จงหวังใจในพระเจ้า

ศ.บ

 

 

 

      “จงกำชับคนเหล่านั้นที่มั่งมีฝ่ายโลก อย่าให้มีใจถือมานะทิฐิ อย่าให้ความหวังของเขาอิงอยู่กับทรัพย์อนิจจัง แต่ให้หวังในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงประทานสิ่งสารพัดให้แก่เราอย่างบริบูรณ์ เพื่อจะให้เราใช้ด้วยความปีติยินดี" (1 ทธ 6:17)

      วันนี้จะขอเล่าเรื่องตัวเองว่าพระองค์ ทรงนำผมให้มาวางใจพระองค์อย่างไร

      ในอดีตผมเป็นคน วางแผนชีวิตตัวเอง วางใจตัวเอง

      ตั้งแต่ผมเป็นหนุ่มมา ผมอยู่ต่างจังหวัด  ผมโตขึ้นในโรงเรียน  ที่มีเพื่อนฝูงขยันเรียน  ไม่ได้อยูในกลุ่มเพื่อนที่ขี้เกียจ  ประเภทสอบแต่ละครั้งก็พอให้ผ่านๆ ไป แต่ผมอยู่ในกลุ่มเพื่อน ประเภทที่ขยันเรียน  แต่ละคนก็มุ่งให้ได้คะแนนดี เราแข่งกันทำเลข  ท่องบทอาขยาน ท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ  ครูก็เชียร์ให้เราเป็นนักเรียนขยัน ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนผมอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 5 (สมัยนั้น)  เราทราบว่า รุ่นพี่ในจังหวัด ที่จบมัธยมปีที่ 6  มาสอบเข้าเตรียมอุดมศึกษาที่กรุงเทพฯ ได้ 2 คน  จากโรงเรียนของเราคนหนึ่ง  กับนักเรียนโรงเรียนเบญจมราชูทิศ อีกคนหนึ่ง   ข่าวนี้กระฉ่อนไปทั่วจังหวัด  ทำให้ผมและเพื่อนๆ ยิ่งขยันเรียนหนังสือมากขึ้น เพราะทราบกันว่า นักเรียนที่จบจากเตรียมอุดมศึกษา เป็นนักเรียนเก่ง ครูก็เก่ง  จึงทำให้พวกเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยง่าย

      ผมเดินทางขึ้นมากรุงเทพฯ  พร้อมๆกับเพื่อนนักเรียนในโรงเรียนเดียวกันประมาณ 6-7 คน เพื่อมาหาที่เรียนในกรุงเทพฯ ผมไม่ใช่คนหัวดีในการเรียนเท่าไรนัก  แต่ก็ไม่เลวเสียทีเดียว ผมเดินทางมาก่อนโรงเรียนเตรียมอุดมฯ สอบประมาณ 2 เดือน ผมพักอยู่ที่บ้านคุณลุง ที่ซอยทองหล่อ (สุขุมวิท 55)  ทุกวันผมก็ไปเรียนพิเศษที่ วาย เอ็ม ซี เอ วรจักร เพื่อติวเข้าสอบ มีนักเรียนไปเรียนมาก ส่วนพวกเพื่อนๆ ของผมแต่ละคนไปเตรียมสอบกันที่ไหน ผมไม่ทราบ ถึงวันสอบ ผมไปสอบที่สนามสอบ คือตึกบัญชี จุฬาฯ ยังจำๆได้ดีว่าทำสอบไม่ค่อยได้เอาเลย  อย่างวิชาภาษาอังกฤษนี่ เขาออกข้อสอบมา 18 แผ่น  ผมทำสอบไม่ทัน หมดเวลาแล้ว เพิ่งทำข้อสอบได้แค่ครึ่งเดียว  ปล่อยให้กระดาษว่าง  ไม่ได้ตอบอีกประมาณ 9 แผ่น  ในขณะที่เด็กนักเรียนในกรุงฯ ทำข้อสอบเสร็จก่อนเวลาตั้งชั่วโมง  ผมสอบเข้าเตรียมอุดมฯไม่ได้  ผมมีเพื่อนสอบเข้าเตรียมอุดมได้คนเดียว มีเพื่อนเก่งอีกคนสอบเข้าสวนกุหลาบได้  เพื่อนทั้งสองเขาเก่งจริงๆ นอกนั้นไปเรียนที่โน่นที่นี่  ผมกับเพื่อนคนหนึ่งไปเข้าเรียนที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน 

 

