การเลือกคู่ชีวิต

โดย ศบ.

 

 ไฟในตัวหนุ่มสาว

           ในช่วงวันแห่งความรัก  ผมก็ขอคุยกับหนุ่มสาวสักหน่อย  ผมจำวัยหนุ่มของตัวเองได้ดี    ยอมรับว่าไฟของความเร่าร้อน  ในการมีคู่นั้นคุ กรุ่นอยู่ในตัว   ผมเป็นเหมือนอย่างคนหนุ่มทั้งหลายที่ไม่มีของประทาน “การอยู่เป็นโสด” ตามที่อาจารย์เปาโลเขียนไว้ใน 1 โครินธ์ 7:7  คือ “ใจเร่าร้อนของความต้องการทางเพศ” (1 โครินธ์ 7:9) มีอยู่   ลึกๆ ในใจ  จึงรู้ว่า ตนต้องมีคู่ครอง  มีครอบครัวในอนาคตอย่างแน่นอน  ผมเรียนเกษตรอยู่ปีหนึ่ง  ต่อมาก็สอบเอ็นทร้านซ์ใหม่  เข้ามาเรียนเภสัชฯ เป็นเวลา 5 ปี  ในวัยเรียน  ผมมีเพื่อนฝูงเป็นผู้หญิงมากมาย   คณะเภสัชฯ มีนักศึกษาหญิงมากกว่าชายเท่าตัว  มีคนที่หน้าตาดี หรือไม่ดีนัก ทั้งใกล้ทั้งไกล  ที่ว่าใกล้  คือผมหมายถึงเราทำงานอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ทำ lab ด้วยกัน  ที่ไกลคืออยู่กันคนละห้อง หรือเป็นรุ่นน้อง  ซึ่งเพื่อนๆก็เลือกจีบ เกี้ยวพาราสี กันก็หลายคู่  จริงจังแค่ไหนไม่ทราบ 

          แต่ผมได้รับการอบรมจากบ้านมาตั้งแต่เด็ก  คุณพ่อท่านสอนว่า “วัยเรียนอย่าเพียรรัก  ถ้าเพียรนักจะถูกพักเรียน”  ผมก็เชื่อท่าน  ด้วยการยอมรับว่า “มันยังไม่ถึงเวลา”   เพราะแค่ทุ่มเทเวลาให้กับตำราเรียน นี่ก็แทบเอาตัวไม่รอด  จะแบ่งเวลาไปจีบผู้หญิงด้วยนั้น จะทำได้ยังไง  วิชาเภสัช  มีวิชาที่ต้องอาศัยความเข้าใจ และความจำอักโขอยู่  ยิ่งปีหลังๆ  ต้องจำชื่อยา ชื่อสมุนไพร  ทั้งชื่อไทย อังกฤษ  ละติน  ชื่อตัวยา  สรรพคุณ ฯลฯ ขืนไม่ใส่ใจตำราเรียน ดีไม่ดี  อาจเรียนหนังสือไม่จบ  ผมจึงไม่ขอคิดเรื่องการมีคู่ 

 

      อธิษฐานเผื่อคู่ครองในอนาคต ถามว่า  ใจเร่าร้อน เรื่องคู่ครองนั้นมีในใจไหม  มีอยู่ครับ  ผมรู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า ในอนาคตตนต้องแต่งงานมีครอบครัว  ตอนเรียนอยู่ที่เกษตร บางเขน ผมมีเพื่อนที่ชอบเที่ยว  ยังเคยคุยกันเรื่อง อนาคตการมีครอบครัว ว่าจะเลือกผู้หญิงแบบไหน  เพื่อนเขาบอกผมว่า  ทุกวันนี้จะหาผู้หญิงที่โสดจริงๆ ไม่เคยผ่านผู้ชายใดๆมาเลยนั้นไม่มี  เพื่อนเขาให้เปอร์เซนต์ตามความรู้สึกของเขาไว้ น่าตกใจ คือ มีไม่ถึง 10 %  แปลว่าผู้หญิงสาวๆทั้งหลายที่เราเห็นๆกันอยู่นั้น  ผ่านผู้ชายมาแล้วเกือบทั้งนั้น  ผมคิดว่า เขาดูถูกผู้หญิงมากไปหรือเปล่า  ความจริงอันนี้  ไม่มีใครทราบ   ฝรั่งเขาเป็นคนเปิดเผยจึงมีสถิติ truthdig.com เขาว่าหนุ่มสาวชาวอเมริกัน ได้เสียกันก่อนแต่งมากถึง 95%  แต่เมืองไทยไม่มีตัวเลข เมื่อใจเร่าร้อน  ผมทำอย่างหนึ่ง  คือ อธิษฐาน  ยิ่งร้อนรุ่มยิ่งอธิษฐาน   ผมทูลพระเจ้าว่า  ขอพระองค์ทรงโปรดประทานภรรยาที่เหมาะสมกับผมในอนาคต  ให้เขาเป็นคนดี  เป็นคริสเตียนที่รักพระเจ้า  และข้อหนึ่งที่ผมกราบทูลพระเจ้าด้วย  คือ  ขอให้เธอเป็นคนที่มิได้ผ่านชายอื่นมาก่อน อันนี้เป็นคำอธิษฐานส่วนตัวของผมนะครับ   ผมยอมรับว่า  ในวัยหนุ่ม ผมทูลพระเจ้าเรื่องนี้มาก  มากเท่ากับความร้อนรุ่มในเรื่องเพศ ที่มันคุกรุ่นอยู่ในตัว 

