“ทรงทราบความ ทุกข์ของท่าน”

ศ.บ

 

ทำไมเราต้องทูลขอ? เมื่อทรงทราบก่อนเราทูลขอ

             (มัทธิว 6:8)

             ผมเรียนเรื่องสัพพัญญูญาณของพระเจ้า และเข้าใจชัดเจนว่าไม่ว่าสิ่งใดที่ไหนในโลกหรือจักรวาล  ที่พระเจ้ามิทรงทราบ พระองค์ทรงรู้จักสรรพสิ่งต่างที่พระองค์ทรงสร้าง เปโตรตะลึงที่พบว่าพระเยซูทรงรู้จักปลาในทะเลกาลิลี ดีกว่าตนซึ่งเป็นชาวประมง (สดุดี 142:3) บอกว่าพระองค์ทรงทราบโครงร่างทั้งสิ้นของเรา นี่แปลว่ากายวิภาคศาสตร์ สรีระวิทยา อวัยวะทุกส่วนที่เราต้องไปสแกนด้วยเครื่องมือทันสมัย ในโรงพยาบาลชั้นนำในปัจจุบันนั้น พระเจ้าทรงทราบหมด ทั้งรู้จักการทำงานของร่างกายด้วย พระเยซูตรัสว่า เส้นผมทุกเส้นของเรา พระเจ้าทรงนับไว้แล้วทั้งหมด ผมคงไม่ต้องสาธยายมากไปกว่านี้ ทุกสิ่งในธรรมชาติในร่างกาย ของเราพระเจ้าผู้ทรงทิพย์เนตรทราบสิ้นครับ

            สิ่งที่ยากยิ่งกว่านั้นคือจิตใจของคนเรา พระเจ้าก็ทรงทราบ

            นาธันนาเอล ตลึงที่พระเยซูทรงทราบว่าเขาคิดหรือพูดตำหนิพระองค์ว่า “สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธ” ตั้งแต่ยังไม่พบกัน เมื่อพระองค์ใช้สาวกของพระเยซู 2 คนให้ไปนำลูกลาที่ผูกไว้กับแม่ของมัน พระองค์ทรงล่วงรู้ด้วยว่า เจ้าของลาจะพูดว่าอย่างไร แล้วสาวกก็พบตามนั้น เมื่อพวกธรรมาจารย์  นึกตำหนิพระเยซูเวลาพระองค์  ตรัสยกบาปของคนง่อย ที่เขาหย่อนแคร่ลงมา  ว่า “คนนี้ดูถูกพระเจ้านี่  ใครจะยกบาปได้”   พระองค์ตรัสกับความคิดของเขา มีใครในโลกคุยกับความคิดของคนได้ คนไทยเราว่า  สิ่งที่รู้ได้ยากยิ่งกว่าสิ่งใดคือความคิด   “เขาสูงอาจวัดวา กำหนด จิตมนุษย์นั้นไซร้  ยากแท้หยั่งถึง” ไม่แปลกหรอกที่พระเยซูทรงทราบ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง พระธรรมฮีบรู 4:13 บอกว่า “ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซ่อนไว้พ้นพระเนตรพระองค์ แต่ตรงกันข้าม ทุกสิ่งปรากฏแจ้ง  ต่อพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องสัมพันธ์ด้วย”

 

            พระเยซูทรงสอนสาวกให้ไว้วางใจพระองค์

           “ทรงทราบ ก่อนที่ท่านทูลขอ” (มัทธิว 6:8)

             คนเราเมื่อมีทุกข์มีปัญหา เรามักกังวล กระวนกระวาย  ไม่ทราบว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร เราตึงเครียด และหวาดกลัว นอนไม่หลับ ว้าวุ่นในจิตใจ อาการของคนทั้งหลายเช่นนี้  โลกก็สอนเขา ให้มั่นใจในตนเองบ้าง ให้วางใจในหมอ เครื่องมืออันทันสมัย  บริษัทประกันภัย เครื่องเตือนภัย  ความชำนิชำนาญของผู้รู้  บ้างก็สอนให้ปล่อยวางอะไรจะเกิด ถ้ามันเกิดก็ยอมรับว่ามันเกิด มีเพลงฝรั่งที่ทอปฮิตสมัยหนึ่ง ชื่อ “Whatever will be, will be.”  แปลว่าอะไรจะเป็นไป ก็ให้มันเป็นไป แต่พระเยซูทรงสั่งสอนให้เราทราบว่า พระบิดาของท่านล่วงรู้ทุกสิ่ง ทั้งทรงควบคุมดูแลด้วย

           ลูกในบ้านพ่อไม่ควรกังวลใจว่าวันนี้จะกินอะไร จะมีอาหารที่โต๊ะไหม คงแปลกถ้าลูกต้องถามพ่อว่า พ่อจะได้อาหารมาอย่างไร พ่อทำงานแบบไหน คงแปลก ถ้าคนไข้ที่ไปหาหมอ ต้องซักหมอ  ขอทราบรายละเอียดว่า หมอจะรักษาไข้ผมอย่างไร เสียงที่หูฟังของหมอที่มาแนบกับหน้าอกผม  เป็นเสียงอย่างไร  เสียงแบบนั้นแปลว่าอะไร หมอจะใช้ยาแบบไหน ยี่ห้ออะไรมารักษาผม  คงแปลกเวลาท่านขึ้นเครื่องบิน   เดินทางไปต่างประเทศ ถ้าท่านต้องซักว่า เครื่องบินลำนี้ อายุการใช้งานกี่ปี ผลิตโดยบริษัทอะไร นักบินเรียนจบอะไรมา เคยมีประสบการณ์แค่ไหนไม่มีใครซักเช่นนี้  ก็เพราะไว้วางใจยังไงล่ะ เราต้องวางใจพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นยิ่งกว่า  พ่อ  นักบิน หมอ ฯลฯ ที่ชำนิชำนาญการยิ่งกว่าใครในโลก ล้ำเลิศเกินความสามารถของคนเราราวฟ้ากับดิน  

