การประกาศของ  BFC

 

       โดย ศบ

              วันนี้เป็นวันฉลองครบรอบ 44 ปีคริสตจักรสามัคคีธรรมกรุงเทพ(BFC)  เราทุกคนขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำเรามาถึงวันนี้   ผมอยากพูดเรื่องการประกาศพระกิตติคุณของคริสตจักรสามัคคีธรรมกรุงเทพ

 

             ซี ปีเตอร์ แวคเนอร์  บอกว่า   “คริสตจักรที่เพิ่มพูน  และมีสุขภาพดี  ต้องเป็นคริสตจักรที่ มีวิธีการประกาศพระกิตติคุณที่ได้ผล….   หากเป้าหมายของคริสตจักรชัดเจน  หากเราเห็นด้วยว่าการประกาศต้องมุ่งหมายให้ได้ “สาวก”(Disciples)  ไม่ใช่ มีแต่ “รายชื่อของคนรับเชื่อ”(Decisions)  วิธีการประกาศของเราจะต้องได้ผลจริงสู่เป้าหมายนี้” 

 

             การประกาศโดยสื่อสารมวลชน  เช่น รายการวิทยุ  โทรทัศน์ คริสเตียน  หรือประกาศทางเวปไซท์  อาจมีความมุ่งหมายแค่งานหว่าน โดยไม่หวังเก็บเกี่ยว  ได้แค่ “จำนวนคนตอบรับ” ผู้หว่านก็พึงพอใจแล้ว  แต่สำหรับการเพิ่มพูนคริสตจักรนั้น “ไม่ใช่”  เพราะผลของการประกาศ ผู้เชื่อจะต้องเป็นสมาชิกของคริสตจักร  เป็นสาวกของพระเยซูต่อไป

 

             แวคเนอร์  ได้แนะนำการนำวิญญาณเพื่อเพิ่มพูนคริสตจักรว่า  เหมือนการสร้างบ้าน  3  ชั้น  คือ (1) การเป็นพยาน (Presentation) หรือการสำแดงชีวิตคริสเตียน ในท่ามกลางสังคม  เหมือนที่พระเยซูตรัสว่า “เพื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ  เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ (2) การประกาศ (Proclamation) หมายถึงการบอกเล่า  ให้คนได้เข้าใจความจริง พระกิตติคุณ  เปาโลกล่าวว่า “ความเชื่อเกิดขึ้นเพราะการได้ยิน  การได้ยินเกิดขึ้นเพราะการประกาศพระคริสต์   ถ้าไม่ประกาศ เขาจะยินได้อย่างไร  (3) การปั้น ( Persuasion ) หมายถึงการ  สร้างสาวก  คือการนำเขาให้ก้าวเดินไปกับพระเจ้าในคริสตจักรต่อไป 

 

             ผมจะขอชี้แจงทั้ง  3 ขั้นตอน  ดังนี้

 

        1. เรื่องการสำแดงชีวิต (Presentation)  เป็นพยานให้พระเยซู  ก็เหมือน   ตะเกียงที่จุดติดขึ้นในชีวิต เมื่อเราเข้ามาเป็นคริสเตียน  พระเยซู จึงตรัสว่า  “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก  ไม่มีผู้ใดจุดตะเกียงแล้วเอาถึงครอบไว้  แต่ตั้งบนเชิงตะเกียง  จะได้ส่องสว่างไปในเรือนนั้น  เพื่อเมื่อเขาเห็นความดีที่ท่านทำ  เขาจะได้สรรเสริญพระบิดา  ผู้สถิตในสวรรค์ “    พระเยซูทรงให้ความหมายชัดเจนว่า  ผู้เชื่อ  เป็นความสว่างของคนในสังคม  นั่นแปลว่า  เราผู้มีชีวิตบังเกิดใหม่  พบพระเจ้า  ชีวิตเราเปลี่ยนแปลง  เคยสูบบุหรี่  ก็เลิกบุหรี่  เคยดื่มเหล้า ก็เลิกเหล้า  เคยติดการพนัน  ก็เลิก  แต่เดิมอยู่เพื่อตนเอง  ต่อมาเรามีชีวิตใหม่ที่รักพระเจ้าเป็นที่หนึ่ง  รักคนอื่นเหมือนรักตนเอง  ใครเห็นใครก็รัก  ใครอยู่ใกล้ก็ประทับใจ  พระเยซูถึงตรัสว่า  ชีวิตใหม่เป็นเหมือนดวงไฟที่สว่างไสว  “เขาเห็นความดีที่ท่านทำ”  ไม่มีชีวิตใหม่อย่างนี้  ก็เหมือนไม่มีฐานชีวิตให้เป็นพยานกับใคร   คริสเตียนหลายคนชอบกระโดดข้ามข้อนี้  คิดว่าไม่สำคัญ  ไม่สนใจ  เหมือนคนคิดสร้างตึกชั้น 2 ชั้น  3  โดยตึกชั้นแรกไม่มี  หรือมีก็ง่อนแง่น   ผลก็คือสร้างไม่ได้ 