          ผมขอนำมาแนะนำหนุ่มสาว ไม่มีใครอยากพลาดเรื่องชีวิตครอบครัว  พระเจ้าก็ทรงปรารถนาให้ท่านมีครอบครัวดี  มีคู่ครองที่ดี  จะนำท่านให้พบคนที่เหมาะสมกับท่านเลือกคนที่เป็นคริสเตียน

 

           คุณพ่อคุณแม่ของผมมีลูก 6 คน  ท่านสอนพวกเรามาตั้งแต่วัยเด็กว่า  จะเลือกคู่ครอง  ต้องเลือกคนที่เป็นคริสเตียน รักพระเจ้า  “อย่าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ  ..วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพ” ใน 2 โครินธ์ 6:14-16  เรื่องนี้ผมจำติดหัว  ผมเคยได้ยินนักเทศน์สอนเรื่องการเลือกคู่ครองว่า  หากเรามีคู่ที่ไม่เชื่อ  เราก็จะเดินกันคนละทาง  อันนี้มิได้หมายถึงคนที่แต่งงานกันมาก่อนรับเชื่อน่ะครับ  ท่านว่า  เราจะถวายทรัพย์ เขาจะทอดผ้าป่า  เราจะทำกลุ่มเซลล์ที่บ้าน เขาจะตั้งศาลพระภูมิ  เราจะเฝ้าเดี่ยว เขาจะตั้งโต๊ะบูชา  เราอาจคุยกันได้ทุกเรื่อง  แต่พอพูดเรื่องฝ่ายวิญญาณเราต้องเงียบ  คำสอนเหล่านี้มันซึมซับในสมองผมชัดเจน  ด้วยเหตุนี้  เวลาเลือกคู่ครอง  ผมเมินผู้หญิงที่ไม่เชื่อพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง  แม้ว่าเธอจะงามพริ้งแค่ไหน เรียนหนังสือเก่ง ทำงาน ทำเงินได้มากปานใด  พูดจาไพเราะแค่ไหน   ผมจะตัดสินใจ  ไม่สน  ไม่มอง ไม่นำมาคิดพินิจพิจารณาใดๆ ทั้งสิ้น  ถือว่าระหว่างเธอกับผม  เธอมีคะแนนเป็นศูนย์  คือเธอสอบตกในวิชาบังคับของผมเสียแล้ว  ส่วนคะแนนอื่นๆที่เธอมี  มันเอามาแทนกฎข้อแรกไม่ได้  นี่ผมคิดของผมฝ่ายเดียวนะครับ  ส่วนผู้หญิงเขาก็อาจมีมติอะไรของเขานั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง   ผมไม่เชื่อเรื่อง กามเทพ ยิงศรมาปักอก ให้ตกหลุมรัก อย่างในหนังทีวีน้ำเน่า แต่ผมเชื่อว่า  ความรักเป็นสิ่งที่คนเราเลือกได้ตามกติกาที่พระเจ้าสอนไว้

 

            ความงามของผู้หญิง 

            ด้วยเหตุนี้  ตาของผมจึงมองแต่คริสเตียน  และเมินคนไม่เชื่อทุกคน  ผมเคยได้ยินเพื่อนคริสเตียน พูดว่า “ความงามนั้น เปลี่ยนไม่ได้  แต่ความเชื่อเปลี่ยนได้”  ที่เขาพูดอย่างนี้  เขาหมายความว่า  เลือกคนขี้เหร่แล้ว จะให้เขางดงามขึ้นมานั้น  เป็นไปไม่ได้  แม้เราเลือกคนนอก  แต่งแล้วไม่ช้าเขาก็เชื่อพระเจ้าไปเองแหละ”   ผมมีความเห็นแย้งในเรื่องนี้

