อันดรูว์ชวนพี่มาเชื่อ

ศ บ.

 

 

 

“แล้วอันดรูว์ก็ไปหาพี่ชายของตนก่อน  และบอกเขาว่าได้พบพระเมสสิยาห์แล้ว”  ( ยอห์น 1:41)

        วันนี้ผมขอพูดเรื่อง สาวกคนหนึ่งของพระเยซู คืออันดรูว์  ท่านเป็นโมเดลให้กับการประกาศ ในพระคัมภีร์ใหม่อย่างไร

       1   คนที่จะนำคนอื่น ต้องเชื่อพระเจ้า

           อันดรูว์  เป็นลูกศิษย์ของยอห์น ผู้ให้บัพติสมา  เป็นศิษย์รุ่นเดียวกันกับยอห์น  สาวกที่พระเยซูทรงรัก  ทั้งสองยังไม่รู้จักพระเยซู  แต่มีความเชื่อในพระเจ้า  ท่านชอบฟังคำสอนของยอห์น  ผู้ให้บัพติสมา  ซึ่งตอนนั้นท่านประกาศอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน  มีผู้คนจากในกรุงเยรูซาเล็ม และทั่วแคว้นยูเดียมาฟังท่านมากมาย  สมัยนั้น  โรมปกครองยิว อยู่  ส่วนปุโรหิตในพระวิหารนั้น  ไม่เอาไหน  ไม่เป็นที่พึ่งของผู้คน  คายาฟา มหาปุโรหิต และอันนาส พ่อตาของท่านหาเงินเข้ากระเป๋าตนเองโดย  เปิดตลาดในพระวิหาร ขายแพะแกะ สำหรับเผาบูชา  ทำให้ผู้คนเบื่อพระวิหาร  ประชาชนพากันไปฟังคำสอนของ ยอห์นในถิ่นทุรกันดาร อันดรูว์และยอห์น ก็เป็นศิษย์ของยอห์น ผู้ให้บัพติสมาด้วยทั้งสองต้องสนใจแสวงหา และเชื่อพระเจ้ารอคอยพระคริสต์ที่จะมาไถ่พวกเขา  ยอห์นเกิดก่อนพระเยซู  6  เดือน  พระเจ้าใช้ให้เป็นผู้นำทางพระคริสต์  เหมือนรถตำรวจ  วิ่งนำทางรถในหลวง  ทำหน้าที่ขับนำหน้าเปิดไฟกระพริบ แวบ ๆ  ประกาศให้คนเตรียมรับเสด็จ  รถยนต์พระที่นั่งที่กำลังขับตามมา

 

 

        2.   คนที่จะนำคนอื่น ต้องกลับใจจากบาปที่ตนรู้ 

             แน่นอน  ทั้งสองฟังยอห์นรู้เรื่อง  ไม่ใช่เป็นประเภทไทยมุง  เห็นเขามาก็มา  เห็นเขามุงก็ชะเง้อดู  ผมพูดอย่างนี้ เพราะหลายคนเมื่อมาหาพระเจ้า  บางทีก็เป็นแค่มุง  รู้บ้างไม่รู้บ้าง  แล้วก็ผ่านไป   แต่ทั้งสองตั้งอกตั้งใจ  อันดรูว์รู้ว่ายอห์นเป็นใคร  พระเจ้าใช้มาทำอะไร  มาลาคี พูดถึงยอห์น ผู้ให้บัพติสมาว่า “ท่านจะเป็นผู้มาตัดถนนให้ตรง  ถมที่ลุ่มให้เต็ม  ตัดเนินสูงให้เรียบ”  ชักนำให้คนกลับใจใหม่ ละทิ้งบาป  ให้แสดงความพร้อมโดยการรับบัพติสมาในแม่น้ำจอร์แดน เมื่อคนเก็บภาษีมาขอรับบัพติสมา  ยอห์นสั่งว่า  “อย่าเก็บภาษีเกินพิกัด”  เมื่อพวกทหารมาถามท่านว่าพวกเชาต้องทำประการใด  ยอห์นสั่งว่า “อย่ากรรโชก  อย่าใส่ความเพื่อเอาเงิน  แต่จงพอใจในค่าจ้างของตน”  ผมเชื่อว่าทั้งยอห์นและอันดรูว์ ได้รับบัพติสมากับยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน  แสดงถึงการกลับใจใหม่เช่นเดียวกับศิษย์ทั้งหลายของยอห์น

