จอห์น ฮาร์เปอร์กับเรือไททานิก

คัดมาจาก  Mission of Evangelist หน้า 267-268

วันที่ 15 เดือนเมษายน  1912  เรือไททานิก  จมลงใต้ น้ำทะเลอันเยือกแข็ง ของมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ   คร่าชีวิตผู้โดยสารทั้งหมด 1,517  คน  เรือที่ใหญ่ที่สุด หรูหราที่สุดในยุคนั้นจมดิ่งหายวับไปกับตา  เตือนให้ชาวโลกทั้งหลายรู้ว่าชีวิตคนเรานั้นเปราะบางแค่ไหน  แต่ยังมีชีวิตที่กำลังจมดิ่งลงไปอย่างน่าเศร้ายิ่งกว่าเรือไททานิก ที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์   แต่ก็มีเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ที่กล้าหาญ และมีความเชื่อไม่เสื่อมคลาย           

        จอห์น ฮาร์เปอร์  ขึ้นเรือไททานิก  ซึ่งจะเดินทางออกจากท่าเมืองเซาท์แทมตัน  ประเทศอังกฤษ  อันเป็นการออกเดินทางครั้งแรกของเรือลำนี้   ฮาร์เปอร์เป็นผู้ประกาศ  จากเมืองกลาสโกว์  ประเทศสกอตแลนด์   ผู้คนในประเทศอังกฤษรู้จัก ฮาเปอร์ดีว่าท่านคือนักเทศน์ร้อนรน ประกอบด้วยพระวิญญาณ ที่นำคนจำนวนมากมารู้จักพระเยซู  ในปี 1912  ฮาร์เปอร์ได้รับการเชื้อเชิญจาก คริสตจักรมูดี้  ที่เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา  และเขาได้ขึ้นเรือโดยสารไททานิก ในวันที่ 11 เดือนเมษายน  1912 

เศรษฐีมั่งคั่งที่สุดในโลกหลายคนอยู่ในเรือลำนี้   ขณะที่พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับธุรกิจ และความเฟื่องฟูของทรัพย์สิน  ฮาร์เปอร์ขมีขมันแบ่งปันความรักของพระคริสต์แก่คนอื่น  ไม่กี่วันก่อนถึงโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่  ผู้ที่รอดตายเล่าว่าฮาร์เปอร์ดำเนินชีวิตอย่างบุรุษแห่งความเชื่อ  สำแดงเมตตาแบ่งปันความรักของพระคริสต์            

          วันที่ 14 เดือนเมษายน  ในขณะที่ผู้โดยสารกำลังเต้นรำสำเริงสำราญอยู่ในห้องโถง  ทอดลูกเต๋าอยู่ที่โต๊ะพนัน  จอห์น ฮาร์เปอร์เอาลูกสาวเข้านอน  อ่านพระคัมภีร์ให้เธอฟัง  อย่างที่ท่านเคยปฏิบัติเสมอมา    เวลา 23:40 น. เรือไททานิกพุ่งเข้าชนภูเขาน้ำแข็ง  เรือที่เล่าขานกันว่าจะไม่มีวันจม  ก็ถึงคราวหายนะ  ผู้คนไม่ทันรู้ตัว บางคนไม่เชื่อ  ยังคงสำเริงสำราญกันต่อไป   จนกระทั่งลูกเรือส่งสัญญาณไซเรนต่อเนื่อง   ผู้โดยสารจึงตระหนักว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง  ความพินาศกำลังเข้ามาเยือนถึงพวกเขาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง              

          ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก   จอห์น ฮาร์เปอร์ เป็นตัวอย่างวีรบุรุษแห่งความเชื่อผู้กล้าหาญ   เขาปลุกลูกสาวให้ตื่นขึ้น  เอาผ้าห่มคลุมตัวเธอ  พาขึ้นไปยังดาดฟ้า  เขาจูบอำลาลูก  ส่งเธอให้กับลูกเรือกู้ชีพลำที่ 11  ฮาร์เปอร์รู้ดีว่าเขาจะไม่ได้พบลูกอีก  และลูกสาวจะต้องไปอยู่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เธออายุ  6  ขวบ 

 

           ฮาร์เปอร์มอบเสื้อชูชีพของตนให้แก่เพื่อนผู้โดยสารคนหนึ่ง  เป็นการปิดโอกาสรอดชีวิตของเขาลงอย่างสิ้นเชิง  ผู้รอดชีวิตเล่าว่า   เขาได้จัดการเรียกให้ผู้หญิง เด็ก และคนที่ยังไม่รอดหลายคนขึ้นเรือชูชีพ   ฮาร์เปอร์ทำให้เราเข้าใจว่า  มีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า รอดจากการจมน้ำตาย  นั่นคือการรอดจากความตายนิรันดร์   

           ในขณะที่เสียงสัญญาณเตือนภัยยังดังไม่หยุด  ฮาร์เปอร์มุ่งมั่นกับสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ทำ      

            เวลา  2:40 น. เรือไททานิกจมลงไปใต้มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ  มีเมฆควันพุ่งขึ้นสู่ฟ้าเหมือนรูปเห็ด  ฝังกว่าพันชีวิตไว้ใต้กระแสน้ำอย่างน่าเศร้าใจ   ฮาร์เปอร์ยังคงพยายามช่วยชีวิตของคนที่ลอยคออยู่ในน้ำที่เย็นแข็ง  เขาเกาะเศษไม้ที่พอหาได้  ว่ายน้ำไปพบทุกคนที่เขาสามารถ  ขอให้เขาเชื่อพระเยซู  ในขณะที่ความตายกำลังมาถึงตัวผู้คน  ฮาร์เปอร์ ยิ่งทวีกำลังพยายามนำพวกเขามาถึงพระเยซูคริสต์ 

           ในน้ำทะเล จอห์น ฮาร์เปอร์  ว่ายน้ำไปรอบๆ  บอกกับทุกคนอย่างดี สุดความสามารถ  คำถามของเขาคือ “คุณรอดแล้วหรือยัง”  และถ้าเขายังไม่รับความรอด หรือเขาไม่เข้าใจ  ฮาร์เปอร์ก็จะอธิบายพระกิตติคุณอย่างรวดเร็ว 

ไม่นานนักตัวเขาก็จมลงในทะเลที่เย็นเป็นน้ำแข็ง   แม้แต่ในวาระสุดท้าย  บุรุษผู้ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย  ยังคงพยายามนำวิญญาณผู้หลงหายไม่หยุดหย่อน                  

             ชายคนหนึ่งเล่าว่า  “ผมเป็นผู้รอดตายคนหนึ่งจากเรือไททานิก  ผมเป็น 1 ใน 6 คนที่รอดจากการกู้ชีพ จากศพ ที่ลอยอยู่ในน้ำ  1,517  ศพ  ผมเหมือนกับคนอื่นๆ  จำนวนร้อยๆคนที่ดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด  ในน้ำที่หนาวเย็น มืดมิด ของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ  ผมได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งที่ลอยคอเข้ามาหาผม  ถามผมว่า “คุณรับความรอดแล้วหรือยัง”และผมได้ยินเขาถามคนอื่นๆอีกหลายคน  ในขณะที่ตัวเขาและคนข้างเคียงกำลังจมดิ่งลงในน้ำที่ลึกลงไปประมาณ 2 ไมล์  ผมได้ร้องเรียกขอให้พระคริสต์ช่วยผมให้รอด  ครับ  ผมคือคนที่จอห์น ฮาร์เปอร์นำมารับความรอดคนสุดท้าย” 

 

 









Visitor 302

 อ่านบทความย้อนหลัง