ทำถูกเพราะคิดถูก

 

โดย  ศบ.

 

              “ถ้าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในคำของเรา  ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง  และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ  และสัจจะจะทำให้ท่านเป็นไทย”  (ยอห์น 8:31-32)

 

             สมัยตอนที่ผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีที่  3   ผมป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร  ผมมีอาการปวดท้อง โดยเฉพาะตอนท้องว่าง  พอได้กินอาหารก็ค่อยคลายปวดไปได้บ้าง  บางครั้งก็คลื่นไส้อาเจียน  ผมไปหาหมอที่โรงพยาบาลจุฬา   ตอนนั้นในฐานะนิสิตมหาวิทยาลัยที่ผมเรียน  ผมได้รับสิทธิรักษาพยาบาลฟรี   หมอให้ยามากิน  ไม่หาย  ไปโรงพยาบาล หมอให้ยามากินอีก  ผมก็ไม่หาย  นานเท่าใดผมจำไม่ได้   วันหนึ่ง  ผมไปโรงพยาบาลอีก  วันนั้น  บังเอิญผมได้พบหมอที่เป็นอาจารย์  ท่านนั่งอ่านรายงานที่หมอคนก่อนๆ เคยตรวจผม   แล้วหันมาคุยกับผม  หมออธิบายให้ผมทราบว่า  โรคกระเพาะคือผมเป็นแผลในกระเพาะ  อาจเนื่องจากกินอาหารไม่เป็นเวลา  กินของเผ็ดจัด  หรือกังวลตอนใกล้สอบหรือเปล่า  เดี๋ยวนี้กระเพาะเป็นแผลอยู่แล้ว  วิธีรักษาก็คือ  ผมต้องไม่ปล่อยให้ท้องว่าง  เพราะน้ำย่อยในกระเพาะเป็นกรด มันมาโดนแผล  ผมก็จะแสบท้อง  ไม่หายสักที  แล้วอาหารที่กินก็อย่ากินของย่อยยาก  เพราะช่วงนี้  กระเพาะทำงานหนักไม่ได้  ของเผ็ดๆห้ามทาน  เพราะมันจะไปโดนแผล  เหมือนเอาอะไรแสบๆไปราดบนแผล  ส่วนยาที่ให้เป็นยาลดกรด  กินไม่ให้ขาด ก็ไม่เปิดโอกาสให้กรดมาราดบนแผล  ไม่นานก็หาย   คำแนะนำหมอทั้งหมด  ผมจำไม่ลืม  ผมปฏิบัติตาม  ผมก็หายในอาทิตย์เดียว 

 

              การรู้ความจริง  ทำให้ผมปฏิบัติถูก  แล้วผมก็หายป่วย  มีระบบทางเดินอาหารที่ปกติสุขเรื่อยมา  ปัจจุบัน ผมเตือนตัวเองเสมอว่า  อย่ากินของเผ็ดจัด  หรือของย่อยยาก  กินอาหารให้เป็นเวลา  ส่วนเรื่องเครียดนี่  ผมเชื่อว่าเราที่เชื่อพระเจ้าไม่เครียดอยู่แล้ว

 

              ความเข้าใจถูก  ทำให้เราเป็นอิสระ

              พระเยซูตรัสว่า  ถ้าเราดำรงอยู่ในคำของพระองค์  คำของพระองค์เป็นความจริง เป็นสัจจะธรรม   เราจะเป็นไทย

ทุกวันนี้  เรามีเรื่องเข้าใจผิดเยอะแยะ  ความเข้าใจผิดเหล่านั้น  ล้วนผูกมัดความคิด  และการกระทำของเรา  ทำให้เราเดินไม่ถูก  แล้วมันก็ส่งผลร้ายมาสู่ตัวของเรา บางทีเป็นเดือนเป็นปี

 

