การเข้าเฝ้า  พระเจ้าส่วนตัว

     

ศจ.ดร. วีรชัย โกแวร์

การเข้าเฝ้าส่วนตัว

     เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้  เป็นเรื่องพื้นฐาน ที่ท่านอาจเคยได้ยิน  แต่มันเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับชีวิต คริสเตียน   ผมรับใช้พระเจ้ามาหลายปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมากมาย พอสรุปได้ว่าอะไรเป็นจุดอ่อน อะไรเป็นจุดแข็ง อะไรเป็นสิงที่ต้องรักษา  อะไรเปลี่ยนแปลงได้  บางเรื่องก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา  ตามสถานการณ์ แต่บางเรื่องก็เปลี่ยนไม่ได้  วิธีการเปลี่ยนได้  แต่หลักการ(Principle) เปลี่ยนไม่ได้

 

      เช่น หลักการของการสร้างความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด  การสร้างสัมพันธ์จะต้องใช้เวลา  เราไม่อาจสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับใคร   โดยการใช้เวลาสั้นๆ  ยิ่งคนที่แตกแยก เช่น เรากับทะเลาะกับเพื่อน หรือชีวิตคู่  หากจะคืนดีกัน  เราก็ต้องให้เวลา  มานั่งคุยกันแค่ชั่วโมงเดียว แล้วให้มันดีกลับคืนมาไม่ได้

      เรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่  เราอาจทีตัวช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น  ทำงานให้เสร็จในเลาสั้นลงได้  แต่ความสัมพันธ์เร่งเวลาไม่ได้ 

        วันนี้ผมขอพูดเรื่องการอธิษฐาน

       ชีวิตการอธิษฐานของคริสเตียนเปลี่ยนแปลงไม่ได้  ไม่ว่าท่าจะเป็นคริสเตียนใหม่ หรือ คริสเตียนเก่าท่านต้องมีเวลาอธิษฐาน  เราต้องเห็นความสำคัญของการอธิษฐาน  ไม่มีอะไรยากเท่าการอธิษฐานเสียด้วย ให้ผมเทศน์ ให้ผมสอน ให้ผมทำอะไรไม่ยาก  แต่การให้เวลากับการอธิษฐานไม่ง่าย  ถึงกระนั้นการอธิษฐานคือต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตเราเกิดผล มีปัญญา ได้ความรู้  คนเราตัดการอธิษฐานออกไปแล้ว  เราจะไม่มีอะไรเหลือ  ทุกวันนี้คริสตจักรเต็มไปด้วยกิจกรรม  กิจกรรมแย่งเวลาเราจนไม่มีเวลาอธิษฐาน

        1 เธสะโลนิกา 5:17-18  บอกเราว่า  “จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ” เปาโลหนุนใจคริสเตียนให้อธิษฐาน สดุดี 63:1-2 กษัตริย์ดาวิดกล่าวว่า “เนื้อหนังของข้าพเจ้ากระเสือกกระสนแสวงหาพระองค์” สดุดี 63:4  “ข้าพระองค์ จะสาธุการตราบเท่าที่ข้าพระองค์มีชีวิต”  สดุดี 63:6 บอกว่า “ข้าพระองค์คิดถึงพระองค์บนที่นอน  ภาวนาถึงพระองค์ทุกยาม” 

         พระเจ้าทรงสร้างเราให้มีวิญญาณ  สร้างวิญญาณให้มีสายสัมพันธ์กับพระองค์  ในสวนเอเดน ทรงปรารถนาให้อาดัมเอวา สนิทสนมกับพระองค์  แต่ทั้งสอง ทำบาป  พระองค์ทรงเสียพระทัย  ทั้งสองแอบซ่อนตัวเมื่อทำบาป ทำให้ความสัมพันธ์สูญเสีย 

