ทำ สิ่งที่พระเจ้าทรงให้เราทำ

โดย ศบ.

 

            “เราทุกคนมีของประทานที่ต่างกัน  ตามพระคุณที่ได้ประทานให้แก่เรา  คือถ้าเป็นการเผยพระวจนะ  ก็จงเผยตามกำลังความเชื่อ  ถ้าเป็นการปรนนิบัติ ก็จงปรนนิบัติ  ถ้าเป็นการสั่งสอนก็จงสั่งสอน  ถ้าเป็นการเตือนสติ ก็จงเตือนสติ” (โรม 12:6-7)

  1. ความสามารถของเรามาแต่พระเจ้า

            เปาโล  เปรียบเทียบคริสตจักรกับร่างกาย  มีพระเยซูเป็นศีรษะ  ส่วนเราแต่ละคนเปรียบได้กับอวัยวะต่างๆ บางคนเป็นมือ บางคนเป็นตา บางคนเป็นปาก ฯลฯ  เรามีความสามารถ ความถนัดไม่เหมือนกัน  นี่คือความจริงที่เราทุกคนรู้ดี ความสามารถที่เรามี  เปาโลชี้แจงให้ฟังชัดเจนว่า  มิได้เกิดมาแต่ตัวของเราเอง  แต่มาจากพระเจ้า  ดังนั้นคงไม่มีใครขี้ตู่กลางนา ขี้ตาตุ๊กแกว่า  เราเก่งด้วยตัวเราเอง  พระเจ้าต่างหากเป็นผู้ประทานให้แก่เราโดยวิธีลึกลับ  ที่ผมว่าลึกลับนี่  ก็เพราะเราอธิบายไม่ได้ว่า  มันอยู่ในตัวเราได้อย่างไร  แต่เราสังเกตได้ เราทำแล้วมันแสดงออกมาให้ปรากฏ

            เช่นเดียวกับ ความสามารถฝ่ายเนื้อหนัง  ที่พระองค์ทรงประทานมาให้แก่มนุษย์แต่ละคนมาตั้งแต่เกิด  ที่คนไทยเราเรียกว่า  “พรสวรรค์”  เราร้องเพลงไพเราะเพราะพริ้ง  ทั้งๆที่เพื่อนๆข้างเคียง ร้องผิดคีย์อยู่นั่นแหละ  เราวาดเขียนเก่ง  ทั้งๆที่คนทั้งสำนักงานเขียนรูปคนยังกะไก่เขี่ย  เราทำอาหารอร่อย น่ากิน จนคนติดใจรสชาติปลายจวัก  ลางคนเปิดกระโปรงรถ หรือแผงวงจรวิทยุ แล้วรู้สึกว่าเป็นของหมูๆ หวานๆ ในการซ่อม ในขณะที่อีกคน เช่นผม งงยังกะไก่ตาแตก 

สมัยผมเรียนเตรียมเภสัช  ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อ  พรเทพ  มาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา  เจ้า พรเทพเพื่อนผมคนนี้ แกอ่านนิยายภาษาอังกฤษ (Novel Pocket book) คืนละเล่ม อ่านอย่างสนุกสนานราวกับอ่านนิยายจีน ในขณะที่ในชั้นเรียน เราเรียนนิยายภาษาอังกฤษเทอมหนึ่ง 1 เล่ม  ครับ  เล่มเดียวเท่านั้น เรียนสัปดาห์ละบท ครูสอนเป็นชาวออสเตรเลีย ชื่ออาจารย์วิคเตอร์  ผมจำได้ว่าในหนังสือเรียน พอกเก็ตบุ๊คของผม  ผมขีดเส้นใต้ และแปลความหมายศัพท์ที่ไม่รู้ไว้ทุกคำ จนหนังสือเรียนเลอะ เปรอะไปทั้งเล่ม ตามสไตล์ของผม  ผมไม่เคยขาดเรียนแต่ละชั่วโมง ในขณะที่ทั้งเทอม  พรเทพ เพื่อนผมคนนี้ไม่เคยเข้าชั้นเรียนเลยสักชั่วโมง   ถึงวันสอบ ถ้าเป็นผมก็ไข้ขึ้นแน่ๆ เพราะไม่รู้จะเอาอะไรไปสอบ  แต่เจ้าพรเทพไม่ทุกข์ร้อนอะไร แกเพิ่งไปซื้อหนังสือเรียนมาอ่านก่อนสอบ 1 วัน  อ่านคืนนี้สอบพรุ่งนี้  แกอ่าน คืนเดียวเท่านั้น รุ่งเช้ามาสอบ  ปรากฏว่า พรเทพสอบได้ที่หนึ่ง  คะแนนสูงกว่านักเรียนทั้งชั้น  ยังจำได้ว่าอาจารย์วิคเตอร์ งงเต็ก เพราะไม่เคยเห็นหน้าค่าตาพรเทพ  ท่านถามในชั้นว่า “What does  Pornthep look like?”  นักเรียนฮากันทั้งห้อง  ที่ผมยกตัวอย่างมานี้  ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า  คนเก่งในเรื่องใด เขาทำเรื่องที่เขาถนัดง่ายนิดเดียว  ในขณะที่เราทำสิ่งที่เราไม่ถนัดได้ยากแสนเข็ญ 