            ลองทบทวนดูสิ

            ครั้งหนึ่งเราเคยเข้าใจว่า  โลกนี้ไม่มีพระเจ้า  ทุกอย่างเกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ   เราเกิดมากจากปฏิกิริยาเคมี  วิวัฒนาการมาจากสัตว์เซลล์เดียว พัฒนาจากไส้เดือน เป็นจิ้งเหลน  โตขึ้นมาเป็นหมา  เป็นแมว  

เป็นม้า เป็นลิง  ในที่สุดก็เป็นคน  นักวิทยาศาสตร์ปัญญานิ่ม   พยายามเอากะโหลกลิง มาเทียบกับกะโหลกคน  แล้วอธิบายว่า นั่นคือบรรพบุรุษของเรา  แล้วเราก็หลงเข้าใจตามนั้น  ลองนึกภาพดูซิว่า  เราจะเหงา หรือ

ว้าเหว่แค่ไหน  มารเป็นเจ้าแห่งการมุสา  มันหลอกเราผ่านนักวิทยาศาสตร์ไร้ความคิด  ตลกมากเลย  ตัวเราเป็นชีวิตที่มีระบบ นับสิบระบบที่มหัศจรรย์  มีระเบียบชัดเจนแน่นอน 

 

           ขอยกตัวอย่าง  ระบบย่อยอาหาร 

           อาหารที่ผมกิน  นักวิทยาศาสตร์เองนั่นแหละ ชี้แจงว่า แป้งจะถูกย่อยโดยน้ำลาย  และน้ำย่อยในกระเพาะ  ไขมันจะถูกย่อยในลำไส้เล็ก โดยน้ำย่อยที่ส่งมาจากน้ำดีและตับ  โปรตีนก็เช่นเดียวกันถูกย่อยที่ลำไส้เล็ก  ส่วนลำไส้ใหญ่จะดูดน้ำออกจากกากก่อนที่คนเราจะถ่ายออกมา  อาหารที่ย่อยแล้วจะถูกดูดซึมไปเผาผลาญที่เซลล์ทั่วร่างกาย  ทำให้เรามีพลังงาน  แล้วทั้งหมดนี้เกิดเองๆ ของมันโดย ไม่อาศัยปัญญาใดๆของใครได้อย่างไร   เกิดเองโดยไม่มีพระเจ้า ผู้ทรงปัญญาหรือมีพลานุภาพใดๆอยู่เบื้องหลังได้หรือ  ตลกแท้ๆ  พอเราเชื่อ เราก็ดำเนินชีวิตราวกับไม่มีพระเจ้า 

 

            เราจึงดำเนินชีวิตเหมือนเด็กกำพร้า  ที่เข้าใจผิดว่า  พ่อแม่ไม่มี  มีแต่ตัวเราคนเดียวในโลก  ทั้ง ๆที่พ่อแม่ของเรายังมีชีวิตอยู่  ท่านอยากพบเรา  ท่านเป็นมหาเศรษฐีที่รักเรา  แต่เราถูกใส่ความคิดผิด  เราถูกปิดกั้นจากความจริง  วันนี้  เรามาเชื่อพระเจ้า  ตาของเราสว่าง  เราติดต่อสัมพันธ์กับพระองค์  อย่างลูกคุยกับพ่อ  เราก็อบอุ่น มีกำลัง  พระพรก็ไหลมาเทมา

 