         เรา  2 คนตั้งใจเรียน  โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน สมัยนั้น มัธยม 7 – 8  มี 3 ห้อง  ห้อง ก  ข  และ ค  นักเรียนเดิมของโรงเรียน ถูกจัดให้เรียนในห้อง ก และ  ข  ส่วนนักเรียนที่มาสอบเข้าใหม่ เรียนใน ห้อง ค. ทั้งหมด  ผมและเพื่อน เรียนอยู่ห้อง ค. ยอมรับว่านักเรียนรุ่นผม ในห้อง ค ไม่ค่อยตั้งใจเรียน  เล่นๆกันเสียมาก แต่ผมกับเพื่อน ขยันครับ สมัยนั้นจะจบ ม. 8  ต้องสอบ ข้อสอบของหลวง คือ ข้อสอบจากกระทรวงศึกษา  ม. 7 ขึ้น ม. 8  ผมและเพื่อนห้อง ค. ได้ย้ายขึ้น ห้อง ก. เพราะทำคะแนนได้ดี  และเราก็สอบ ม. 8  ข้อสอบหลวงได้ทั้งสองคน  ปีนั้นนักเรียนกรุงเทพคริสเตียน 3 ห้อง ประมาณ 100 คน สอบ ม. 8 ได้ ประมาณ 30 คน  นอกนั้นต้องเรียนซ้ำชั้นทั้งหมด แล้วเราก็มุ่งหน้าสอบเข้ามหาวิทยาลัย

        นักศึกษาจากโรงเรียนของเราสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ประมาณ 15 คน นอกนั้นสอบไม่ได้  ผมสอบติดคณะเกษตร ของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

 

           ผมอยากรวย

           ความฝันใฝ่อยากเป็นคนมีเงิน ร่ำรวยเกิดขึ้นตอนไหนผมไม่ทราบ  มันคงค่อยก่อขึ้นกระมัง  ซอยทองหล่อ  บ้านคุณลุงย่านที่ผมมาพักอยู่  เป็นย่านบ้านเศรษฐี  มีเงิน  ผมเดินเที่ยวไปตามซอกซอย  ยิ่งเห็นบ้านเศรษฐี  ยิ่งทำให้ผมอยากมีบ้าน  มีที่ดิน มีฐานะอย่างเขาบ้าง  มันทำให้ผมมุ่งมั่นขยันเรียน  ผมรู้ดีว่า  วิธีเป็นคนมีเงินก็ต้องเรียนหนังสือ  ผมคิดว่า ถ้าผมเรียนให้ดี  เรียนให้สูง เมื่อทำงานผมก็ย่อมมีโอกาสมีเงินมาก   “คณะเกษตร”  ม. เกษตร บางเขน  สมัยนั้นเขาเรียกว่า  “คณะกสิกรรมและสัตวบาล”   นักศึกษาปีหนึ่ง ต้องอยู่หอพักทุกคน สิ่งแรกที่ผมถามรุ่นพี่ ที่หอคือ  จบที่นี่เขาไปทำงานกันที่ไหนกันบ้าง  รุ่นพี่ปี  2  บอกผมว่า  ก็เข้ารับราชการ  เช่น กรมการข้าว  ฯลฯ  ผมถามรุ่นพี่ว่า  ได้เงินเดือน เดือนละเท่าไร  เขาบอกผมว่า  ปริญญาตรี  ได้เดือนละ 1,150  บาท (ทุกวันนี้ มากกว่านี้กว่า 10 เท่าตัว)  ดูความงกเงินของผมซิ   ทันที  ผมคิดว่า  ปีหน้าผมจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่  ย้ายคณะ ไปอยู่คณะที่จบแล้วทำงานได้เงิน มากกว่านี้   ผมก็ขยันเรียนที่เกษตรตามแบบฉบับของผม  และรุ่งขึ้นอีกปีหนึ่งก็ไปสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่   ผมสมัครสอบเข้าคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหิดล  ผมเลือกคณะเดียว  และก็สอบได้เสียด้วย         

           ความฝันเรื่องความมั่งคั่งส่อเค้าเกิดผล

           คณะเภสัชศาสตร์  มีหลักสูตร  5 ปี  ผมเรียนจบ ปี 1970  เมื่อจบก็สมัครงานทันที  สมัยนั้นเภสัชกรส่วนมาก  ถ้าอยากได้เงินดีก็ไปทำงานเป็น ดีเทลขายยา  ในเดือนเดียว ผมก็ได้งานดีเทลยา บริษัทเลอเปอร์ตีต์  แผนกแอสตร้า โซนกรุงเทพฯ  ได้เงินเดือนมากกว่าปริญญาตรี

 

