พระเจ้าคิดถึงฉันว่าอย่างไร?

 

ออสวอล  เจ สมิธ

 

วันนี้เป็นวันอาทิตย์สิ้นปี  อีก 2 วันเราจะส่งท้ายปีเก่า  ขึ้นปีใหม่   ผมขอนำบทความของ  ออสวอล เจ สมิธ  มาฝาก เพื่อเป็นการประเมินผลชีวิตเราทั้งปี ท่านตั้งชื่อเรื่องว่า

                       พระเจ้าคิดถึงฉันว่าอย่างไร

          เราจะยอมให้พระเจ้า  เจาะเข้ามาสำรวจ ค้นดูชีวิตของเราไหม    เราอยากจะรู้ไหมว่า  พระเจ้าคิดถึงเราว่าอย่างไร   เราอธิษฐานอย่างผู้เขียนบทเพลงสดุดีได้ไหมว่า  “ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงค้นดูข้าพระองค์ และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์  ขอทรงลองข้าพระองค์  และทรงทราบความคิดของข้าพระองค์  และทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใดๆในข้าพระองค์หรือไม่  ขอทรงนำข้าพระองค์ไปในมรรคา     นิรันดร์”  (สดุดี 139:23-24)

          เราอนุญาตให้แสงแห่งพระวิญญาณฉายเข้ามาส่องให้เราเห็นตัวเอง  อย่างที่พระเจ้าทอดพระเนตรดูเราหรือไม่เราจะไม่ค้นหาว่าโลกคิดกับเราว่าอย่างไร  คอลัมนิส  นักเขียน  หรือแม้แต่เสียงซุบซิบนินทาอาจรายงานตัวเราผิดแผกแตกต่างไปจาก ที่พระเจ้าตรัสบอกเราก็ได้  พวกเขาอาจยกย่องสรรเสริญ  ในขณะที่พระเจ้าทรงตำหนิ  หรือพวกเขาอาจตำหนิติเตียนในขณะที่พระเจ้าทรงยกย่อง  เราจะไม่ขอความคิดเห็นจากเพื่อนสนิทมิตรสหายใกล้ตัว   พวกเขาอาจให้เกียรติ เชิดชู  ประจบประแจงเรา   มนุษย์อาจ “มองดูที่รูปร่างภายนอก  หรือความสูงแห่งร่างกายของเขา  แต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ” (1 ซามูเอล 16:7)   สิ่งเดียวที่เราอยากรู้  ก็คือ  “พระเจ้าทรงมีพระดำริเกี่ยวกับตัวเราว่าอย่างไร”

 

           วันหนึ่ง  เราอาจยืนต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า   หน้าต่อหน้า  ที่มีคนทั้งโลกอยู่ด้วย  และความลับทั้งมวลในใจของเราจะถูกเปิดเผย แฉออกมา  เสื้อคลุมที่เราใช้ปกปิดตัวเองจากโลก  มิอาจปกปิดเราจากพระเจ้า   ดังนั้น  ไม่ดีกว่าหรือที่เราจะค้นให้พบเสียก่อนว่า  พระองค์ทรงมีพระดำริ เรื่องตัวของเราว่าอย่างไรเสียตั้งแต่บัดนี้    และถ้าพระองค์เอาตัวเราขึ้นตาชั่ง  ทำให้เรารู้ที่ผิดของเรา  และเราจะได้แก้ไข

          ดังนั้นผมขอถามว่า    “พระเจ้าทรงมีพระดำริ เรื่องตัวของฉันว่าอย่างไร?”

          พระเจ้าผู้ทรงค้นดูจิต  ทรงตรวจดูใจฉัน  พระองค์ตรวจพบว่าอย่างไรบ้าง  ฉันเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรพระองค์หรือไม่  พระองค์ทรงมีพระดำริเกี่ยวกับตัวฉันว่าอย่างไร

1.   พระเจ้ามีพระดำริเรื่องการทำงานของฉันว่าอย่างไร?