 

           3.  คนที่จะนำคนอื่น  ต้องพบพระเยซูเป็นการส่วนตัว

               ยอห์น  ผู้ให้บัพติสมา แนะนำคนให้รู้จักพระเยซู  พระคริสต์  พระผู้ไถ่โทษ ที่ชาวยิวรอคอยมาเป็นพัน ๆ ปี แต่พระเยซูยังไม่ปรากฏตัวท่ามกลางพวกเขา   อันดรูว์ฟังยอห์นเล่าเรื่องนี้มาตลอด  แต่ก็ยังไม่เคยเห็นพระเยซู   แน่นอน เขาต้องรอคอยพระคริสต์ด้วยใจจดใจจ่อ  วันหนึ่งพระเยซูเสด็จมา  ยอห์นให้พระเยซูรับบัพติสมาในน้ำ  และแนะนำพวกศิษย์ว่า  พระองค์  คือ “ลูกแกะของพระเจ้า”  อันดรูว์ไม่ได้อยู่เฉย  ติดตามพระเยซูไปทันที  และพักอยู่กับพระองค์  อันดูว์ต้องการรู้จักพระเยซูจริงจัง ด้วยตนเอง  ไม่ใช่ฟังแค่คำบอกเล่าของยอห์น   คนที่จะนำคน  คนที่จะเป็นแสงสว่างแก่คนอื่น  ต้องพบพระเยซูเป็นการส่วนตัว  เขาต้องรู้จัก และได้สัมผัสพระองค์   คนไทยเราว่า “สิบปากกว่า ไม่เท่าสองตาเห็น  สองตาเห็นยังไม่เท่าสองมือคลำ  สองมือคลำยังไม่เท่าทำเอง” การเป็นพยาน เราต้องมีประสบการณ์กับพระองค์ การรู้จักพระองค์งูๆปลาๆ จะบอกให้คนอื่นเชื่อได้อย่างไร  “การฟังเขามาเล่าต่อ” ไม่ทำให้คนสนใจฟังถึงขั้นอยากเปลี่ยนแปลง 

           4.   คนที่จะนำคนอื่น  จะตื่นเต้นกับชีวิตใหม่

                อันดรูว์สัมผัสพระเยซู และชีวิตเขาก็เปลี่ยนไป เขาไม่เหมือนเดิม อันดรูว์ตื่นเต้น เขารู้ว่านี่คือพระเจ้าที่เขารอคอย  พระองค์ผู้เสด็จมาเพื่อไถ่โทษทัณฑ์ปวงประชา เขามีสันติสุข เหมือนตะเกียงที่จุดติดขึ้นมาใหม่  นี่คือความหวังของมนุษยชาติ ผมได้นำคนมาต้อนรับพระเยซูนับจำนวนมาก  บางคนก็เฉยๆ  สำหรับคนที่พบพระเจ้าจริง  ผมแลเห็นความตื่นเต้นในแววตา ในอากัปกริยา  ในวิถีการใช้ชีวิต  จากคนหมดอาลัยตายอยาก  หมดหวัง ท้อแท้  เขากลายเป็นคนมีพลังขึ้น เหมือนปลาได้น้ำ  เหมือนดินแตกระแหงรับน้ำฝน  ผมเองก็เช่นเดียวกัน  ก่อนพบพระเจ้า ไปร่วมประชุมผมอยากนั่งหลังสุด  เวลาพบพระองค์ผมอยากฟังเทศน์ อยากเรียนรู้   สาวกชุดแรกที่เปโตรนำรับเชื่อ  “ขะมักเขม้นฟังคำสอน  ขะมักเขม้นสามัคคีธรรม และอธิษฐาน”   