2. เรื่องการประกาศ (Proclaimation)  และหาวิธีการที่ได้ผลนั้น  ลางที คริสเตียนก็นั่งคิดแต่วิธีการ  คิดค้น  วิเคราะห์  วิจัย จัดสัมมนา ถกกันเถียงกัน  ว่าวิธีไหนดี  วิเคราะห์แล้วก็ไม่ได้ทำอะไร  ไม่ได้ประกาศ  ไม่ได้เป็นพยาน  เปาโลถามว่า “และผู้ที่ไม่ได้ยินถึงพระองค์  จะเชื่อในพระองค์อย่างไรได้  และเมื่อไม่มีผู้ประกาศให้เขาฟัง  เขาจะได้ยินถึงพระองค์อย่างไรได้” (โรม 10:14) 

          การค้นหาวิธีที่เหมาะสมนี่  ผมจะขอเล่าให้ฟัง ในวาระวันเกิดคริสตจักร 

      (1)  คริสตจักรต้องมีใจร้อนรนเพื่อการประกาศ  เปาโลบอกว่า  “ให้ประกาศพระวจนะ  ให้ขะมักเขม้นที่จะทำการทั้งในขณะที่มีโอกาส  และไม่มีโอกาส  ให้ชักชวนด้วยเหตุผล” (2  ทิโมธี 4:2 ) พระเยซูทรงมอบพระมหาบัญชาให้เราออกไปประกาศทั่วโลก ( มาระโก 16:15 ) หัวใจปรารถนานำคนมาเชื่อพระเยซู ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา  การมีคริสตจักรก็เพื่อการนี้   เปาโล เนกรุท ศบ. และประธานสถาบันพระคริสตธรรมอิมมานูเอล ที่โรมาเนีย กล่าวว่า “คริสตจักรเป็น เครื่องมือของพระคริสต์ในโลก ร่างกายต้องทำตามคำสั่งของศีรษะ แล้วแผ่นดินของพระเจ้าจะก้าวหน้า”         

       คำถามก็คือ ใครคือผู้ทำการ  ศิษยาภิบาล  หรือสมาชิก  แน่นอน  ต้องเริ่มมาแต่ ศบ. ซี  ปีเตอร์ แวคเนอร์ กล่าวว่า  “คริสตจักรที่เพิ่มพูน  และมีพลังทุกแห่ง  มี ศิษยาภิบาลเป็นกุญแจดอกสำคัญ ที่พระเจ้าทรงใช้ให้เกิดการเพิ่มพูน”  แต่ขณะเดียวกัน  การร่วมมือจากสมาชิกเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้  เคน อาร์ ฮันเตอร์  กล่าวว่า “กรอบความคิด ที่ว่า ให้ ศบ. ทำทุกสิ่ง เป็นการทำให้เรี่ยวแรงกำลังของคริสตจักรพิการ  พระเยซู ทรงออกแบบให้คริสตจักรเป็นสิ่งที่มีชีวิต (Living Organism) ที่สมาชิกทุกคนจะต้องทำงาน  ในขณะที่ศิษยาภิบาลคือ กระบอกเสียง”  มาร์ติน ลูเธอร์  บอกว่า  “ ถ้าในถิ่นที่เราอยู่  ไม่มีนักเทศน์  คริสตจักรสามารถเลือกใครคนหนึ่งขึ้นมา  นำคนรับเชื่อ ให้บัพติสมา  นำนมัสการ และเทศนา  และให้ถือว่าบุคคลที่เลือกนั้น เป็นบุคคลที่ใช้ได้ เช่นเดียวกับเป็นผู้ที่ได้รับการเจิม เหมือนนักเทศน์ ”

     (2)     ลองสำรวจดูว่า  คนในสังคมของเราเป็นคนกลุ่มไหน   เรื่องนี้ไม่ได้ยากอะไร  สำหรับคริสตจักรที่มีอยู่แล้ว เพราะสมาชิก ปัจจุบันของเรามักเป็นตัวแทนของคนในสังคม  เช่น เป็น คนชั้นกลาง กรรมกร นักศึกษา  แม่บ้าน ชาวนา ฯลฯ  และคริสตจักรมุ่งนำให้คนในสังคมมารู้จักพระคริสต์   เรามักจะเห็นว่า  การประกาศในคนกลุ่มใดเข้มแข็งจากการที่สมาชิกชักชวนคนที่เหมือนกับคนมาโบสถ์  เช่น  อนุชน_นักศึกษานำเพื่อนนักศึกษา  สตรี_แม่บ้านนำเพื่อนแม่บ้าน  นักธุรกิจ  นำเพื่อนนักธุรกิจมารู้จักพระเจ้า

