คำพยาน พระคุณพระเจ้า ท่วมท้นชีวิตฉัน 

อรัญญา   ศรีชอบธรรม

 

        เฉลยธรรมบัญญัติ 32:10 “"พระองค์ทรงพบเขาในแผ่นดินทุรกันดาร ในที่เปลี่ยวเปล่ามีแต่เสียงเห่าหอน พระองค์ทรงโอบล้อมเขาไว้ และทรงดูแลเขาอยู่ ทรงรักษาเขาไว้ดังแก้วพระเนตรของพระองค์ “         

        ฉันเป็นคนสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงตั้งแต่เด็ก  แพ้อากาศ แพ้กลิ่น แพ้อาหาร แพ้ยาบางชนิด แพ้ ฯลฯ เป็นไมเกรน ปวดห้วจนต้องกินยาเป็นประจำ เมื่ออายุประมาณ 50 ปี มีเหตุต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างฉุกเฉิน  เพราะอาการปวดหัว รักษาตัวอยู่เกือบเดือน วันแรกที่เข้าโรงพยาบาล หมอต้องฉีดมอร์ฟิน เพื่อแก้อาการปวด ฉีดอยู่ 2-3 วัน จนหมอบอกฉีดไม่ได้แล้ว  และเริ่มให้ยาแก้ปวด พร้อมตรวจร่างกายอย่างละเอียด เจาะไขสันหลัง ตรวจสมองสรุปว่าร่างกายของฉันปกติทุกอย่าง หมอจึงเริ่มการรักษาทางจิตเวช ตลอดเวลาที่ฉันอยู่โรงพยาบาล ฉันรู้ตัวดีทุกอย่าง ความคิดไม่เคยเลอะเลือน จิตใจเข้มแข็งสู้กับอาการปวดหัว กินยาทุก 4 ชั่วโมง ตอนออกจากโรงพยาบาล ร่างกายฉันเหมือนคนเป็นอัมพฤกษ์ ลิ้นคับปาก เดินไม่ค่อยไหว อยู่บ้านได้แต่นอน ความจำไม่มี เป็นผลมาจากยาที่หมอให้มา ที่สุดฉันจึงเลิกกินยา โยนทิ้งถังขยะจนหมด เริ่มใช้จิตใจของตัวเองต่อสู้กับความเจ็บป่วย

           หลายคนบอกว่าฉันมีอาการของคนที่ต้องเป็นร่างทรง ถ้าไม่รับองค์เทพ ฉันจะป่วยเช่นนี้จนตายในที่สุด ฉันไม่เชื่อแม้จะมีอะไรบางอย่างรบกวนตลอดเวลา ฉันใช้ธรรมปฎิบัติต่อสู้กับมัน เพราะฉันคิดว่ามนุษย์ไม่อาจลืบค้นไปได้เลยว่าไอ้วิญญาณนั้นมันเป็นอะไรกันแน่ ฉันไม่ต้องการเป็นทาสมันชั่วนิรันดร์ ช่วงนั้นฉันตระเวนไปหาพระ หาคนทรง ที่มีคนแนะนำว่าเก่งมาก เพราะอยากรู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตฉัน  เพราะอยู่ดีๆ พาลูกไปเที่ยวกลับเข้าบ้านก็มีอันเป็นไปจนเข้าโรงพยาบาล ดังที่เล่ามาในตอนต้น ที่สุดฉันไม่ได้รับคำตอบเลย  ไม่มีสำนักไหนบอกได้  หลายคนถึงกับผงะเมื่อเห็นหน้าฉัน ปากคอสั่นพูดว่า เคร่งธรรมปฎิบัติ  แล้วอาการป่วยดังกล่าวก็ค่อย ๆ ดีขึ้น  แม้จิตใจเข้มแข็ง แต่ร่างกายยังอ่อนแอ ดูเหมือนคนซังกะตายไปวัน ๆ แต่ไม่มีใครรู้ว่า จิตใจของฉันเข้มแข็ง และไม่เคยยอมแพ้ อาการทางกายเลย

