พระเยซูวายพระชนม์เพื่อใครและทำไมพระเยซูจึงช้าที่จะ

เสด็จมา?

มน.กมล ซาทู

 

 

(ยน. 11 : 49-50)    

แต่ในคนหนึ่งในพวกเขา ชื่อ คายาฟาส เป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้นกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า“ท่านทั้งหลายไม่รู้อะไรเสียเลย    และไม่รู้ว่ามันจะเป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านทั้งหลาย  ถ้าจะให้คนตายเสียคนหนึ่ง  แทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ”   

 (ยน. 11 : 54)

  เหตุฉะนั้นพระเยซูจึงไม่เสด็จในหมู่พวกยิวอย่างเปิดเผยอีก  แต่ได้เสด็จออกจากที่นั่น  ไปยังถิ่นทุรกันดาร  ถึงเมืองหนึ่งชื่อเอฟราอิม  และ ทรงพักอยู่ที่นั่นกับพวกสาวก    


                                                                                                                                                                     

จะด้วยความเข้าใจ  หรือ ความคิดใด ๆ ของคายาฟาส  แต่ข้อความนี้ก็มีส่วนเร่งนำพระเยซูสู่การวายพระชนม์  เพียงแต่ว่าไม่ใช่คนยิวเท่านั้นที่พ้นจากความพินาศ แต่เป็นทั้งยิวและคนทั้งโลกที่พ้นจากความพินาศ ความพินาศในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการสูญเสียสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตนี้  แต่เป็นการตกนรก     เพราะว่าเป้าหมายที่พระเยซูเสด็จมาในโลกนี้ก็เพื่อการวายพระชนม์ไถ่คนทั้งโลก  เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจึงประทานพระเยซูมาบังเกิดในโลก   เพื่อให้คนทั้งโลกที่เข้ามาหาพระองค์พ้นจากความพินาศ เข้าสู่ชีวิตนิรันดร พวกเรารู้เรื่องนี้ดี เรามาพิจารณาว่า ทำไมพระองค์จึงเนิ่นช้าเข้าสู่การวายพระชนม์เพื่อไถ่บาปคนทั้งโลก คนไกล้ชิดพระเยซู  มารดา และ   น้อง ๆ ของพระเยซูก็กังขาเรื่องนี้ ถ้าเราเห็นถึงราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำตั้งแต่เริ่มต้นที่กาลิลี  กระทั่งมาที่ยูเดีย   พระเยซูก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในเยรูซาเล็มเป็นหลัก   เมื่อพระองค์มาก็ทรงเสด็จออกไปพำนักที่อื่น  ไกล้เคียงบ้าง  เป็นระยะ  เช่น เบธานี เป็นต้น     เมื่อพระองค์ทรงเริ่มราชกิจ  ก็ทรงเรียกสาวกเลย  เริ่มตั่งแต่  1 คน  2 คน  4 คน 12 คน จนกระทั่ง  70 คน  สาวกเหล่านั้นอยู่กับพระเยซูแล้วออกไปสั่งสอนคน   ไปกับพระเยซูบ้าง  ไปลำพังแต่สาวกบ้าง   สอนเขาถึงสิ่งสารพัดที่พระเยซูทรงสั่งไว้     ให้คนรับบัพตีสมา    เป็นคำตอบว่า  ทำไมพระองค์จึงต้องเนิ่นช้า กระทำการอัศจรรย์  และ สร้างสาวก   สิ่งที่เกิดขึ้นที่ชัดที่สุด   เมื่อฟื้นคืนพระชนม์ก็เสด็จมากาลิลี   พบกับคนพร้อม ๆ กัน ถึง 500 คน ทีเดียว   คนเหล่านั้นคือกลุ่มคนที่ได้เห็นการอัศจรรย์  คนที่พระเยซูเคยรักษา  คนที่พระเยซูเคยขับผี  คนที่ขอติดตามพระเยซู หรือ คนที่พระเยซูห้ามไม่ได้บอกแก่ผู้ใดได้มาพบพระองค์ชั่วข้ามคืน      

 ก่อนพระองค์เสด็จสู่สวรรค์  ทรงตรัสย้ำเรื่องนี้   ให้กระทำการนี้  ตั้งแต่  ยูเดีย  สะมาเรีย  จนสุดปลายแผ่นดินโลก  พระองค์ไม่เพียงสั่งเราเท่านั้น  แต่ทรงประทานพระสัญญาที่ยิ่งใหญ่   นั่นคือการประทานพระวิญญาณเหนือเราทั้งหลาย  เมื่อพระวิญญาณสถิตกับเรา ทำให้สาวกและเราทั้งหลายมั่นใจว่า  เราไม่ได้เพียงแต่สอนเขาถึงสิ่งสารพัด  แต่เรามีพระวิญญาณของพระเจ้าคอยช่วยเราด้วย ช่วยคนใหม่ด้วย คำพยานของผู้เชื่อทั้งหลาย เป็นคำตอบอย่างดีเรื่องนี้  ดังนั้นเมื่อคนบาปสำนึกกลับใจเลิกบาป  นิสัยบาปที่ตั้งใจละทิ้ง   แม้ว่าจะเกาะฝังลึกขนาดไหน พระวิญญาณจะคอยช่วยคนเหล่านั้น  จะพยุงชีวิตคนเหล่านั้นให้ดำเนินกับพระเจ้าได้อย่างปลอดภัย  และชนะบาปครั้งแล้วครั้งเล่า  จนเป็นนิสัยแห่งการชนะบาป นำชีวิตสู่ความไพบูลย์ของพระองค์ เมื่อพระองค์เสด็จมา   

        วันนี้เราเป็นเสมือนพระองค์วันนั้น คนบาปยังไม่กลับใจจำนวนมากมาย คนเหล่านั้นปรารถนาจะละทิ้งบาป  แต่หมดทางต่อสู้บาป ถูกกักขังพันธนาการ หาทางไม่พบ  หาวิธีไม่เจอ มีแต่เส้นทางจอมปลอมและล่อลวง คนเหล่านั้นเจ็บป่วย และ สูญเสีย  วิธีการพบพระเจ้าที่แท้จริง ถ้าพระองค์เสด็จมาวันนี้  มีเพียงคนน้อยนิดที่เข้าสู่ชีวิตนิรันดร คนที่เข้ามาหาพระเจ้าแล้ว ยังอาจมีการแยกแพะแยกแกะอีก  

     ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากได้รับความพินาศ เราจึงทำการประกาศพระเยซูเป็นพระเจ้าเหนือชีวิตของคนเหล่านั้น  กระทำตามที่พระองค์ได้ทรงบัญชาไว้ หนทางและคำตอบที่พระเยซูทรงทำให้เราได้เห็นแล้ว   คือ   ทำงานกันหลายคนแต่เป็นใจเดียวกัน ทำงานหลายคนดีกว่าทำงานคนเดียว ทำคนละหน้าที  ทำได้มากกว่าเป็นทวีคูณได้ แล้วเราทูลขอพระวิญญานช่วยเรา ชี้นำเรา  ชี้ทางเรา  เป็นกำลังให้เรา งานที่ทำก็จะสำเร็จและเจริญ เราที่ทำงานนอกจากจะช่วยตัวเองได้แล้ว ยังช่วยผู้อื่นได้อีก คนทั้งหลายก็จะเข้ามามากขึ้น ๆ ทุกวัน ๆ  อาเมน











Visitor 112

 อ่านบทความย้อนหลัง