ทำไมจึงเรียนรวีฯ ร่วมประชุมกลุ่มเซลล์

ศ.บ

 

           ผมจึงขอพูดเรื่องรวีวารศึกษา  ภาษาอังกฤษ คือ  Sunday School  หรือที่เราเรียก “โรงเรียนวันอาทิตย์” แต่เดิมเรามักเข้าใจว่า คือการสอนพระคัมภีร์เด็กเท่านั้น   แต่ทุกวันนี้ มีความหมายถึงการสอนพระคัมภีร์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่   ซี ปีเตอร์ แวคเนอร์  ศาสนาจารย์ด้านเพิ่มพูนคริสตจักร  พูดเรื่องการวัดความเจริญเติบโตของคริสตจักรว่าจะดูว่าคริสตจักร โตหรือไม่โต  ให้ดูตัวเลข 3 ตัว

(1)  จำนวนผู้มาร่วมประชุม (Worship Attendants  )  ถ้าคริสตจักรเพิ่มพูนขึ้นจริง จำนวนผู้มาโบสถ์ต้องเพิ่มขึ้น  ปีกลายมาคนมาร่วมประชุม 100 คน  ปีนี้ต้องเพิ่มขึ้น  เช่นเพิ่มเป็น  120  หรือ 130 คน

(2) จำนวนผู้รับบัพติสมาในน้ำ (Membership ) แค่คนมาโบสถ์เยอะ  แต่ไม่รับเชื่อ  ไม่เรียนชั้นผู้สนใจ  ไม่รับศีลบัพติสมา ไม่อาจพิสูจน์ว่าโบสถ์โตขึ้น

(3) จำนวนผู้เรียนพระคัมภีร์ และเข้ากลุ่มเซลล์ ( Bible class and cell groups attendants) ต้องเพิ่มขึ้น ทำไมล่ะ  ก็เพราะแค่มีคนรับศีลบัพติสมา  แต่ไม่เรียนพระคัมภีร์ ก็เหมือนได้ปริมาณ แต่ไม่มีคุณภาพเวลาเขาเขียนกร๊าฟ เขาจะเอาตัวเลขทั้ง 3 ตัวนี้มาเฉลี่ย  เหมือนการขอคะแนนจากกรรมการข้างเวทีมวย 3 คน  ก่อนตัดสินวันนี้ผมจึงขอพูดเรื่อง  การเรียนพระคัมภีร์ และการเข้าประชุมเซลล์  ว่าทำไมจึงมีความสำคัญ  การเรียนพระคัมภีร์  เป็นแนวทางของพระคัมภีร์

 

      (1) สมัยพระคัมภีร์เดิม โมเสสบัญชาให้บุตรหลานของชาวยิวเรียนพระวจนะ  (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-9) บอกว่า  “จงให้ถ้อยคำที่ข้าพเจ้าบัญชาพวกท่านในวันนี้  อยู่ในใจของท่าน  และจงอุตส่าห์สอนถ้อยคำเหล่านี้แก่บุตรหลานของท่าน  ..”

      (2) ชาวยิวยกย่อง ธรรมาจารย์ในศาลาธรรมว่าเป็น รับบี (Rabbi)  คือเป็นครูสอนพระคำ วันก่อนผมดูสารคดี เรื่องประเทศเวียตนามที่กำลังพัฒนาประเทศ หลังเขาไปเสียเวลากับสงครามหลายปี เหมือนนักวิ่งที่กำลังมาแรง  เขายกย่องเรื่องการศึกษาเป็นเรื่องเอกของประเทศ และอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติสูงสุดในประเทศ  อันนี้ ค่อนข้างแตกต่างจากประเทศไทย ปัจจุบันในคริสตจักร เพื่อการเพิ่มพูน คริสเตียนศึกษาจึงถือว่าสำคัญบัญญัติ  เริ่มตั้งแต่ เลวีนิติ  จากนั้นก็เรียนประวัติศาสตร์ของชาติยิว อายุ 15 ปี  ถือว่าโตพอที่จะตั้งคำถามครู โต้แย้ง และเรียนสูงขึ้นไปอีก  หมอลูกาบอกว่า  พระเยซูเสด็จไปยังธรรมศาลาตามเคย  แสดงว่า  พระองค์ทรงไปเรียนพระคัมภีร์มาตั้งแต่เด็ก อย่างเด็กยิวทั้งหลาย 

       (4) ในพระราชกิจเริ่มแรกของพระเยซู  คนเรียกพระเยซูว่า ครู (Rabbi)  คนเรียก ยอห์นผู้ให้บัพติสมาว่า “นักเทศน์”  แต่เรียกพระเยซูว่า “ครู”  ซึ่งปรากฏในพระกิตติคุณ ถึง 42 ครั้งด้วยกัน  แม้แต่คำเทศนาบนภูเขา  พระคัมภีร์ก็ไม่ได้บันทึกว่าพระองค์ทรงเทศน์   แต่ใช้คำว่า  พระองค์ทรงสั่งสอน  (มัทธิว 5:2)

      (5) การประกาศพระกิตติคุณของพระเยซู  ตามมาด้วยการสั่งสอน พระเยซูทรงบัญชาสาวกของพระองค์ให้ออกไปประกาศ นำคนมารับเชื่อ  โดยใช้คำว่า  “ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวก”  แสดงว่า  ตอนท้ายยังตรัสสั่งด้วยว่า  “สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราได้สั่งพวกเจ้าไว้” (มัทธิว 28:19-20) 

      (6) ในสมัยคริสตจักรเริ่มแรก สาวกเรียนพระคัมภีร์ ตั้งแต่วันแรกที่กลับใจรับเชื่อรับบัพติสมา “เขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของพวกอัครทูต” (กิจการ 2:42)

     (7) พวกสาวกออกไป ที่ไหนๆ ก็สอนพระวจนะ  เช่น บาระนาบัสและเปาโล  “ได้ประชุมกับคริสตจักรตลอดปีหนึ่ง และได้สั่งสอนคนเป็นอันมาก” ( กิจการ 11:26) เปาโลสอนคริสตสมาชิก คริสตจักรโครินธ์  “เปาโลยับยั้งอยู่กับเขา  และสั่งสอนพระวจนะของพระเจ้า  ตลอดปีหนึ่งกับหกเดือน” ( กิจการ 18:11)   ท่านใช้เวลาขณะติดคุกที่กรุงโรม (แบบนักโทษพิเศษ) สอนพระคัมภีร์  (กิจการ 28:31) 

        เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า รากของการสอนพระวจนะ ในพระคัมภีร์ใหม่มาจาก พระคัมภีร์เดิม และงานการสอนพระวจนะ ติดตามการเพิ่มพูนคริสตจักรไปทุกท้องที่เปิดโบสถ์ที่ไหน ก็สอนพระคัมภีร์ที่นั่น




Visitor 1117

 อ่านบทความย้อนหลัง