 

เวลานั้นฉันใช้ธรรมปฎิบัติกับอำนาจทางจิต ค้นหาความจริงของชีวิต จนมีประสบการณ์ทางจิตหลายอย่าง  แต่ฉันควบคุมความคิด ภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน ตลอดจนเหตุอื่น ๆ ไม่ตกเป็นทาสหรือหลงไปกับสิ่งเหล่านั้น  เพราะฉันคิดว่า นั่นยังไม่ใช่ความจริงของชีวิตที่ฉันต้องการรู้และพยายามค้นหา ฉันเหมือนคนหลงทางอยู่ในถิ่นทุรกันดารจริง ๆ หาทางกลับบ้านไม่ได้  ตระเวนหาหนทาง หาแสงสว่างแต่สภาพแวดล้อมมืดมิดไปหมด เหน็ดเหนื่อยหมดหวังจริง ๆ

ทั้งหมดนี่คือเหตการณ์ก่อนที่ฉันจะพบพระเจ้า

2-3 ปีต่อมา ก็มีเหตุทำให้ฉันไปโบสถ์ (กลางปี 1999)  ด้วยตนเอง แล้วพระคุณพระเจ้าก็ไหลท่วมท้นชีวิตฉันกับทุกคนในครอบครัวฉัน  สุขภาพของฉันดีขึ้นแข็งแรงดูสดชื่น อาการปวดหัวแทบจะไม่เกิดอีกเลย ยกเว้นเวลาเป็นไข้หวัด ซึ่งนาน ๆ  จะเป็นสักที  คนที่เคยเห็นฉันถามว่าไปทำอะไรมาจึงเปลี่ยนไป  และนั่นเป็นโอกาสแรกที่ฉันเล่าเรื่องพระเจ้าให้เขาฟัง  ทั้ง ๆ ที่ฉันยังไม่เชื่อด้วยซ้ำไป

 ปลายปี ค.ศ. 2000 ฉันอธิษฐานรับเชื่อด้วยตนเองที่บ้าน  ขณะอ่านพระคัมภีร์  ความรู้สึกเวลานั้นตื้นตันจนน้ำตาซึม  และรู้ว่าต่อไปนี้ฉันเป็นของพระเจ้าแล้ว  พระองค์จะดูแลฉัน  พระองค์รักฉัน  ฉันจะไม่มีวันตกเป็นทาสของวิญญาณใด ๆ อีกต่อไป  ฉันเข้าพิธีศีลที่ทะเลชายหาดพัทยา  เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. คศ.2000 ชีวิตจิตใจความคิด การกระทำ ของฉันค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง  รวมถึงลูก ๆ และสามีด้วย  พระพรของพระเจ้าเทลงมายังครอบครัวฉันไม่ขาดสาย  แล้วเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นด้วยวัย 66  ปี ที่ดูสุขภาพดีมาก ฉันกลายเป็นคนป่วยวนเวียนเข้าออกโรงพยาบาล จนถึงปัจจุบัน (ขณะกำลังเขียนคำพยาน) กลางเดือนสิงหาคมปี 2011   เข้าผ่าตัดไทรอยด์  ปรากฎพบเชื้อมะเร็ง  กลางเดือนกันยายนจึงต้องเข้าผ่าตัดอีกครั้ง  และรับการรักษาต่อด้วยการกลืนแร่  ต้องพบหมอเจาะเลือดเป็นประจำ  และต้องกินยาตลอดชีวิต 1 ตุลาคม ปี 2014 เข้าผ่าตัดเนื้องอกที่ต่อมหมวกไตข้างขวา  และขอบพระคุณพระเจ้าที่เป็นเนื้องอกธรรมดา  ตัดทิ้งแล้วก็จบ แต่... 27  กรกฎาคม 2015  ต้องเข้ารับการผ่าตัดเนื้องอกที่ตับอ่อน พร้อมตัดถุงน้ำดีออกด้วย  เพราะมีวี่แววว่านิ่วเริ่มก่อตัวในถุงน้ำดี  หมอจึงตัดออกไปในคราวเดียวกันเลย