            ขอพูดเรื่องความงามของผู้หญิง หรือความหล่อเหลาของผู้ชายก่อน  ผมเห็นว่า  ความงามของผู้หญิง  หรือผู้ชาย อยู่ที่สายตาของคนมอง  คนเรามองไม่เหมือนกัน  ทั้งมีองค์ประกอบอื่นอีกมาผนวกด้วย  ดาราทีวี  ที่งามยิ่งหน้ากล้อง  พอเดินมาอยู่หลังฉาก  เธอพูดมึงกูกับลูกน้องทุกคำ  จะงามยังไง  อีกคนเป็นสาวสวยเลอเลิศ เหมือนนางฟ้า ออกสังคมเก่ง พูดจาฉะฉาน แต่ขี้โกงทุกเรื่อง  นี่ก็อีกแหละ  ในสายตาผม เธอจะงามอย่างไร  ผมจึงมองเห็นว่า  ความงามเป็นเรื่องที่คนเรามองแตกต่างกัน  และธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้  ถ้าเราไม่พึงพอใจรูปลักษณ์หน้าตาเขา  เราก็คงไม่เลือกจีบเขาตั้งแต่แรกแล้ว  เป็นธรรมชาติของผู้ชายทุกคน ที่เมินคนที่ไม่ถูกตาต้องใจ   เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่มีใครมาบังคับเรา เราเลือกเขา ก็แสดงว่าเธอถูกตาเราอยู่แล้ว  

           ผมไม่เชื่อว่า  การเลือกคนที่ไม่เชื่อ เป็นคู่ครอง  แล้ว เราจะเปลี่ยนเขาได้หลังแต่งโดยง่าย  เพราะเปาโลเองกล่าวว่า “ดูก่อนท่านผู้เป็นภรรยา ไฉนท่านจะรู้ว่า ท่านจะช่วยสามีให้รอดได้หรือไม่  ดูก่อนท่านผู้เป็นสามี ไฉนท่านจะรู้ได้ว่า  ท่านจะช่วยภรรยาให้รอดได้หรือไม่” ( 1 โครินธ์ 7:16)  ในชีวิตการรับใช้  ผมเคยเห็นสามี หรือภรรยาที่ไม่เชื่อ  มารับเชื่อหลังแต่ง   ต้องขอบคุณพระเจ้าสำหรับ คนเหล่านั้น   แต่ผมก็เคยเห็นสามี หรือภรรยาที่ไม่ยอมเชื่อจนตราบเท่าวันตายหลายคน 

          ผมเชื่อว่าอาจารย์เปาโลพูดถูก  เราจะรู้ได้อย่างไร  ความรอดเป็นเรื่องการตัดสินใจเลือกส่วนตัวของเขา  สำหรับผม  เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่  บางคนอาจเห็นเป็นเรื่องเล็ก  แต่สำหรับผม  เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก  และผมไม่เสี่ยงครับ  เรื่องอะไรผมจะต้องแต่งงานกับคนสวยดั่งนางสาวไทย เป็นเศรษฐินี ที่ไหว้รูปเคารพ และไม่อยากมาโบสถ์เป็นปีๆ อาจนานจนตายกันไปข้างหนึ่งก็ได้  สุภาษิตฝรั่งเขาว่า  “ใครปูที่นอน  คนนั้นเป็นคนนอนบนที่นอนนั้น”  ซึ่งแปลความว่า  ใครเลือกคู่อย่างไร  คนนั้นเก็บเกี่ยวผลเอง  พ่อแม่ไม่เกี่ยว  พี่น้องไม่เกี่ยว  ศิษยาภิบาลไม่เกี่ยว  ไม่มีใครในโลกเกี่ยวกับเรื่องนี้  เป็นเรื่องชองเราเองล้วนๆ เพราะเราคือคนที่นอนกับเธอ อยู่กินกับเธอ

 

     พระเจ้าทรงช่วยคัดกรอง

            ตามคำสอนที่ว่า “อย่าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ” ด้วยเหตุนี้ผมจึงมองแต่สาวคริสเตียน  ครับ โลกของผมแคบลงเยอะ  โดยเฉพาะในเมืองไทย ยอ่มมีหญิงสาวคริสเตียนจำนวนน้อย  เป็นโลกแคบลงที่  ผมถือว่าพระเจ้าเลือกให้  จะเรียกว่าพระเจ้าช่วยกลั่นกรองให้ก็ได้นะครับ  คือพระองค์คัดผู้หญิงที่ไม่เชื่อทั้งหลายออกจาก  สาระบบการเลือกของผมทั้งหมด  แต่ผมก็ไม่เคยเสียใจ   เพราะผมเชื่อว่า  พระเจ้าฉลาดกว่าผมมาก ในปลายปีที่ผมเรียนจบคณะเภสัช  ผมจีบผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นคริสเตียน  เทียวไล้เทียวขื่อ  คือไปมาหาสู่ เพื่อเรียนรู้จักกัน นาน 4 ปีก่อนที่ ทั้งเธอและผมจะตัดสินใจว่า  มันไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า  จึงเลิกราจากกันไป   เมื่อตอนที่ผมอยู่นครฯ  คุณแม่สอนพวกเราว่า  “จะจีบใครรักใคร  อย่าได้ไปผิดเรื่องชู้สาวกับเขา  ท่านกำชับแข็งขันว่า  ถ้าไปผิดกับใคร  จะเป็นสาวใช้ หรือใครก็ตาม  จะต้องรับผิดชอบแต่งงานกับเขา  และอยู่กินกับเขาไปจนตาย”  เรื่องนี้ผมจำใส่ใจอีก  ผมก็ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ตลอดเวลา 4 ปีเหล่านั้น  ผมได้รักษากฏเกณฑ์อันนี้แข็งแรง