         ถึงกระนั้นมนุษย์ยังกระหายหาพระเจ้า 

         คนไทยนับถือศาสนา  เป็น อเทวนิยม  ไม่เชื่อพระเจ้า  แต่ลึกๆในใจของคนไทย  เราเชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราโหยหา อยากสัมผัส เราอยากรู้  เปาโลไปที่กรุงเอเธนส์  พบแท่นศิลาที่เขียนว่า “แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก” พอเรามาเป็นคริสเตียน  เราโหยหาพระเจ้า  และพระเจ้าก็ทรงมีความสุขที่สุดเมื่อเรา  ผู้เดินเคียงข้างพระองค์ ได้ระบายความรู้สึก ความในใจ กับพระองค์  การอยากอยู่ใกล้พระองค์เป็นธรรมชาติของเรา  หากสิ่งนี้ขาดไป  แสดงว่าสุขภาพวิญญาณเราผิดปกติ  การเฉยกับพระเจ้าแสดงว่าเราป่วย  ลองคิดถึงวันแรกที่เรามาหาพระองค์  เราตื่นเต้น  อยากอ่านพระคำ อยากมาโบสถ์ ความผูกพันทางใจแนบแน่นกับพระองค์  เราแสวงหาพระพักตร์  การเข้าเฝ้าไม่ใช่กฏเกณฑ์ที่เราต้องทำ  ไม่ใช่การบังคับจากภายนอก  เมื่อเราเรารู้สึกว่าเราต้องทำ  เราต้องอธิษฐาน ต้องมาโบสถ์  เราผิดปกติ  ถ้าเราต้องกัดฟันมาโบสถ์ มันผิดปกติ  ใจภายในเราต้องเรียกร้อง และเราต้องมีความสุขในการพบกับพระเจ้า

           ใจเราต้องหิวพระเจ้า  เหมือนหิวอาหาร  พระเจ้าทรงใส่ความหิว (Appetite) มาสู่ใจเรา  ไม่ใช่เราต้องผลักตัวเองให้อ่านพระคัมภีร์  เข้าเฝ้า  ตรงกันข้ามเราต้องเห็นว่า การเข้าเฝ้า มีคุณค่า  เป็นสิ่งดี ให้เรามาพิจารณาว่า เราอยากอยู่เงียบๆกับพระเจ้าหรือไม่  ความกระหายหาพระเจ้ายังอยู่  หายไป  หรือจืดจางไป  ความหิวมาแต่พระเจ้า  แต่การเลือกกินอาหาร เป็นของเราเอง  บางคนมีความกระหายหาหระเจ้า  แต่ไปเลือกป้อนสิ่งอื่น

         พระเยซูทรงเป็นแบบอย่าง

         มาระโก 1:35   “ครั้นเวลาเช้ามืด พระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว  และทรงอธิษฐานที่นั่น”  ในเวลารุ่งอรุณ  พระเยซูทรงหาที่สงบ  พระองค์ตระหนักว่าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะพบพระองค์   เราต้องเตือนตัวเราเองเสมอว่า “พระเจ้าทรงรอคอยเรา”   ที่สวนเก็ธเซมาเน  พระคัมภีร์บันทึกว่า พระเยซูทรงไปอธิษฐานที่นั่นตามเคย   อีกครั้งหนึ่ง  สาวกอยากรู้ว่า พระเยซูอธิษฐานอย่างไร  นี่คือสิ่งที่สาวกสังเกต  พวกเขาสังเกตว่าพระองค์  เข้มแข็ง ชนะการทดลอง มีพลัง เกิดผล มีฤทธิ์เดช  พวกเขาอยากรู้ว่าพระเยซูมีเคล็ดลับที่ไหน  จึงถามพระองค์ว่า  “ขอสอนให้พวกข้าพระองค์อธิฐาน” 

          เรามักเอาสิ่งอื่นมาแทนการอธิษฐาน  เรานั่งเงียบๆกับพระเจ้าไม่ได้  ทุกวันนี้เรามักไม่มีเวลาให้พระเจ้า  แล้วเราก็อ่อนแอ  สู้วิกฤติการณ์ไม่ได้

         ในกิจการ 10:9   เปโตรเป็นตัวอย่าง  ท่านขึ้นไปบนดาดฟ้า  หลังคาตึก  ตอนนั้นมีนายร้อยคนหนึ่งอยากได้ยินพระกิตติคุณ จึงส่งคนไปหาเปโตร  ขณะที่ไปถึงพบว่า เปโตรกำลังอธิษฐานอยู่  ปกติคนยิวมีวัฒนธรรม อธิษฐานวันละ 3 เวลา  เช้า เที่ยง เย็น  ( สดุดี 55:17)  ดาเนียลก็ปฏิบัติเช่นนั้น (ดาเนียล) 6)   คนยิวรับมรดกตกทอดเรื่องนี้มา  มุสลิมอธิษฐานวันละ  5  ครั้ง  แต่ คริสเตียนอธิษฐานตามอำเภอใจ  เราไม่มีวินัย  ไม่เห็นคุณค่า  บางครั้งเราปฏิบัติกับพระเจ้าเหมือนยางอะไหล่  เราไม่คิดถึงมัน  ถ้ารถเรายางไม่แตก  เราไม่คิดจะอธิษฐานถึงพระองค์ ถ้าเราไม่พบปัญหา  เราเอาพระองค์ไว้บนหิ้งไหนก็ไม่รู้  เราคิดถึงพระองค์เมื่อเราใกล้ตาย เจ็บป่วย พบวิกฤติ  หรือปัญหาเท่านั้น