 

2. ใช้ความสามารถ  ตามกำลังความเชื่อ

             ไม่ใช่เฉพาะ  ของประทานในการเผยพระวจนะ  แต่  ความสามารถใดก็ตามที่พระเจ้าประทานให้  ให้เรารับใช้ตามที่พระเจ้าสำแดงแก่เรา  “ความเชื่อ” ที่เราจะใช้  เกิดมาจาก “การทรงสำแดง” ที่พระองค์ทรงให้เราแลเห็น  และคนเราแลเห็นการสำแดงนี้ไม่เหมือนกัน  พี่น้องบางคนชวนคนบาโบสถ์เก๋ง เก่ง  ชวนคนใหม่มาโบสถ์ได้แทบทุกอาทิตย์  อาทิตย์ละหลายๆคนเสียด้วย  ผมไปซื้ออาหารเช้าใกล้บ้าน  ผูกมิตรกับแม่ค้า รู้จักชื่อแม่ค้าแทบทุกคน เคยนัดแนะให้มาวันคริสตมาส เอาการ์ดไปแจก  ถึงวันงานไม่มีใครมาสักคน กลับไปเจอก็แก้ตัวกันเป็นพลันละวัน ที่พูดนี้ไม่ได้คิดจะเลิกรานะครับ  แต่ก็ยอมรับว่า”เรานี่ ชักชวนคนไม่เก่งเอาเสียเลย”  พี่น้องบางคนมีของประทานในการวางมือรักษาโรค  เวลาประจันหน้าคนป่วย  พระเจ้าก็สำแดงให้เขาเห็นอย่างเป็นธรรมชาติว่า  “คนนี้หายโรคได้ไม่ยาก”  “เดี๋ยว พระเจ้าก็จะรักษาให้หายเป็นปกติ”  ในขณะที่คนไม่มีของประทาน  เห็นแล้วก็คิดในใจทันทีว่า “โอ้ โฮ  ป่วยขนาดนี้ จะหายได้อย่างไร” พระเจ้าให้ผมเป็นครู  การอธิบายเรื่องที่ผมเข้าใจให้ คนอื่นเข้าใจจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับผม  “ การสำแดงให้เห็น  ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้  มาแต่พระเจ้า  เป็น “ความเชื่อ” ที่พระเจ้าทรงโปรดให้เราแลเห็น  เปาโลบอกว่าให้เราทำตามกำลังความเชื่อ   คือตอบสนอง  การสำแดงนั้นๆ

 

3. รับผิดชอบ ความสามารถ  ที่พระเจ้าประทานให้

            “ ถ้าเป็นการปรนนิบัติ ก็จงปรนนิบัติ  ถ้าเป็นการสั่งสอนก็จงสั่งสอน  ถ้าเป็นการเตือนสติ ก็จงเตือนสติ”  แปลว่าอะไร  ก็แปลว่า  พระเจ้าให้เราถนัดเรื่องอะไรก็ทำที่เราถนัด  ในร่างกายนี่  เกิดผลดีเมื่อเราทำสิ่งที่เราถนัดถนี่  มือพยายามพูดภาษาใบ้  ให้คนหูหนวกฟังนี่เป็นเรื่องจำเป็นสุดวิสัย  เพราะหูเขาไม่ได้ยิน จึงต้องอ่านภาษามือ  แต่ถ้าจะใช้ภาษามือให้คนหูปกติฟัง  ใช้ปากง่ายกว่าเยอะ  คนมือด้วนพยายามวาดรูปโดยเอาพู่กันคาบที่ปาก คงต้องทำเพราะจำเป็น  แต่สำหรับคนมือดี  ใช้มือเขียนรูป ละเลงพู่กันง่ายกว่าเยอะ แต่บางที  ในโบสถ์  มือมาทำงานแทนปาก  และปากไปทำงานแทนมือ อยู่เสมอ  เราอาจเอาคนที่ไม่ถนัดมานำประชุม  มานำอธิษฐาน  เราเอาคนที่ไม่ถนัดงานทะเบียน  มานั่งหน้าคอมพิวเตอร์ ผลคือแกจะนั่งไม่ติด  แล้วงานก็เสีย 