 

     คู่ครองของเราต้องบังเกิดใหม่

            ในการเลือกคู่ครอง  ผมพบว่าผมเริ่มมีเงื่อนไขมากกว่า  การเป็นคริสเตียน  หรือ  มีชื่อว่าเป็นคริสเตียน  รับศีลบัพติสมา  ให้ปรากฏในสายตาของใครต่อใคร  เพราะผมพบว่าท่ามกลางคริสเตียนจริง  มี “คริสเตียนเก๊” หรือ “คริสตาม” อยู่ด้วย   ผมหมายถึงคนที่ รับศีลบัพติสมาแต่ มิได้พบสัมผัสพระเจ้า  มิได้บังเกิดใหม่   ปกติ คริสเตียนคือคนที่รักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ  สิ้นสุดกำลังความคิด รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง  ส่วนคนที่ไม่เป็นคริสเตียน  คือ คนที่รักตนเองเป็นที่หนึ่ง  เขาอยู่เพื่อตนเอง  การเลือกแต่งงานกับ “คริสเตียนเก๊”  ในสายตาของผม  ก็เหมือนแต่งงานกับ “คนที่ไม่เชื่อ” ผมไม่ได้เลือกแต่งงานกับ คนที่มีชื่อว่าเป็นคริสเตียน  เพื่อจะได้โชว์สังคม ว่าผมแต่งกับคริสเตียน  ทั้งๆที่ความเป็นจริง  เขาคือคนที่ไม่พบพระเจ้า   ผมจะหลอกใคร  จะหลอกตัวเองทำไม   ด้วยเหตุนี้  เมื่อเทียมแอกกับคนที่เชื่อ แปลว่า  “คนที่จะร่วมหอลงโรงไปด้วยกันเข้าต้องบังเกิดใหม่” ธรรมดาคนเป็นคริสเตียนชอบการนมัสการ  ชอบเรียนพระคัมภีร์  ชอบสามัคคีธรรมกับพี่น้อง  การถวายสิบลดเป็นความสุขของเขา  ผมไม่ต้องแค่น หรือเขี้ยวเข็ญให้เธอไปโบสถ์  หรือรับใช้พระเจ้า  เธออยากทำจากใจของเธอเอง  

  

         คู่ครองที่พร้อมรับใช้

          เนื่องจากพระเจ้าเรียกผมให้เป็นศิษยาภิบาล  คนที่ผมแต่งงานด้วยย่อมต้องเห็นชอบด้วยกับงานรับใช้   คงไม่สนุกเท่าไร  ถ้าในงานเป็นศิษยาภิบาลของผม ที่ต้องใช้เวลา  อ่านพระคัมภีร์ประชุมอธิษฐานวันศุกร์  ไปประกาศต่างจังหวัดในบางครั้ง  เยี่ยมเยียนสมาชิกระหว่างสัปดาห์  และขลุกอยู่ที่โบสถ์ในวันอาทิตย์ เช้าสายบ่ายเย็น  ในขณะที่ภรรยาเร่งให้ผมกลับบ้าน ร่วมทั้งเธอต้องพร้อมอยู่กินด้วยเบี้ยน้อยหอยน้อย โดยไม่เอาเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง  ต้องนับว่าพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐาน  ที่ผมทูลขอพระองค์ทุกประการ  ผมรู้จักภรรยา  มาตั้งแต่ผมอยู่ที่คริสตจักรสยาม  ต่อมาภรรยาก็มาเป็นสมาชิกคริสตจักรสามัคคีธรรมกรุงเทพ  เราแต่งงานมาตั้งแต่ปี 1976  ถึงปีนี้ก็เป็นปีที่ 38  แล้วครับ 

 

            ที่เล่ามาทั้งหมดก็เพื่อเป็นอุทาหรณ์  สอนลูกหลานที่เป็นหนุ่มสาวในวันนี้  ในวาระวันแห่งความรักครับ





Visitor 411

 อ่านบทความย้อนหลัง