       ยากอบ บอกว่า เมื่อเรามีความสุขให้เราสรรเสริญ  เมื่อเราพบทุกข์ให้อธิษฐาน  เราควรใช้เวลาอธิษฐานเสมอ  5, 10,20 นาที   ให้พระเจ้าพบหน้าเรา  พระองค์คงเฝ้าเราอยู่ที่ประตู ว่าลูกพระองค์มาหรือยัง    หากเราไม่อธิษฐาน เราจะล้มเหลว  ไม่ว่าเราจะร้องเพลงเพราะ เทศน์ดี มีกิจกรรมใดๆ  ทุกอย่างจะไร้ค่า  หากเรามีนัดกับบุคคลสำคัญ 8 โมงเช้า  เราจะไปพบพระองค์กี่โมง  

      ผลดีของการเข้าเฝ้า

(1)  สดุดี 84:7 เราจะได้รับกำลัง  พลังของเขาจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ   อิสยาห์ 40:29-35 ทรงประทานกำลังแก่คนที่อ่อนแรง  เมื่อใจเราแข็งแกร่ง  ร่ายกายก็ก็แข็งแรง  กระปรี้กระเปร่า  พร้อมพบกับวิกฤติ การทดลอง คนเราต้องการพลังจากเบื้องบน  ภาษาฮีบรู  เสริมเรี่ยวแรงใหม่แปลว่า สับเปลี่ยนกำลัง   พระเจ้าประทานกำลังใหม่มาเปลี่ยนให้  ทำให้เราชนะปัญหา มีความรู้  มีกำลังใจ  คนเข้าเฝ้าพระเจ้าประจำจะไม่อ่อนแอฝ่ายวิญญาณ  เป็นผู้รับใช้ ก็ทำงานเกิดผล  เปาโลบอกว่า  แม้ร่างกายของท่านจะอ่อนแอลง  แต่ภายในท่านแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ  ให้เราแก่ตามวัย  แต่อย่าแก่เกินวัย  เพราะมีความสุข  เราจะไม่แก่เกินวัย

(2)  สดุดี 63:5 เราจะอิ่มเอม  ดาวิดบอกว่า   จิตใจของข้าพระองค์จะอิ่มหนำ ดังกินเนื้ออย่างดี และไขมัน  คนที่เข้าเฝ้าพระเจ้าจะอิ่มหนำ อย่างกินอาหารชั้นเลิศ  มีสารอาหารที่ทำให้เรามีกำลังวังชา

(3)  สดุดี 84:3  เราจะเกิดผล  ดาวิด บอกว่า  แม้นกกระจอกหาบ้านได้แล้ว  ตกลูก วางไข่....  ท่านเขียนข้อความนี้  อิจฉานก เพราะท่านห่างพระนิเวศน์ของพระเจ้า  ให้เรามีกิจกรรมน้อยลง อธิษฐานมากขึ้น  ถ้าเราเองมิได้เกิดผล  เราจะช่วยให้คนอื่นเกิดผลได้อย่างไร  ยอห์น 15:4 พระเยซูตรัสว่า  ท่านเกิดผลไม่ได้  ถ้าเราไม่ได้ติดสนิทกับพระองค์  ผลเกิดเพราะกิ่งติดกับต้น ในการรับใช้พระเจ้าของผมกว่า 50 ปี ผมพยายามทำให้พระเจ้า  ตามใจของผม  ในสิ่งที่พระเจ้ามิได้บอกให้ผมทำ  ส่วนสิ่งที่พระองค์บอกให้ผมทำผมกลับไม่ได้ทำ  พระเจ้าไม่เคยบอกให้เราจัดคริสตมาส  แต่ให้เราออกไปประกาศ  บ่อยครั้งเราเหนื่อยกับการจัดงานคริสตมาสมาก  มิใช่ว่า เราไม้ต้องจัด  แต่ควรจัดให้พอเหมาะพอดี  ความจริง อีสเตอร์น่าจะจัดงานใหญ่กว่า  เราไม่ได้มีเวลาสงบใจฟังพระเจ้า  เราจึงไม่รู้ว่าพระองค์ให้เราทำอะไร

(4)  ลูกา 18:1 เราควรพบพระองค์เสมอ  เราควรอธิษฐานเสมอ  ไม่อ่อนระอาใจ  อย่าลืมว่าพระองค์คอยเราอยู่ทุกเช้า  ให้เราเสาะหาพระองค์ทุกเวลา  เช้า  เที่ยง เย็น  นั่งรถเมล์  ขับรถเมล์  คุยกับพระเจ้า

 

 

 

 

 

 

 









Visitor 434

 อ่านบทความย้อนหลัง