    (3)    ในคริสตจักร มีอะไรอยู่ในมือเพื่อการประกาศ  นี่คือสิ่งที่ ผมได้เรียนรู้  สมัยที่คริสตจักรของเราเริ่มขึ้นใหม่ๆ ที่หน้าท้องฟ้าจำลอง  ปี 1969  อาจารย์เออบาน วอง  และ อาจารย์บอบบี้ ใช้วิธีประกาศโดยการจัดสอนภาษาอังกฤษ ท่านทั้งสองสอนด้วยตนเอง   เมื่อโบสถ์ ย้ายมาอยู่ซอยอ่อนนุช ในปี 1975 คริสตจักรกางเต็นท์ ประกาศ จัดสอนภาษาอังกฤษ  ผมยังจำได้ อจ.บอบบี้ เป็นคนต่างชาติคนเดียว  พวกเราที่เป็นคนไทย รู้ภาษาอังกฤษก็ร่วมสอนด้วย มี คุณมนิดา , ผป.ทิฆัมพร, คุณศิริกุล ภรรยาของผม และผมเอง ร่วมเป็นครูสอน  มีหนุ่มสาวและคนทำงาน มาเรียนกันเยอะ         บ่ายวันอาทิตย์ ปี 1981 ผมชวนอนุชน สมัยนั้นมีแค่กลุ่มเดียว  ออกไปแจกใบปลิว  เราไปรับใบปลิวฟรีมาจากสื่อมวลชนทางชีวิต  แยกกันไปตามซอกซอย  แจกเป็นสัปดาห์ ๆ  ผมไม่ได้รับการตอบรับอะไรมาเลย  เพราะผู้สนใจส่ง ใบตอบรับไปทางชีวิตหมด  นานๆ ทางชีวิตจะส่งรายชื่อนักเรียนทางไปรษณีย์ กลับมาให้เราติดตามนำเข้าโบสถ์ ส่งมาครั้งหนึ่งก็มี 3-4 ชื่อ  เป็นเด็กเสียส่วนมาก  ผมก็ตามไปเยี่ยมเด็กตามรายชื่อด้วยตนเอง  ผลสรุปก็คือ  ไม่มีใครมาโบสถ์  ไม่ใช่งานทางชีวิตไม่ดี  แต่ปัญหาคือเราเก็บเกี่ยวไม่ได้   ต่อมา  ปี 1982-1984 เราก็พิมพ์ใบปลิวออกมาเอง  ผมพาอนุชนออกแจกใบปลิวตามหมู่บ้านจัดสรร  ทุกหมู่บ้าน  ตั้งแต่พัฒนาการ ถึงปากน้ำ  เมื่อทีมวายแวมจาก ฮ่องกง  หรือสิงคโปร์  มาเยี่ยมเรา  เราก็ชวนทีมเขาไปเล่นละครประกาศ และแจกที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วย  เราแจกใบปลิวเป็นหมื่นใบ  เราให้ผู้สนใจตอบกลับมาที่โบสถ์  ให้เขา ติ๊กว่าเขาต้องการอะไร  ผมทำสถิติ แจก 1,000 ใบ  ตอบกลับมา  7 ใบ,  ใน 7 ใบบอกว่า  (1) เขาอยากรับเชื่อ(2)เขาอยากมาโบสถ์ (3) เขาอยากให้เราไปเยี่ยมบ้าน ถึง  3 ใบ  บางคนบอกว่า แจก 1,000 ใบ หายไปตั้ง 993 ใบ น่าท้อ  แต่พระเจ้าทรงหนุนใจให้เรารู้ว่ามีผู้สนใจ ในกรุงเทพฯ  ถึง 3 คน ที่เรารู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน  เขาสนใจ ลองคิดสิ  1,000 ใบ มีคนที่เราถือว่าสนใจ 3 คน     

         แจก 10,000 ใบ เราก็ได้รายชื่อคนเหล่านี้  30 ชื่อ  ผมคิดว่า ดีกว่าแจกใบปลิวทางชีวิตเยอะ เพราะแต่เดิม แจกใบปลิว เราวัดอะไรไม่ได้เลย  ทั้งคนเหล่านี้  บอกเราชัดว่า  อยากเชื่อพระเยซูและพร้อมพบกับเรา  เราก็จัดทีมออกไปเยี่ยม  ผมคิดว่าคนในกรุงเทพฯ มีคนเป็นล้าน เราจึงแจก