 

 

 

           5.   คนที่จะนำคนอื่น  อดเป็นพยานกับคนใกล้ชิดไม่ได้

            “แล้วอันดรูว์ก็ไปหาพี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่าได้พบพระเมสสิยาห์แล้ว”  ยังไม่ได้ไปประกาศกับใคร เขาพบซีโมน เปโตร พี่ชายของตน เขาจะเก็บเรื่องนี้เงียบเชียบได้อย่างไร   นี่เป็นแบบฉบับของการนำวิญญาณ อย่างธรรมชาติที่สุด อันเป็นเหตุให้พระกิตติคุณขยายไปอย่างรวดเร็ว ภาษากรีกเรียกว่า Oikos Evangelism คือการนำคนที่อยู่ในแวดวงที่เรารู้จักมักคุ้น มาพบพระเยซู   ดายิด จี แมนเดลบาอุม ศาสตราจารย์ด้านมนุษย์วิทยา ที่มหาลัยคาลิฟอร์เนีย  กล่าวว่า ในบรรดากลุ่มคนทั้งหลายในโลก ทุกๆสังคมจะมีความสัมพันธ์  3 แบบ (1) ครอบครัว  คนทุกชาติทั่วโลก เมื่อเกิดมาจากมารดา จะถูกเลี้ยงดู เติบโตขึ้นในครอบครัว  (2) สังคมท้องถิ่น  ปกติไม่มีใครเติบโตขึ้นมาโดดเดี่ยว โดยไม่มีกลุ่มสังคม เราจะรู้จักเพื่อนบ้านข้างเคียง (3) สังคมที่มีความสนใจเหมือนกัน เช่น พ่อแม่ กับครู  พ่อค้ากับลูกค้า คนเล่นกีฬา เป็นต้น  

ทั้ง 3 แบบนี้  ครอบครัวคือ ความสัมพันธ์พื้นฐานที่สุด  ความสัมพันธ์ในครอบครัว  เมื่อสามีมาเชื่อ ก็จะนำภรรยามาด้วย  เมื่อพ่อแม่มารู้จักพระเจ้าก็จะนำลูกมาด้วยพี่จะชวนน้อง น้องนำพี่ เหมือนอันดรูว์ พอพบพระเยซูก็รีบไปบอกพี่ชายของตน การบอกกล่าวสิ่งดีที่สุดให้แก่คนที่ตนรักถือว่า ตอนพบพระเจ้าจริง  เพื่อนชวนเพื่อน นายชักชวนบ่าว  เป็นต้น  

 

 

 

          ในพระคัมภีร์ใหม่ การประกาศ และนำคนในครัวเรือนมาเชื่อพระเจ้า เกิดขึ้นมากเช่น พระเยซูกำชับให้คนที่พระองค์เพิ่งขับผีออกไปจากเขาให้กลับไปบอกคนในครัวเรือน (ลูกา 8:39)  ศักเคียส เชื่อและรับความรอดโดยนำคนในครัวเรือนมาเชื่อด้วย (ลูกา 19:9) นายร้อยรับเชื่อพร้อกับคนในครัวเรือน เมื่อพระเยซูทรงรักษาบุตรชายของท่าน (ยอห์น 4:53) นายร้อยโคระเนลิอัส ผู้ยำเกรงพระเจ้ารับเชื่อพร้อมกับคนในครัวเรือน  เมื่อเปโตร เทศนา (กิจการ 10:2)  นางลิเดียรับเชื่อ และรับบัพติสมาพร้อมกับคนในครอบครัวของนาง (กิจการ 16:15) นายคุกรับเชื่อพร้อมกับครอบครัว (กิจการ 16:33) คริสปรัส นายธรรมศาลา รับเชื่อพร้อมทั้วครัวเรือน (กิจการ 18:8) เปาโลให้สเตฟานัสรับบัพติสมา ทั้งคนในครัวเรือนของท่านด้วย    ( 1 โครินธ์ 1:16)