การผ่าตัดครั้งนี้ถือหนักมาก ฉันต้องอยู่โรงพยาบาลถึง 37 วัน  และหมอสั่งงดน้ำงดอาหาร 19 วัน  ให้อาหารทางสายที่เจาะผ่านเข้าไปที่เส้นเลือด ซึ่งวิธีการนี้ต้องทำในห้องผ่าตัด นอกจากนี้ ยังถูกเจาะเลือดเพื่อตรวจเช็คแทบทุกวัน จนแขนบวมช้ำ  บางวันเจาะที่แขนไม่ได้  เพราะเส้นเลือดแตก  ต้องเจาะที่เท้า  ยังต้องกินยาฆ่าเชื้อทุกวันจนกลับบ้านยังต้องกินอยู่ระยะหนึ่ง  และผลข้างเคียงของยาฆ่าเชื้อ คืออาการท้องผูกรุนแรง จนรู้สึกทรมานมาก  พยาบาลแนะนำว่าอย่ากินยาระบายทุกวัน เพราะจะทำให้ร่างกายเกิดความเคยตัวได้ในที่สุด  ฉันต้องต่อสู้กับความเจ็บป่วยครั้งนี้อย่างสุดกำลัง  ด้วยฤทธิ์อำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้าจริง  ๆ

 

เนื่องจากของเหลวในร่างกายที่ไหลออกมาไม่แห้งสักทีหมอจึงสั่งเอ็กซ์เรคอมพิวเตอร์  ปรากฎว่าพบถุงน้ำใกล็บริเวณตับอ่อนที่ตัดออกซึ่งเย็บปิดแผลไม่ได้  ต้องปล่อยให้แผลแห้งเอง  จึงทำให้แผลไม่แห้ง  เพราะถุงน้ำนี้ด้วย  ประกอบกับลักษณะทางกายวิภาคของฉันเอง  และถุงน้ำที่พบเจาะดูดน้ำออกไม่ได้  เนื่องจากติดอวัยวะส่วนอื่น ถ้าเจาะอาจเกิดอันตรายได้ จึงต้องทิ้งไว้ให้มันแห้งไปเอง

ผลการผ่าตัดครั้งนี้ ปรากฎว่าเป็นเนื้อร้าย  โอกาสกลายเป็นมะเร็งสูงมาก  หมอบอกว่า ฉันโชคดีมากที่ตัดสินใจตัดออกตามคำแนะนำ แทนที่จะขอติดตามดูทุก 3 เดือน  เพราะช่วง 3 เดือนอะไรจะเกิดขึ้นตอบไม่ได้

         ฉันจึงต้องรับการรักษาต่อด้วยรังสีรักษา คือการฉายแสงทุกวัน จันทร์-ศุกร์ เป็นเวลา 5 อาทิตย์  เริ่มฉายแสง 28 กันยายน ไปจนวันสุดท้ายที่ 2 พฤศจิกายน  ร่างกายฉันอ่อนล้ามาก  กินอาหารไม่ค่อยได้ เนื่องมาจากการผ่าตัด  อาการยังไม่ทุเลา  มาเจอผลข้างเคียงจากการฉายแสงซึ่งทำให้ท้องผูกอีก  ลำไส้บิดตลอด  กินอะไรแทบไม่ได้เลย  แม้จะอ่อนล้าแค่ไหน  สิ่งเดียวที่แข็งแกร่งคือจิตใจ  พระเจ้าทรงเสริมกำลัง เสริมความเชื่อด้านจิตวิญญาณของฉัน  ให้เติบโตมั่นคงทุกขณะจิต ตั้งแต่พบโรคร้ายในตัวเอง  ฉันได้ประสบการณ์ล้ำลึกกับพระเจ้าเป็นที่สุด  เห็นพระคุณพระเจ้าห่อหุ้มชีวิตร่างกายจิตใจของฉัน  พระองค์ทรงรักฉัน และดูแลปกป้องฉันจริง ๆ เพราะโรคร้ายที่พบยังไม่ก่อเกิดอาการใด ๆ ทั้งสิ้น  และถ้าไม่รู้รอจนเกิดอาการโดยเฉพาะโรคมะเร็งฉันอาจไม่มีชีวิตอยู่มานั่งเขียนคำพยานนี้แล้วก็ได้ เริ่มจาการตรวจสุขภาพตามธรรมดา  จากแรงกระตุ้นของลูก ๆ จนพบก้อนเนื้อที่ลำคอ นำไปสู่การผ่าตัดไทรอยด์ จนพบเชื้อมะเร็ง และนำไปสู่การรักษาจนถึงปัจจุบัน