สมัยนั้น 3-4 เท่า  ยังแถมเภสัชกรมีใบประกอบโรคศิลป์ สามารถไปคุมร้านขายยาได้  อีกทางหนึ่ง  ผมได้ร้านขายยาปากซอยอ่อนนุช  ได้เงินค่าคุมร้าน สมัยนั้น เดือนละ 1,500 บาท  ตื่นเต้นมาก ในชีวิตไม่เคยมีเงินแต่ละเดือนเป็นฟ่อนอย่างนี้  ความฝันเรื่องความมั่งคั่งเริ่มส่อเค้าเป็นความจริง  ไม่นานนัก ผมคงจะมีบ้านเป็นของตัวเอง มีรถเป็นของตัวเอง  ผมมั่นใจ  มองกันโดยตามความเห็นของคนทั่วไปก็ต้องว่า นี่คือเรื่องธรรมดา  ใครๆ ก็เดินเส้นทางนี้กันทั้งนั้น

          พระเจ้าทรงเปลี่ยนอนาคตของผม  

          ขณะเดียวกัน   ในช่วงนั้นพระเจ้าก็ทำงานในใจผม  พระเจ้าตรัสถามผมว่าที่ผมขยันหาเงินนั้นเพื่อใคร  ผมยอมรับว่า ที่ทำทั้งหมดก็เพื่ออนาคตอันมั่งคั่งของตัวเอง เพื่อตัวเองจะเป็นเศรษฐี มีความสุข  พระองค์ขอให้ผมใช้ชีวิตเพื่อพระองค์  ผมยอมรับว่า  ผมยอมให้พระองค์ยากยิ่ง  เพราะนี่คือความฝันของผม  พระองค์ตรัสบอกผมว่า  “ผู้ใดใคร่เอาชีวิตรอด  คนนั้นจะเสียชีวิต  แต่ผู้ใดสู้เสียชีวิตของตน เพื่อพระองค์ คนนั้นจะได้ชีวิตรอด”  นั่นแปลว่า  ต่อแต่นี้ไปแผนเรื่องความมั่งคั่งของผมสูญสลายไป   ผมชักเขย่อ  ต่อรองกับพระเจ้าอยู่นาน  ในที่สุด  ผมก็ยอม  กับพระองค์ ผมยอมรับว่า  ผมมองไม่เห็นอนาคตเรื่องความมั่งคั่งอะไรอีก

           ทรงค่อย ๆ สอนผมให้รับใช้

           ไม่นานนัก ผมก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์  ในประชุมอธิษฐานวันพุธ  เคลวิน เพื่อนวายแวม  มาชวนผมออกไปประกาศในกรุงเทพฯ  เกือบทุกตอนเย็น  ผมตื่นเต้นมากที่เห็นคนมารับเชื่อพระเยซู  ส่วนที่โบสถ์  อาจารยบอบบี้ ฝึกฝนผมให้เป็นล่ามแปลชั้นเรียนพระคัมภีร์   ซึ่งก็เกิดผลดีอยู่   ผมทำงานอยู่ที่บริษัทเลอเปอร์ตี้ต์  3  ปี    ต้นปี 1974   ผมตัดสินใจขายรถคันหนึ่ง รวบรวมเงินที่มีไปเรียนพระคัมภีร์  ที่โรงเรียนสอนการประกาศ ของคณะวายแวม   ที่เมืองโลซาน  ประเทศสวิสเซอร์แลนด์  หลักสูตร  8 เดือน    ครับ  ตอนนี้เงินที่สะสมมาหมดเกลี้ยงกระเป๋า  ทั้งแลไปไม่เห็นอนาคตของความมั่งคั่งด้วย  ช่วง 2 เดือนสุดท้าย ผมอยู่เมืองนอกแบบคน ไม่มีเงินติดกระเป๋า มีแต่พระเจ้าเท่านั้น ทรงสอนให้วางใจพระเจ้า ไม่ใช่วางใจเงินทอง

 

 

           เมื่อกลับมาเมืองไทย ผมก็ตั้งใจว่า จะไม่กลับไปดีเทลยา  ทั้งๆที่พี่ซุปเปอร์ไวเซอร์  ชวนให้กลับไปทำงาน ที่บริษัทอีก   ผมตัดสินใจมารับใช้เป็นผู้ช่วยศิษยาภิบาลที่คริสตจักร   ด้วยเงินไม่มากนัก  ผมแต่งกับภรรยาในปี 1976   ชวนเธอมาร่วมลำบากกับผม  คิดย้อนหลังไปเมื่อใด  ผมก็  อดขอบพระคุณพระเจ้าไม่ได้  สำหรับเธอเสมอ  ครั้งแรก ผมยังคงคุมร้านขายยาปากซอยอ่อนนุชอยู่    แต่งานรับใช่ในคริสตจักรก็ทวีขึ้น   พระเจ้าตรัสให้ผมละงานการคุมร้านขายยา  เพื่อมาทุ่มเทกับคริสตจักรมากขึ้น   และภรรยาก็เห็นดีด้วย  เราจะได้มุ่งรับใช้อย่างเดียว   จากวันนั้น  ความไว้วางใจเรื่องความเป็นอยู่ ซึ่งเคยขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าก็เปลี่ยนไป   ผมมีที่พึ่งแหล่งเดียว  คือพระเจ้า  ภรรยาและผมก็มีความสุขดี   มีหลายครั้งที่เราไม่มีเงินเหลือในบ้านเลย  แต่ความทุกข์กังวลใจเรื่องเงิน อย่างในอดีต มันไม่มี  พระองค์ไม่เคยให้เราอดอยากปากแห้ง  พระเจ้าผู้ทรงห่วงใยในความเป็นอยู่ของเรา  ทรงสัตย์ซื่อ  พระองค์ตรัสว่าจงแสวงหาแผ่นดินของพระองค์ก่อน  แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้   เราถือหลักอย่างหนึ่ง  คือจะไม่ใช้ชีวิตแบบมีหนี้สิน   มีน้อยก็ใช้น้อย  มีมากก็ใช้มากได้   อาหารเมืองไทย มีให้ซื้อตั้งแต่ราคาแพงจัด จนถึงราคาถูกสุด  ผักสด  3 กำสิบบาท ก็มีให้ซื้อ  ปลาทูเข่งละ 10-15  บาทก็ยังซื้อได้อยู่  ผลไม้ก็เช่นกัน กิโลละ 10-20 บาท ก็มี    