     ได้มีการทำแบบสำรวจคน 14,000 คน  ว่ามีผู้เข้าเป็นสาวกโดยวิธีใดบ้าง  ผลที่ได้ คือ

1. มาเพราะมีความต้องการพิเศษ ( Special Need)

2. มาโบสถ์เอง (Walk-in)

3. มาเพราะ ศบ. (Pastor)

4. มาเพราะการไปเคาะประตูบ้าน (Visitation)

5. มาโดยชั้นรวีฯ (Sunday School)

6. มาโดยการประกาศ (Evangelistic Crusade)

7. เพราะคจ. จัดราการพิเศษ( Church Program)

8. มาเพราะเพื่อนหรือญาติชวนมา( Friend/Relative)

1-2%

 2-3%

 5-6%

 1-2%

 4-5%

 1/2 of 1%

 2-3%

 75-90%

 

     

  ทำไม การประกาศกับญาติจึงมีพลัง?

1. คนในครอบครัว  นั้นมีการเชื่อถือกันและกันอยู่แล้ว  ต่างจากคนภายนอกที่เราไม่รู้จัก เขาไม่รู้จักเรา  เราไม่รู้จักเขา  ความไว้เนื้อเชื่อใจจึงเกิดได้ยากกว่า  แต่ คนในครัวเรือน เรามั่นใจ  ซีโมน วางใจแอนดรูว์  ง่ายในการแนะนำพระเยซู

2. เขามองเห็นชีวิต อยู่ทุกวี่ทุกวัน  รู้ว่าเราเป็นใคร  สนใจอะไร  ใช้ชีวิตแบบไหน  เราเปลี่ยนแปลงอย่างไร เป็นกระบอกเสียงดังกว่าคำพูดอย่างยิ่ง 

3. เรามีความสัมพันธ์กับบุคคล นั้นๆที่เรารู้จัก  เราได้เห็นความทุกข์ ปัญหา ความผิดหวัง หรือความเจ็บป่วยที่เขาเผชิญ  จึงเป็นโอกาสนำเขา

4. ความใกล้ชิด และความสัมพันธ์จาก ข้อ (1) ถึง ข้อ (3) เป็นโอกาสให้เราได้ชักชวนเขา และเขาเปิดหูออกง่ายที่จะที่จะฟังเรา

 

 

       อย่าลืมความรักของอันดรูว์ที่มีต่อพี่ชาย อย่าลืมความรักของศักเคียส นางลิเดีย นายร้อย ที่มีกับคนในบ้านตน เราจะไม่ลืมคนในบ้านของเราเองเช่นเดียวกัน คนไทยเราได้ชื่อว่ามีความผูกพันธ์ระหว่างกันใกล้ชิด ญาติของคนไทยมีศัพท์ให้เรียกได้มากกว่าฝรั่ง คงเป็นเพราะเรานับญาติกันกว้างไกล และความผูกพันของเราลึกซึ้ง เรามีชื่อเรียกขึ้นไปข้างบนคือ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด พ่อตา แม่ยาย ย่าทวด ยายทวด พ่อทวด แม่ทวด เรามี ชื่อเรียกลงไปข้างล่าง คือลูก หลาน เหลน โหลน  เรามีชื่อเราข้างพี่ชาย พี่สาว น้องชาย น้องสาวเรามีชื่อเรียกในวงถัดออกไป คือลุง ป้า น้า อาว์  สามี ภรรยา โอ๊ย ยังมีที่เป็นลูกพี่ลูกน้องที่เป็นน้องกันอีก ผูกกันระโยงระยางเหมือนใยแมงมุม เป็นโอกาสอันดีในการนำวิญญาณทั้งสิ้น

       ขอพระเจ้าอวยพระครับ     




Visitor 343

 อ่านบทความย้อนหลัง