 

          ต่อมาฉันปวดท้องข้างซ้าย  หมอจึงส่งไปตรวจลำไส้เพราะเกรงเชื้อมะเร็งจะลามลงไปปรากฎว่าปกติดี  และตรวจอย่างละเอียดตั้งแต่ลำคอลงมาถึงท้องน้อย  ปรากฎว่าพบก้อนเนื้อเล็ก ๆ กระจายอยู่หลายที่  รวมถึงในปอดด้วย  ซึ่งก้อนเนื้อเหล่านี้  ยังเล็กมาก  หมอบอกไม่ต้องกังวล แต่ที่เป็นปัญหาคือก้อนเนื้อที่ต่อมหมวกไต  และก้อนเนื้อที่ตับอ่อน  ที่ต้องจัดการตัดออกไป  หลังจากตรวจพบแล้ว  อาการปวดท้องข้างซ้ายของฉันหายไปไม่เคยปวดอีกเลยจนบัดนี้

ฉันขอบคุณพระเจ้าหมดหัวใจ  พระองค์ปกป้องชีวิตฉันจริง ๆ เพราะก้อนเนื้อร้ายที่ตับอ่อนนั้น  ถ้าพบช้าจนกลายเป็นมะเร็ง หากผ่าตัดได้โอกาสอยู่รอด  3  ปี  ประมาณร้อยละ 30  แต่ถ้าผ่าตัดไม่ได้เชื้อยังไม่กระจาย โอกาสอยู่รอดประมาณ 1 ปี  แต่ถ้าเชื้อกระจายเข้ากระแสโลหิต โอกาสอยู่รอด 3-6 เดือนเท่านั้น  ฉันพบคนไข้ที่เป็นมะเร็งตับอ่อน เธอบอกว่าทุกวันนี้รักษารอวันเท่านั้นเอง  ฉันมาพบเนื้อร้ายเมื่ออายุ 70 ปี  ร่างกายอ่อนแอเพราะผ่านการผ่าตัดหลายครั้ง  ถ้าไม่ตัดสินใจตัดเนื้อร้ายนี่ออกไป หรือไม่ถูกพบก่อนมันจะกลายเป็นมะเร็ง ถึงวันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่า ชีวิตฉันจะคงอยู่อย่างทุกวันนี้หรือไม่

 

เป็นพระคุณพระเจ้าจริง ๆ ที่ทรงรักษาและฟื้นฟูสภาพร่างกายที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคร้าย  ให้มีชีวิตอยู่ต่อไป  โดยผ่านทางคุณหมอทุกท่าน  และขอบคุณพระเจ้า  ที่ทรงใช้ร่างกายของฉัน เป็นท่อพระพรไปสู่การเรียนรู้ของนิสิตแพทย์  ฉันไม่เคยสงสัยในความรักของพระองค์เลย  และยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น  ไม่ว่าจะทุกข์ยากหรือเจ็บปวดแค่ไหน  เพราะฉันซาบซึ้งใจว่าพระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งฉัน  แล้วฉันก็จะผ่านวันเวลาเหล่านั้นไปได้ อย่างแน่นอน  ด้วยพระคุณอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระองค์