           ผมเขียนบทความนี้  มิใช่เพื่ออวด หรือให้พี่น้องมาห่วงใยอะไรผม แต่ผมอยากหนุนใจพี่น้องที่ขันอาสาออกมาจากงานอาชีพ เพื่อรับใช้พระองค์ในการสร้างคริสตจักรให้วางใจพระเจ้า ไม่ใช่วางใจเงินในกระเป๋า งานพระเจ้าต้องการคนถวายตัวออกมารับใช้ หลายคนรู้ดีว่าพระเจ้าใช้ตน แต่หวั่นเกรงความยากจน อย่างที่ผมมีในอดีต  การขอให้คนมาการันตี ว่าเราจะไม่อด มิได้วางใจพระเจ้า แต่วางใจคน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอะไรขึ้น 

 

 

         ผมเคยนั่งสัมภาษณ์ฝรั่งที่มารับใช้พระเจ้า  ในคณะวายแวมหลายคน  เขาเป็นคนหนุ่มสาวที่มีอนาคต เขาสามารถสร้างมั่งคั่งในโลกนี้ให้ตัวเองได้มาก  หลายคนเรียนสูงๆ  เป็นคนเก่งมีความสามารถ  เก่งยิ่งกว่าผม เขาผละงานออกมาเพราะห่วงจิตวิญญาณของคน  ผมเคยคิดว่า  ฝรั่งเหล่านี้ ไม่มีทางไป ชีวิตไร้ค่า  แต่เมื่อนั่งลงพินิจพิเคราะห์  ผมยอมรับว่าผมคิดผิด  ค่าแห่งอนาคตของเขา มิได้ต่างจากของผมที่ผมหวงไว้เพื่อตนเองอย่างมาก ใครมาแตะก็ไม่ได้ เขาเสียสละต่างหาก 

          อาจารย์วีรชัย เคยเทศนา  ท่านว่า พ่อแม่มีลูก 5 คน คนเก่งพ่อแม่ให้เรียนหมอ วิศวะ  บัญชี  ฯลฯ  ส่วนลูกที่เรียนไม่เอาถ่าน  สอบอะไรที่ไหนไม่ได้  พ่อแม่ส่งไปเรียนโรงเรียนพระคัมภีร์  หรือศูนย์ฝึกฯ  แปลว่าอะไร 

 

 

          ยิ่งกว่านั้น คนที่ทำงานบริษัทห้างหุ้นส่วน เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย รับราชการ ฯลฯ  เรายกย่องยิ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี   แต่นักศึกษาที่ออกไปรับใช้  เรามองเขาว่า เขาคือคนที่ไม่มีทางไป    

          ก่อนปิดประชุมองค์กรที่ผ่านมา  ผมได้ท้าทายผู้นำพันธกิจทั้งหลาย พร้อมกับสมาชิกให้วางใจพระเจ้า ไม่ใช่วางใจคริสตจักรแม่  ใน 3 ปีให้คริสตจักรเลี้ยงตนเอง ส่วนคริสตจักรพันธกิจที่มีอายุ ผ่านมาแล้วหลายปีน่าจะเลี้ยงตนเอง เร็วกว่านั้นหากคริสตจักรพันธกิจยังละล้าละลัง  ผู้นำพันธกิจยังกล้าๆกลัวๆ  ท่านก็จะไม่มีวันได้รับประสบการณ์ พระเจ้า พระเยโฮวาห์ยีเรห์ ท่านจะอ่อนแอ และพาให้คริสตจักรอ่อนแอไปด้วย   




Visitor 116

 อ่านบทความย้อนหลัง