            ซี ปีเตอร์ แวคเนอร์  เล่าให้ฟังว่า  ครั้งหนึ่ง  มีสัตว์  4  ตัว  จะไปแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก  คือ (1) กระรอก (2) เป็ด (3) กระต่าย  และ (4) นกอินทรีย์  กระรอก มีความสามารถในการปีต้นไม้  เป็ดเก่งเรื่องการว่ายน้ำ  กระต่ายเป็นนักวิ่งลมกรด  ส่วนนกอินทรีย์ เป็นนักบิน  สัตว์ทั้ง 4 ตัวมีเวลาฝึกซ้อม  เพื่อเตรียมตัวไปแข่งขัน  ปรากฏว่า  สัตว์ทั้งสี่มีความคิดประหลาด  คือต่างก็คิดว่า  ตนเก่งเรื่องหนึ่งอยู่แล้ว  ตนน่าจะได้ไปฝึกซ้อมสิ่งอื่นที่ตนไม่เป็น  ตนจะได้เก่งหลายอย่าง  ฉลาดแท้!  จากนั้น  สัตว์แต่ละตัวก็เริ่มไปฝึกฝนเรื่องอื่นที่ตนไม่ถนัด  เป็ดฝึกหัดบินแบบนกอินทรีย์  ส่วนนกอินทรีย์หันมาฝึกว่ายน้ำอย่างเป็ด  ดำผุดดำโผล่  กระต่ายซึ่งเป็นนักวิ่งกลับไปฝึกปีนต้นไม้อย่างกระรอก  ส่วนกระรอกหันมาฝึกวิ่งอย่างกระต่าย  เวลาหมดสิ้นไปกับการฝึกฝนในสิ่งที่ตนไม่ถนัด  แน่ละ ไม่มีสัตว์ตัวไหนเก่งสิ่งที่ตนไม่ถนัดขึ้นมาสักอย่าง  ตรงกันข้าม สิ่งที่ตนถนัดกลับไม่ได้ฝึกฝนให้เก่ง  หรือพัฒนาขึ้นมาเลย  พอไปแข่งขัน   ผลคือ  แพ้รวด หมดทุกตัว

     ฟังอาจารย์เล่านิทานเปรียบเทียบแล้ว  เราอาจนึกขำ  แต่ในคริสตจักร  เราอาจประพฤติ เหมือนนิทานเรื่องนี้จริงๆ  คือ เราพยายามทำสิ่งที่เราไม่ถนัด  เพราะแรงจูงใจด้านอื่น  เช่น  ถ้าเรามีของประทานเป็น “ผู้สำแดงเมตตา” เราทิ้งของประทานนี้ของเรา  และพยายาม ทำงานเป็น “นักเทศน์” ที่เราอาจไม่ถนัด  หรือเรามีของประทานเป็น “ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ”  แต่เรานั่งรับใช้อยู่ใน Office ไม่ไปไหน ไม่ประกาศกับใคร ความสามารถของเรา ก็จะถูกฝังไว้ในดิน อย่างนี้ พระเจ้าก็จะเอาเรื่องเรา เพราะเราเป็นคนต้นเรือนที่ไม่สัตย์ซื่อ ชีวิตเราก็ไม่เกิดผล คริสตจักรก็ต้องทุกข์ยาก เปาโลถึงบอกเราว่าให้เรา ทำสิ่งที่เราถนัด   ที่ผมพูดอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราจะละทิ้งบทบาทของเรา  “บทบาท” คือสิ่งที่เราต้องทำแม้ไม่ถนัด  เช่น  เรามีของประทานเป็น “ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ” เรายังต้องรับ “บทบาท” เป็นครูสอนลูก  หรือเราที่มีของประทานเป็น ”ผู้ปรนนิบัติ” เรายังต้องรับบทบาทในการเผยแพร่ข่าวประเสริฐ  เวลาเรานั่งรถทัวร์  และมีคนนั่งข้างๆ สนใจอยากรู้จักพระเยซูคริสต์  และคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเซลล์  รับบทบาท “ผู้อภิบาลศิษย์” คือเป็นผู้เลี้ยงลูกแกะโดยปริยาย  เป็นต้น

 

