช่วยแปลเพลงฝรั่งมาเป็นเพลงไทย  คือ ฝรั่ง ที่ไม่รู้จักภาษาไทย  และทีมนมัสการคนไทยก็ดีเหลือหลาย  กลืนเข้าไปทั้งกระบิ  บางเพลงหาตำแหน่งสัมผัสไม่เจอสักจุด  เมื่อไม่สัมผัสก็จำยาก  ถ้าจะให้จำได้  ก็ต้องออกแรงตั้งใจจำ  บางเพลงร้องมาเป็นปี  ปิดหน้าจอฉายเพลงเมื่อใด  ก็นึกเนื้อไม่ออกเมื่อนั้น   ถ้าว่าผมพูดเว่อเกินความจริง  ก็ลองทดสอบที่ประชุมดูก็ได้   ถ้าเห็นว่าจริง  ก็ต้องแก้ไขครับ  ที่ผมพูดมานี้  ผมมิได้พูดถึงเฉพาะที่คริสตจักรของเรานะ  แต่มันเป็นไปทุกที่  ผมพูดเรื่องนี้เป็นการกระตุ้น  คริสเตียนไทยที่เป็นครูภาษาไทย  รู้การเขียนกลอน  เขียนเพลง ให้ช่วยสังคายนา  หรือพัฒนาเรื่องนี้สักหน่อย  ตะลันของท่าน คริสตจักรต้องการ  แต่ไม่ใช่โยนกลับมาให้ผม 

                      เพลงแบบไหนเหมาะ  ไม่เหมาะกับคริสเตียน

          1. ดนตรี

           ผมมองว่า  ไม่เกี่ยวกับเครื่องดนตรี  เช่น  เราคงไม่ถือว่า  เปียโน  เป็นดนตรีฝ่ายวิญญาณ  แต่กีตาร์ สตริงเป็นดนตรีมาร   ออร์แกน เหมาะกับโบสถ์ ส่วนกลองควรอยู่นอกโบสถ์  อันนี้ไม่น่าจะถูก  ทั้งๆที่ยุคหนึ่ง ความคิดเช่นนี้เคยแพร่หลายกันมาก  เครื่องดนตรีไม่มีดีหรือชั่วในตัวของมันหรอก  เราใช้ดนตรีเล่นเพลงอะไร  แบบไหนต่างหากที่เป็นปัญหา  แท้จริงดนตรีทุกชนิด ก็เป็นการประยุกต์ฝีพระหัตถ์พระเจ้าทั้งสิ้น  คนไทยเรามี ระนาด ซออู้ ซอด้วง โปงลาง ขิม พิน กลองโพน  เขาเล่นงานที่มีวงเหล้า  แต่ก็เล่นในโบสถ์ได้ไม่ผิดตรงไหน  ถ้าดนตรีนั้นพาคนให้เข้าใจพระคำ  หรือถึงพระเจ้า  ผมก็มองว่าดีทั้งสิ้น  ในพระธรรมสดุดี  เอ่ย ชื่อดนตรีแทบทุกชนิดที่ชาวยิวใช้  เช่นแตร พิณเขาคู่ พิณใหญ่  รำมะนา เครื่องสาย ปี่ ฉิ่ง ฉาบ  นี่ถ้าเป็นเมืองไทย  ก็คงมีระนาด ฆ้อง กลอง เข้าไปด้วย 

       2. ทำนอง  และจังหวะ

            ทำนองเพลง  คือเสียงที่ประกอบเนื้อร้อง  นี่ก็ไม่แตกต่างไปจากดนตรี  พระเจ้าสร้างให้เสียงของเราเป็นดังตัวโน๊ต  โด เร มี ฟา ซอล  ลา ที โด เป็นเสียงสูงเสียงต่ำ  เสียงสูงต่ำเหล่านี้  มีการลำดับกันเร็วหรือช้า  เป็นจังหวะ ดังนั้นในทำนองจึงมีจังหวะอยู่ด้วย  บาปไม่บาป ดีหรือชั่ว  ไม่ได้อยู่ที่ทำนองเพลงเลย ทำนองเดียวกัน  เราสามารถร้องเป็นเพลงอะไรก็ได้  ผมยังจำได้ว่า  คุณแม่ท่านรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรเวลา ท่านร้องเพลง “พระเจ้าผู้ทรงสร้าง ทั้งโลกล่าง และชั้นฟ้า พระนามพระโฮวาห์  พระบุตราพระเยซู...”  ผมถามท่านว่า ทำไมล่ะ  ท่านตอบว่า  เพลงนี้ แต่เดิม   คนขี้เมาเขาร้อง “ขงเบ้งไปบอกโลซก  ว่าเมฆหมอกตก  ทั้งคืนทั้งวัน   ไปเอาลูกเกาทัณฑ์  ไม่ได้เก้าพัน ไม่ยอมกลับมา... “ แต่มันก็เป็นความรู้สึก  เพราะท่านเคยได้ยินทำนองนี้  จากเนื้อร้องของคนเมา

     3. เนื้อร้อง

              เนื้อร้องสิสำคัญ  เราต้องพินิจพิจารณา  เพราะเนื้อหาสาระนี่เองที่คนจำ    เนื้อร้องให้ความหมาย  ที่ถูกต้องหรือผิดได้ทั้งคู่  เป็นความจริงก็ได้  เป็นความเท็จก็ได้     วิงกี่  แพรทนี่   เคยแนะนำว่า  เพลงที่ร้องควรสะท้อนความรักของพระเจ้า  โดยการเอา  1 โครินธ์  13: 4-6   บทแห่งความรัก  มาเป็นไม้บรรทัดวัดดู  