พระองค์พบว่าฉันเป็นคนจริงใจ  ตรงไปตรงมาไหม  ปราศจากการหลอกลวง  หน้าไหว้หลังหลอกใดๆใช่ไหม?   ถ้าฉันบกพร่องเพราะความสะเพร่า ไม่เป็นไร  แต่ฉันขยันขันแข็งบดีไหม?  ฉันจริงใจไหม?   ถ้าท่าทีของฉันถูกต้อง  พระองค์ทรงมองข้ามความผิดพลาดนั้น  ฉันสัตย์ซื่อ  จงรักภักดีต่อพระองค์ไหม?  เมื่อทำงาน ฉันได้ทำงานออกมาจากหัวใจหรือเปล่า? หรือฉันทำงานไปตามหน้าที่เท่านั้น  ทำเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองหรือ   ฉันเห็นแก่ตัวหรือ  เงินคือตัวกำหนด หรือคือผู้กำกับการตัดสินใจของฉันหรือ  ฉันได้ปรนนิบัติพระองค์อย่างร้อนรน  ทั้งๆที่ไม่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนใดๆ   ใช่หรือไม่?    ฉันเป็นคนจริงใช่ไหม?  

             งานของฉันนั้น พระเจ้าทรงนับว่าเพื่อพระองค์หรือเปล่า?  ชีวิตของฉันชี้ให้คนรู้จักพระเยซูหรือเปล่า?  ฉันได้นำให้คนอื่นเข้ามาพบพลัง หรือชัยชนะหรือไม่?   ฉันสามารถนำวิญญาณคนมาถึงพระคริสต์ไหม?  ฉันได้เคยพยายามบ้างไหม?  ฉันได้พูดกับคนอื่นเกี่ยวกับจิตวิญญาณของเขาในปีที่ผ่านมาหรือเปล่า?  ความเข้าใจในพระกิตติคุณ  หรือประสบการณ์ของฉันมันตื้นเขิน  ในการนำคนมาถึงพระองค์หรือไม่  เพื่อนที่ยังไม่ได้รับความรอด  หรือหรือไม่ไม่ว่าฉันเป็นคริสเตียน?

2.  พระเจ้าทรงดำริอย่างไร  เรื่องความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ในสังคม

           ฉันได้เชื่อฟังพระดำรัสที่ว่า “เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น  และจงแยกตัวออกจากเขาทั้งหลาย  และอย่าแตะต้องสิ่งที่ไม่สะอาด  และเราจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย” ( 2 โครินธ์ 6:17)  “อย่าเข้าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ” ( 2 โครินธ์ 6:14)  สิ่งที่ฉันกำลังกระทำนั้น พระเจ้าพอพระทัยหรือเปล่า?   มีความสนุกสนานอันใดของฉัน ที่ทำให้พระวิญญาณเสียพระทัยหรือไม่?  ใจวินิจฉัยของฉันสงบหรือเปล่า   หรือใจฉันมันปั่นป่วนในขณะที่ฉันทำอะไรบางสิ่ง  อยู่ในที่บางที่หรือเปล่า?  ฉันเต็มใจละทิ้งทุกสิ่งในโลก  เพื่อเลือกเอาพระเยซูใช่ไหม?   ฉันปรารถนาทำเพื่อพระองค์ หรือเพื่อตนเอง?  ฉันได้ใช้ชีวิตอย่างสิ้นเปลืองเวลาของพระองค์ไปเปล่าๆหรือ?  ฉันได้ใช้เวลาไปกับเรื่องในสังคม  แทนที่จะทำพระราชกิจหรือเปล่า? 

3.  พระเจ้าทรงมีพระดำริอย่างไร  เรื่องการเข้าเฝ้า

         ฉันได้ให้เวลากับพระองค์ส่วนตัวหรือไม่?  หรือฉันได้เข้าเฝ้าอย่างรีบร้อน  ฉันได้ใช้เวลาแต่ลำพังกับพระเจ้าหรือ?   ฉันรักการเฝ้าเดี่ยวหรือเปล่า?  การสามัคคีธรรมกับพระองค์ของฉันนั้นมันหวานชื่นหรือเปล่า?  ฉันคุ้นเคยกับพระเยซูหรือไม่?  ฉันจุใจในพระองค์ไหม? 