4. ยืนหยัดรับผิดชอบ

            “ถ้าเป็นการปรนนิบัติ ก็จงปรนนิบัติ ถ้าเป็นการสั่งสอนก็จงสั่งสอน  ถ้าเป็นการเตือนสติ  ก็จงเตือนสติ”  ยังมีความหมายว่า  เราควรยืนหยัด รับผิดชอบภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้  พูดง่ายๆ  คือ มือยังคงต้องทำหน้าที่มืออยู่วันยังค่ำ   ผมเคยสงสัยว่า  พระเจ้าจะเปลี่ยนของประทานเราไปมาหรือไม่  เช่น  วันหนึ่งเป็น “ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ”  ต่อมา กลับมาเป็น “ผู้เลี้ยง”   หรือคนหนึ่งแรกเริ่ม มีของประทานเป็น “ผู้ปรนนิบัติ” 

ต่อมากลับมามีของประทานเป็น “ครู” ซี ปีเตอร์ แวคเนอร์ ท่านตอบว่า  พระเจ้าไม่ทรงกระทำอย่างนั้นแน่นอน  ซึ่งผมเห็นด้วย  เหมือน พระองค์มิทรงเปลี่ยนมือเป็นเท้า เท้าเป็นปาก ปากเป็นหู ซึ่งจะทำให้เราสับสนอย่างยิ่ง ตรงกันข้ามพระเจ้าให้เราที่ “เป็นหู พึ่งตา”หรือเราที่ “เป็นตาต้องพึ่งพาอาศัยมือ” (1 โครินธ์ 12:14-23)  เมื่อเรามีของประทานอย่างที่เรามี  เราสมควรพึงพอใจในของประทานที่พระเจ้าทรงประทานให้  เช่น   ผู้ปรนนิบัติ  ก็ควรชื่นชอบ  และภาคภูมิใจ    มีความสุข  ความยินดีกับการปรนนิบัติพี่น้อง ทั้งพยายามพัฒนาให้ดีขึ้นด้วย   ก็เหมือนการเกิดมาเป็นชาย  หรือหญิง  เราควรชื่นชอบกับเพศของเราเอง  เป็นชายให้เต็มตัว  และเป็นหญิงให้สมกับการเป็นหญิง  เกิดเป็นหญิงแต่ ไม่พอใจ ความเป็นหญิง  อยากเป็นชาย ก็ก่อให้เกิดปัญหาวุ่นวายกับชีวิต และหาความจุใจในชีวิตไม่ได้อย่างแน่นอน  การมีของประทานอย่างหนึ่ง  ไม่พึงพอใจ  กลับพยายามเป็นสิ่งที่พระเจ้ามิให้เป็น  ย่อมไม่ทำให้เราไม่พบความจุใจ อิ่มใจเช่นเดียวกัน

 

5. พัฒนาความถนัด

             มากยิ่งกว่า การยืนหยัดรับผิดชอบสิ่งที่พระเจ้ามอบหมายให้  เมื่อเราทุ่มเท  ทำตามพระประสงค์  พระเจ้าจะทรงประทานสติปัญญา  โอกาส ในการพัฒนาความสามารถของเราให้เก่งกาจ  มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  คนเราได้ฝึกฝนสิ่งใด  ไม่ช้าเราจะทำสิ่งนั้นๆได้คล่องแคล่ว  ปีที่ผ่านมา  ผมได้ไปเห็น  รู้จักหมอผ่าตัดใส่หัวเขาเทียมที่โรงพยาบาลศิริราช  ท่านชำนาญมาก วันหนึ่งๆ ท่านผ่าตัดใส่หัวเข่าเทียมให้คนไข้ วันละประมาณ 4-5 ราย  ท่านทำมาอย่างนี้นับเป็นร้อย เป็นพันราย  ท่านวินิจฉัย ลักษณะเข่าของคนไข้แม่นยำ  และผ่าตัดหัวเข่าราวกับ ช่างตัดเสื้อเปลี่ยนซิบ  หรือกระดุมให้กางเกง  ของประทานที่พระเจ้าประทานให้เราก็เช่นเดียวกัน  ยิ่งเรารับใช้  ความชำนิชำนาญก็ยิ่งทวีครับ

              สุดท้าย  ผมเชื่อว่า  หากเราได้ใฝ่ฝัน ใส่ใจใช้ความสามารถที่พระเจ้าประทานให้  พระองค์จะอวยพรให้เราพัฒนาขึ้น  มีความสุข อิ่มใจ  และทำให้คริสตจักรเพิ่มพูนด้วย   ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ           





Visitor 181

 อ่านบทความย้อนหลัง