           ยิ่งรู้ความจริง  เราก็จะยิ่งเป็นอิสระ

           ผมเพิ่งยกมาแค่เรื่องเดียว  แท้จริง  คนเราเข้าใจอะไรผิด ฝังหัวอีกเยอะ  เราเข้าใจว่า  ตัวเราเองนี่แหละคือพระเจ้า สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ  เบื้องหลังความตายไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี  การพิพากษาไม่มี ดังนั้นอยากได้ความสุขอะไรก็ให้รีบกอบโกย  ตายไปก็จบสิ้นกัน  ลองคิดสิ   พอเราเชื่อเช่นนี้  เราก็ดำเนินชีวิต  ไม่กลัวบาปโทษ  เห็นแก่ตัวหนักขึ้น  มีเงินทองก็เอามาบำรุงบำเรอเนื้อหนังของตนเอง  เท่าที่ทำได้  ทั้งๆทีทำไปก็ฝืนมโนธรรมที่พระเจ้าใส่ไว้ในตัวเรา  เราจึงรู้สึกฟ้องร้องในจิตใจ   มารหลอกเราอีก  เราไขว่คว้าหาความสุข เหมือนคนวิ่งจับเงาของตัวเอง   ไม่เคยอิ่ม  และไม่มีวันอิ่ม   

           

            จนกระทั่งวันหนึ่ง  พระวจนะของพระเจ้าเปิดตาเรา     

            พระเยซูตรัสว่า  คนที่ใคร่เอาชีวิตรอด  จะเสียชีวิต   แต่คนที่สู้เสียชีวิต  เพราะเห็นแก่พระองค์กลับได้ชีวิตรอด       พระจ้ามิได้สร้างให้เราอยู่ในโลกนี้เพื่อ กอบโกยทุกอย่างให้ตัวเอง  แต่ให้เรารักพระเจ้าสุดจิต

สุดใจ  สิ้นสุดกำลัง และความคิด  รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองต่างหาก   เมื่อตาเราสว่างขึ้น  เราเปลี่ยนวิถีชีวิต  เริ่มใช้ชีวิตเพื่อพระเจ้า  เพื่อคนอื่น  เรากลับได้รับความสุข สดชื่นอย่างไม่เคยสัมผัสมาก่อน 

 

          เปาโลกล่าวว่า  “อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้  แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ  แล้วอุปนิสัยของท่านจะเปลี่ยนใหม่”  ( โรม 12:2 )

           ผมแปลให้ใหม่นะครับ  อย่าทำตามที่เขาทำกัน  แต่จงคิดเสียใหม่ให้ถูก  แล้วท่านจะทำถูก 

 

          ดนตรีชิ้นเดียวที่ผมพอเล่นเป็นคือกีตาร์  กีตาร์มี  6 สาย ก่อนเล่นผมต้องตั้งเสียงให้ถูกต้องเสียก่อน  ถ้าสายหนึ่งเสียงเพี้ยน  กีตาร์ตัวนี้ก็เล่นเพลงเพี้ยน  ยิ่งถ้าเสียงเพี้ยนหลายสาย ก็ยิ่งเล่นเพลงไม่ได้เอาเลย     

          พระเยซูตรัสว่า  “ตาเป็นประทีปของร่างกาย  ถ้าตาของท่านปกติ  ทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย  แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติ  ทั้งตัวก็พลอยมืดไปด้วย  เหตุฉะนั้นถ้าความสว่างในตัวท่านมืดไป  ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใดหนอ”   (มัทธิว  6:22-23)คนตาบอดสี  นี่เขาไม่ให้ขับรถนะครับ  เพราะถ้ามองไฟแดงเป็นไฟเขียว เราลองคิดสิ  มันน่ากลัวแค่ไหน 

 

     ก่อนจบ  ผมขอฝากไว้เป็นข้อคิด

          1.เราต้องปรารถนา รู้จักสัจจะธรรม  และทูลขอปัญญาจากพระเจ้า

                2.เราลองตั้งประเด็นเป็นเรื่องๆ  ว่า  อะไรคือหนทางที่ถูกต้อง 

          3.เทียบเคียงระหว่าง ความคิดเดิมที่เราเคยเข้าใจ  กับความจริง      แห่งพระวจนะ 

          4.เปลี่ยนแปลงความคิดใหม่ ตามพระคำ เรื่องต่อเรื่อง

          5.นำมาใช้เป็นภาคปฏิบัติ   ในทุกๆแง่มุม โดยความเชื่อในพระเจ้า









Visitor 61

 อ่านบทความย้อนหลัง