ฉันเคยคิดว่าตัวเองเข้าใจดีถึงความรักของพระเยซูที่มีต่อคนบาปชั่วอย่างฉัน ยอมเจ็บปวด  ยอมสละชีวิตเพื่อไถ่บาปฉัน  จนช่วงที่ฉันเจ็บปวดมากจากการรักษาโรคร้ายครั้งนี้  วันหนึ่งขณะอธิษฐานขอพระเจ้ายกโทษบาปที่ฉันยังอาจทำไปโดยไม่รู้ตัว  หรือทำไปเพราะตกเป็นทาสกิเลสของตนเอง  พร้อมขอพระเจ้ายกโทษให้สามี และลูก ๆ ของฉันด้วย  พร้อมขอพระเวิญญาณบริสุทธิ์ทรงชำระล้างจิตใจทุกวัน ขอทรงสอน และประทานสติปัญญาให้พวกเราทุกคน  เข้าใจน้ำพระทัย และพระประสงค์ของพระองค์พร้อมขอกำลังจากพระองค์  ที่จะดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยซึ่งฉันทำอย่างนี้ประจำอยู่แล้ว  แต่วันนั้นฉันอธิษฐานเพิ่มเติม คือขอพระเจ้าตัดสายสัมพันธ์ด้านพันธุกรรมจากโรคร้ายต่าง ๆ ในตัวฉัน ไม่ให้ตกไปถึงลูกหลานที่จะเกิดมา  และขอให้โรคร้ายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดกับพวกเขารวมทั้งสามีของฉันด้วย  ขอให้มาตกอยู่กับฉันเพียงคนเดียว  ขอพระเจ้าทรงสร้างร่างกายของพวกเขาให้สะอาดบริสุทธิ์แข็งแรงทั้งกายและจิตวิญญาณ  อย่าต้องมาทุกข์ทรมานเจ็บปวดเหมือนฉันเลย

 

           สิ้นคำอธิษฐาน  ฉันน้ำตาซึมอยากร้องไห้ออกมาดัง ๆ ฉันเพิ่งเข้าถึงและดื่มด่ำในความรักของพระเยซูอย่างล้ำลึกยิ่งขึ้น  ที่ฉันเคยคิดว่าเข้าใจความรักของพระเยซูนั้นเป็นเพียงความเข้าใจที่เปลือกนอกเท่านั้น  แต่ครั้งนี้พระองค์จูงจิตวิญญาณความคิดของฉัน  ก้าวเข้าไปในห้วงพระคุณความรัก  ที่ล้ำลึกยิ่งใหญ่ของพระองค์มากยิ่งขึ้นจากวันนี้นจิตใจของฉันร้อนรน  อยากเป็นพยาน อยากตะโกนบอกใคร ๆ ให้รู้ซึ้งถึงความรักของพระเยซูที่ทรงมีต่อมนุษย์ทุกคน  ฉันมาโบสถ์ไม่ได้  ไปไหน ๆ ไม่ได้  เพราะร่างกายอ่อนแอ เกรงจะติดเชื้อได้  ไม่ออกจากบ้านเลย ยกเว้นต้องไปโรงพยาบาลเท่านั้น

จนวันนี้ (4 ธันวาคม 2015)  ฉันเริ่มนั่งเขียนหนังสือนาน ๆ ได้จึงเขียนคำพยานนี้เพื่อหนุนใจพี่น้องทุกคนให้ยึดมั่นคงอยู่กับพระคุณความรักของพระเยซูคริสต์  เมื่อเกิดปัญหาขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว เศรษฐกิจ สุขภาพ การงาน หรือเรื่องใด ๆ ก็ตาม  ขอให้มองที่พระคุณพระเจ้า อย่าเคลือบแคลงสงสัยในความรักของพระองค์ 