         ฉันเป็นนักเรียนแห่งพระวจนะหรือเปล่า?  ฉันได้ศึกษาพระวจนะส่วนตัว  หรือเวลาอยู่ในชั้นเรียน?  พระองค์ได้เปิดเผยความลับของพระองค์แก่ฉัน  และทำให้ปรากฏเป็นจริงแก่ฉันหรือเปล่า?  ฉันได้อ้างพระสัญญา  และยึดมาเป็นเรื่องส่วนตัวของฉันบ้างหรือเปล่า?   

 

          ฉันอธิษฐานอยู่เสมอหรือ?  ฉันอธิษฐานและได้รับคำตอบหรือ?  ฉันได้เรียนรู้วิธีอธิษฐานหรือไม่?  ฉันเปล่งคำอธิษฐานไปเพียงแต่คำพูด  หรือฉันได้อธิษฐานจากใจ?  คำอธิษฐานของฉันได้รับคำตอบหรือไม่? คำอธิษฐานของฉันเป็นสิ่งที่ฉันตั้งใจกราบทูลพระเจ้าหรือไม่?  มันมีชีวิตจริงหรือ?

4. พระเจ้าทรงมีพระดำริเรื่องการพัฒนาชีวิตคริสเตียนอย่างไร

          ชีวิตฝ่ายวิญญาณของฉันก้าวหน้าหรือไม่?    ฉันเป็นคริสเตียนที่เติบโตขึ้นหรือไม่?  ชีวิตของฉันปีนี้  ดีกว่าปีกลายหรือเปล่า?   พระเยซูทรงเป็นจริงในชีวิตของฉันยิ่งกว่าก่อนไหม?   เพื่อนของฉันได้เห็นการเปลี่ยนแปลง  แตกต่างจากอดีตในตัวของฉันหรือไม่?   ความอ่อนแอต่างๆ ความล้มเหลวในเนื้อหนังมันจางหายไป  และผลของพระวิญญาณยิ่งปรากฏขึ้นในตัวของฉันหรือไม่? 

          ฉันได้มีชัยเหนือความผิดบาปที่ฉันเคยพ่ายแพ้ในอดีตหรือไม่?  ฉันชนะมันไหม?  ฉันได้รับการปลดปล่อยหรือไม่?   ฉันปรารถนาเอาชัยสิ่งใหม่ที่เรารู้หรือไม่?  มันยังมีสิ่งที่เรารัก  ถนอม  ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปเพื่อพระเจ้าหรือไม่?  ฉันมีความเชื่อว่าพระองค์สามารถปกป้องฉันจากการล้มลง  หรือผิดพลาดลงไปในบาปโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า หรือไม่? 

 

       และบัดนี้  ฉันพร้อมเผชิญหน้าอย่างจริงใจ โดยตอบคำถามทั้ง 4 ประการนี้หรือ  เราเคยเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์ทรงพึงพอพระทัยในตัวเรา   แต่เราเคยตั้งคำถามด้านตรงกันข้ามว่า  พระองค์ล่ะ  ทรงพอพระทัยในตัวเราจริงๆ หรือไม่?   พระองค์ชื่นชอบในตัวเราจริงหรือ?  เพราะสิ่งสำคัญคือ  พระเจ้าทรงประเมินชีวิตของเรา  พระองค์ทรงผิดหวัง  หรือพอพระทัย  พระองค์ทรงชื่นชอบในตัวเราหรือไม่? 

        พระเจ้าทรงมีพระดำริเรื่องตัวของฉันว่าอย่างไร?           

 

แปลมาจาก  What does God think of me.

P 29-32  จากหนังสือ  The Man God uses. ของ  Oswald j. Smith.

 

 

 

 

 

 

 






Visitor 137

 อ่านบทความย้อนหลัง