ใบปลิวเป็นแสนใบ  ผลสุดท้าย  เราก็มีรายชื่อผู้สนใจ อยู่ในมือ ถึง 700-800 รายชื่อ  เรามีงานทำ  ครับ  เรามีงานทำ  แต่เดิม  เราไม่รู้ว่าเราจะไปเยี่ยมใครที่ไหน  นี่เป็นที่มา  ที่เราจัดประกาศใหญ่วันคริสตมาส ปี 1985   ปีประวัติศาสตร์   ในอดีต เราไม่เคยเชิญคนนอกมาโบสถ์ได้มากเกิน 10-20 คน  คราวนี้ เรามีรายชื่อผู้สนใจในมือหลายร้อยรายชื่อ ที่เราเคยไปเยี่ยม  ปี 1985 เรามีสมาชิก  78 คน  พระเจ้าประเสริฐแท้ มีคนมาร่วมงานคริสตมาสประกาศ 650 คน  คุณหมอปรีดา โมทนาพระคุณเป็นคนเทศน์  มีคนออกมารับเชื่อ 85 คน  ผมจัดสอนสาวก หนึ่งปีก่อนหน้านั้น 

         ครับพระเจ้าทรงโปรดร่วมงานกับเรา สมาชิกของเราเพิ่ม จาก  78 คน เป็น 133 คนในปี 1986  และนี่เป็นเหตุที่ทำให้เราจัดประกาศในวันคริสตมาสปีต่อๆมา  กลุ่มเซลล์ก็แข็งแรงขึ้น  กลุ่มเซลล์ก็ช่วยกันเชิญคนมาโบสถ์ในวันคริสตมาส  เราเชิญ อาจารย์บุญมาก อาจารย์วัลย์  อาจารย์เวน ครุ๊ก  มาเทศน์   เคยมีคนนอกมางานคริสตมาสที่คริสตจักร มากถึง 2,200 คน   ผมเขียนมาเล่าให้ฟัง  เพื่อบอกให้ทราบว่า พระเจ้าให้เรามีอะไรอยู่ในมือ  ก็ใช้สิ่งที่พระองค์ประทานให้ในการประกาศ  แต่ละปี เราจะฝึกแสดงละคร  ไม่ใช่เพื่อการบันเทิง  ให้ตัวเองได้หัวเราะเฮฮากันเอง  แต่มุ่งมั่นให้ละครของเราเป็นสื่ออย่างหนึ่งให้คนที่มาร่วมงาน  ซึ่ง มิใช่ว่าคนเหล่านี้จะมานั่ง  ในสนามโบสถ์ประมาณ 1-2 ชั่วโมง ให้เราได้สื่อกิตติคุณให้เขาฟังได้ง่ายๆ ได้ที่ไหนกัน  ดังนั้น ละครที่เราเตรียม จึงมุ่งมั่นเตรียมสื่อกิตติคุณอย่างดีที่สุด  น้องๆที่เล่นละคร  ก็ทำด้วยหัวใจอย่างนี้ 

          3.   การปั้นสาวก (Persuasion)  เมื่อคิดถึงการสร้างสาวกที่ยั่งยืน เราพบว่า การมีผู้รับเชื่อจากการประกาศในวันคริสมาส  ไม่เพียงพอที่จะทำให้  เขาเขาเดินกับพระเจ้าต่อไป  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกลุ่มเซลล์รองรับ  เพราะกลุ่มเซลล์ ช่วยให้พี่น้องได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่  คริสตจักรมีกลุ่มเซลล์มาตั้งแต่ปี 1985   ตอนนั้น  เรามีกลุ่มเซลล์  5 เซลล์  ปี 1986 เรามี 10 กลุ่มเซลล์  ปี 1987  เรามี 18 เซลล์  ปี 1988 เรามี 25 กลุ่มเซลล์   ปี 1989 เรา มี 36 กลุ่มเซลล์  กลุ่มเซลล์ถูกแบ่งเป็นหน่วย ตามเขตภูมิศาสตร์ในกรุงเทพฯ มาตั้งแต่ ปี 1987  และกลุ่มเซลล์ ก็เคยเติบโตขึ้นไปถึง 90 กลุ่มเซลล์  กลุ่มเซลล์เราอ่อนลง  เมื่องานกลุ่มเซลล์ไปอยู่ในมือของทีมงานเสียส่วนมาก  พี่น้องที่เป็นฆราวาสเป็นส่วนน้อย  ต้องขอบคุณพระเจ้าที่กลุ่มเซลล์กำลังกลับมาเริ่มขึ้นในมือของฆราวาสมากขึ้นในปีนี้    แน่นอน  การประกาศโดยกลุ่มเซลล์ประสานกับการประกาศโดยทีมจะทำให้  ผู้เชื่อใหม่ถูกปั้น สร้างขึ้นเป็นสาวก ที่ทำให้คริสตจักรเพิ่มพูนอย่างมั่นคง

 

ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ 









Visitor 109

 อ่านบทความย้อนหลัง