       อย่าถามพระเจ้าว่า “ทำไม” 

       แต่ถามพระองค์ว่า “แล้วลูกต้องทำอย่างไร” 

 

       ขอบคุณพระองค์ทุกคำตอบที่จะได้รับ  เพราะตลอดเวลา 15 ปี  ที่พระเจ้านำฉันเข้ามาสู่อ้อมอกของพระองค์  ฉันเผชิญปัญหามากมาย  (ถ้าเขียนเล่าคงได้หนังสือเล่มหนาทีเดียว)  และทุกครั้งฉันไม่เคยต่อว่า พระเจ้าเลย  พร้อมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น แล้วเรื่องที่ดูเหมือนจะเลวร้ายเกินการควบคุม  กลับกลายเป็นดีอย่างคาดไม่ถึง  ซึ่งทำให้ฉันเติบโตด้านจิตวิญญาณมากขึ้น ๆ ๆ

สำหรับพี่น้องทีเพิ่งเข้ามาโบสถ์  ยังไม่รับเชื่อ หรือรับเชื่อแล้วแต่ยังอาจมีความสงสัยอยู่บ้าง  ถ้าท่านอ่านคำพยานนี้  ฉันขอหนุนใจ และยืนยันจากประสบการณ์ของฉันว่า “พระเจ้ารักคุณมาก”  การที่คุณได้ยินเรื่องพระเยซู ได้มาโบสถ์ ทุกเรื่องไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นพระคุณความรักของพระเจ้าทรงนำคุณมาหาพระองค์  พระองค์ทรงยื่นมือลงมาหาคุณแล้ว  เพียงุคณถ่อมใจ ยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนดีบริสุทธิ์ที่จะช่วยตัวเองได้เลยในทุก ๆ เรื่องทั้งในชีวิตปัจจุบัน และชีวิตหลังความตาย ขอคุณยื่นมือขึ้นไปทูลขอให้พระเจ้ายึดมือคุณให้แน่น  ไม่ว่าคุณจะดื้อรั้นดิ้นรนอย่างไร  ก็ขอให้พระองค์อย่าปล่อยมือคุณ ในที่สุดคุณจะได้เข้าไปสู่ห้วงพระคุณความรักของพระองค์  เหมือนที่ฉันได้รับ

 

           สำหรับพี่น้องที่เจ็บป่วย  ขอให้มั่นใจในความรักของพระเจ้า พระองค์จะทรงปกป้องรักษาคุณแน่นอน ถึงกระนั้นก็ต้องไปหาหมอด้วยเช่นกัน  ประการสำคัญ คุณต้องอธิษฐานขอการรักษาจากพระองค์ด้วยตัวุคณเองทุกวัน ด้วยความเชื่อจริง ๆ พร้อมขอการอธิษฐานเผื่อจากพี่น้องด้วย  เพราะคำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมย่อมมีพลัง และเชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้  (ยากอบ 5:16,ปัญญาจารย์ 4:12)

 

ประการสำคัญอีกอย่างคือ คุณต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยใจขอบพระคุณ มองให้เห็นพระคุณพระเจ้า มองให้เห็นถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อคุณ ถ้าคุณยังไม่เชื่อ ขอให้รีบรับเชื่อเมื่อยังมีเวลา (เพราะพรุ่งนี้อาจสายเกินไป ไม่มีมนุษย์คนไหนรู้วาระของตนได้  ถ้าเชื่อแล้วยังสงสัย  ขอให้ละทิ้งความสงสัย เพราะความสงสัยเป็นตัวบั่นทอนพระพรของพระเจ้า  เชื่อให้หมดหัวใจ แล้วคุณจะเข้าถึงพระคุณความรักของพระเจ้าจริง ๆ เหมือนที่ฉันได้รับจากพระองค์

          ขอพระเจ้าอวยพระพรค่ะ





Visitor 181

 อ่านบทความย้อนหลัง