1.อดทนนาน     มีกี่เพลงที่พูดเรื่อง  ฉันอดรนทนไม่ได้  ฉันต้องทำอะไร  

  สักอย่าง  ฉันเบื่อ  ฉันทนไม่ไหว  ฯลฯ

   ตรงกันข้ามกับ  ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยยั้งหยุด  

2. กระทำคุณให้  มีกี่เพลงที่พูดเรื่อง  ทำให้ช้ำ  ซ้ำเติม  พูดให้เจ็บ  หรือ

    พูดเรื่อง ความท้อถอย ท้อแท้ หมดกำลังใจ  ซึ่งตรงกันข้ามกับ  พระคุณ

พระเจ้า  หรือ  ชัยชนะโดยความเชื่อ 

3.ไม่อิจฉา   มีกี่เพลงในบ้านเราที่พูดเชิงเยาะเย้ย   ไหนว่าเก่ง   ไหนว่า

   เธอคือเสือ   คู่แข่ง  ซึ่งตรงกันข้ามกับ  พระเจ้าทรงดีต่อฉันเสมอ   หรือ

พูดเรื่อง  ความรักแท้  ทรงยอมเพื่อฉัน 

4.ไม่อวดตัว    เช่น  คนอย่างฉัน   ไม่เคยแพ้ใคร   ตรงกันข้ามกับ   ยก

    พระเยซู  ข้าอ่อนแรงพระองค์ทรงฤทธิ์ 

5.ไม่ฉุนเฉียว  มีเพลงที่พูดถึง  ใจฉันมันลุกเป็นไฟ    แค้น    ตรงกันข้าม

   กับ  พักพิงในพระเจ้า   หรือ  เชื่อและวางใจ 

6.ไม่ช่างจดจำความผิด  มีกี่เพลงที่บรรยายว่า  เจ็บแล้วต้องจำ  ไม่มีวันลืม  จำจนวันตาย  เจ็บมามาก  ตรงกันข้ามกับ  เจ็ดสิบครั้ง ทรงอภัยให้เสมอ  รักนิรันดร์  ทรงอภัยเสมอ 

7. ไม่คิดชั่ว     เช่น   เมียพี่ไม่มา   ท้องไม่รับ  รักคนมีเจ้าของ  รักผัวคนอื่น  น้องเมีย  แอบมีกิ๊ก   ตรงกันข้ามกับ  พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ  ฉันจะสัตย์ซื่อ

 

8.ไม่เห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว  เช่น   คืนนั้นอารมณ์พาไป  ไม่ตั้งใจ   รักแล้วทิ้ง  ใครบอกว่ารัก  คนชั่วคราว  ตรงกันข้ามกับ  บริสุทธิ์ บริสุทธิ์   รักเสมอ 

 

9.ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อทำผิด   มีเพลงที่สมน้ำหน้าคนผิด  ให้สมอุรา ให้สาแก่ใจ  ตรงกันข้ามกับ  ความหวังของข้าฯ 

 

10. แต่ยินดีเมื่อทำชอบ  มีเพลง   ไม่เห็นดีตรงไหน   ก็แค่นั้น  ตรงกันข้ามกับเพลง  จงชื่นชมยินดี  ที่หยิบยกมานี้  เพื่อให้เราเห็นว่า  เนื้อร้องประกอบทำนอง  มีความสำคัญมาก  เพลงครึกครื้นเพราะทำนอง  จังหวะ  และดนตรี   ทำให้

คนอยากร้องเพลง  มันจึงเป็นดาบสองคม  เพราะถ้าเราใส่ความแค้น ความเท็จ  ความคิดผิดๆเข้าไป  คนก็จำสิ่งผิดได้  ตรงกันข้าม  ถ้าเนื้อหาสาระ  เป็นความจริง  สร้างสรรค์  สร้างความเชื่อ  ความหวังใจเข้าไป  ก็ช่วยเสริมสร้างผู้ร้องเพลงหรือฟังเพลง  ปัญหา  ที่ผมแลเห็นก็คือ  เพลงจำนวนมาก  มีทั้งจริงปนเท็จ  หรือให้ความจริงครึ่งเดียว เช่น  เพลงบัวขาว  เป็นเพลงที่ดีมาก

         “เห็นบัวขาว  พราวอยู่ในบึงใหญ่ ดอกใบบุปผชาติสะอาดตา น้ำใสไหลเย็น เห็นตัวปลา ว่ายวนไปมาน่าเอ็นดู หมู่ภุมริน  บินเวียนว่อน คอยร่อนดมกลิ่น กลิ่นเกสร พายเรือน้อย คล้อยเคลื่อนในสาคร ค่อยพาจร ห่างไปในกลางน้ำ..”

          ไม่มีผิดสักคำ 

          แต่ก็เป็นการชมธรรมชาติ  ที่ไม่มีพระเจ้าสักคำเหมือนกัน ก็เพราะผู้แต่งไม่ได้เชื่อพระเจ้าผมจึงอยากเห็นเพลง ทำนองไทย  ทำนองและจังหวะสนุก  ชวนร้อง ที่มีเนื้อร้องที่ได้ความหมายจาก      พระคัมภีร์  เทิดเกียรติพระเจ้ามากขึ้นครับ   ขอพระเจ้าอวยพระพร 

 

 

 

 

















Visitor 136

 อ่านบทความย้อนหลัง