             พระเยซูตำหนิการอธิษฐานที่พูดซ้ำซาก พูดมากหลายคำ  และว่า “พระบิดาทรงทราบก่อนที่เราทูลขอ เสียด้วยซ้ำ” มีคนถามผมว่า  ถ้าอย่างนั้นเวลาอธิษฐาน  ไม่ต้องพูดมากใช่ไหม  ห้ามพูดซ้ำประโยคเดิมใช่ไหม ผมไม่คิดว่า  พระเจ้าห้ามอะไรตรงนั้นหรือการใช้คำพูด พระธรรมมัทธิว พระเยซูสอนท่าทีของสาวก พระองค์สอนให้สาวกไว้วางใจพระเจ้า พระเจ้าทรงทราบความทุกข์ใจของเรา เพราะทุกข์เราจึงโอดครวญกับพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อเราทูลกับพระเจ้า เราไม่ควรกังวลใจ  แบกภาระปัญหาไว้ไม่ยอมวาง “คิดว่าพูดมากหลายคำ  พระเจ้าจะทรงฟัง” นี่เรียกว่าลูกไม่รู้จักพ่อของตนเอง  

 

 

              แท้จริง พระเจ้าทรงไว ต่อปัญหาเราเสียด้วยซ้ำ

              เมื่อคนยิวโอดครวญเรื่องความทุกข์ใจ ขณะที่อยู่ในประเทศอียิปต์  พระคัมภีร์กล่าวว่า เสียงร่ำร้อง โอดครวญของพวกเขาดังไปถึงพระกรรณของพระเจ้า (อพยพ 2:23-24) ชาวนาที่ถูกโกงครวญเสียงนั้นถึงพระกรรณของพระเจ้าอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่าหน่วยงานใดของรัฐบาล (ยากอบ 5:4) เมื่อนางอันนาทุกข์ใจ  เพราะไม่มีลูกร่ำไห้พระเจ้าทรงสดับเร็ว (1 ซมอ 1:17) เวลาบระทิเมอัสตะโกน บอกพระเยซูว่า เมตตาข้าพเจ้าด้วย พระเยซูประทับยืน รับสั่งให้นำเขามาหาพระองค์

              ผมอยากบอกว่าพระเจ้าทรงสนพระทัย ในความทุกข์ใจของท่านเป็นพิเศษโดยสัพพัญญูญาณของพระองค์ พระองค์ทรงล่วงรู้จักชีวิตของท่าน รู้ทั้งหมด แต่เมื่อท่านมีความเชื่อศรัทธาในพระองค์ ร้องเรียกพระองค์  ทูลพระองค์ ขอจากพระองค์ โอดครวญถึงความทุกข์ ให้พระองค์ทราบ รับประกันได้ครับว่าพระองค์สดับ และเสด็จมาช่วยท่าน “ขอแล้วจะได้  หาแล้วจะพบ  เคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน” 

 

             เมื่อทรงทราบล่วงหน้าแล้ว ทำไมให้เราขอ

             “ท่านไม่ได้รับ เพราะท่านไม่ได้ขอ”  (ยากอบ 4:2) พระเจ้าต้องการให้เราทูลขอ ยากอบเช่นกันกล่าวว่า “ผู้ใดในพวกท่านทนทุกข์ หรือ ให้ผู้นั้นอธิษฐาน” (ยากอบ 5:13) ทรงทราบแล้วทุกอย่าง เพราะพระเจ้าทรงทิพย์เนตรทิพย์กรรณ แต่ทำไมยังให้เราทูลขอจากพระองค์อีกคำตอบก็คือ  พระองค์ต้องการให้เราบอกความปรารถนาของเรา พระเยซูตรัสถามคนตาบอดว่า เจ้าอยากให้เราทำอะไรแก่เจ้า ดูภายนอก  ใครก็รู้ ถ้าอย่างนั้นทำไม พระเยซูจึงตรัสถามอีกก็เพราะพระองค์ทรงปรารถนาให้เราแสดงความจำนง มีคนไม่น้อยที่ไม่ต้องการอะไร หรือ ไม่อยากได้จริงจัง เมื่อพระเจ้าทรงกระทำให้ ยังคิดว่าตนได้มาจากแหล่งอื่น หรือตนเก่งทำมาได้เอง ด้วยกำลังลำแข้งของตน ท่าทีการพึ่งพระเจ้า เป็นท่าทีของความถ่อมใจ  เป็นท่าทีของความเชื่อ นี่เองที่พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราอธิษฐาน

 

        เมื่อทูลพระองค์แล้วขอให้วางใจน่ะครับ อย่าแบกปัญหาไว้อีก พระเจ้าเก่งกว่าท่านเยอะ พระองค์มีวิธีของพระองค์ ขอให้วางใจพระองค์เพื่อท่านจะได้รับคำตอบ

        ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ 





Visitor 326

 อ่านบทความย้อนหลัง