ทรงดึงดูดใจสาวกอย่างไร?

 

ศ บ.

ยอห์น  1: 35-40

          เมื่อผมอ่านพระคัมภีร์ครั้งแรก ๆ ผมแปลกใจ  ว่าพระเยซูเรียกสาวกที่ชายหาดให้ตามพระองค์ได้อย่างไร   พอเรียกปุ๊บ  ชาวประมงก็ละแห ละอวนตามพระองค์ไปปั๊บ    เหมือนมีมนต์ขลังอะไรสักอย่างมาสะกดจิต    ครั้นผมอ่านยอห์นบทที่ 1:35-40  บรรยายรายละเอียดการเรียกสาวก  5 คนแรกของพระองค์  ซึ่งมีชาวประมงรวมอยู่ด้วย  ผมเริ่มตาสว่าง ว่าพระองค์มีวิธีดึงดูดจิตใจของคนเหล่านั้นอย่างไร  พระเยซูมีเสน่ห์ครับ  ใครอยู่ใล้พระองค์ก็ชวนติดตาม พระองค์ถึงดึงดูดใจคนเหล่านี้ได้   

         ผมขอสรุปเป็นบทกลอนดังนี้

    เด่นสง่า สบตาตาม  ถามให้คิด เผยชีวิต 

    เป็นมิตรรัก ทักชื่อเขา   สร้างความหวัง ทั้งกล้าพูด 

     “เชิญตามเรา” ชมเชยเขา   เร้าความเชื่อ เมื่อนำคน

(1) เด่นสง่า  

        เพราะไม่มีใครมีรูปถ่ายของพระเยซู  คนจึงเดาภาพลักษณ์พระเยซูไปต่างๆ นาๆ  ภาพยนต์พยายามหาบุคคล  มาแสดงให้ใกล้เคียงภาพพระเยซูมากที่สุด  ที่ทำได้ก็คือ ชายหนุ่มชาวยิว ยุคนั้น น่าจะมีรูปลักษณ์อย่างไร  แต่สิ่งที่ผมคิดว่า ไม่น่าผิดก็คือ  พระองค์ชายหนุ่มสามัญที่สมาร์ท  ดูดี   ทำไมผมรู้ ก็เพราะยอห์นผู้ให้บัพติสมา เห็นพระวิญญาณเสด็จมาเหนือพระองค์ ( 1:32-34)  ผมไม่คิดว่ามีแสงสว่างอะไรฉายออกมาจากพระเศียร  เหมือนภาพวาด  แต่ผมเชื่อว่า พระองค์ตื่นตัว  มั่นพระทัย ร่าเริง  กระตือรือร้น กระฉับกระเฉง  สงบ สง่างาม  ดึงดูดคนที่พบเห็น มีเมตตา  แม้เด็กๆ  และพ่อแม่ก็อยากเข้ามาหาพระองค์ (มาระโก 10:13)  ไม่ใช่อยู่ในภาพลักษณ์มอซอ  อมทุกข์  เศร้าหมอง  เหยาะแหยะ  อันเป็นภาพที่ไม่มีใครอยากติดตาม  ถ้าเราปรารถนาให้ชีวิตเราดึงดูดใจคนอื่น  เราควรสง่างามอย่างพระเยซู

(2) สบตาตาม 

         เมื่อสาวก  2 คนของยอห์น ผู้ให้บัพติสมา  เดินตามพระองค์มา  “พระองค์ทรงเหลียวกลับมามอง” (38)   หากเราเป็นคนมั่นใจอย่างพระเยซู  เวลาคุยกับคน  เราไม่ควรหลบหน้าหลบตา   การสบสายตาคน  แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ  เอาใจใส่คนที่เราพูดคุยด้วย  สตีเฟน ไอชิสัน กล่าวว่า  “การสบตาเมื่อฟังหรือพูดกับใคร  ถ้าเราเขม็งตาจ้องมองเขา  เขาอาจเข้าใจว่าเราหาเรื่องเขา   ตรงกันข้าม ถ้าเราไม่มองเขา  เขาก็จะลงความเห็นว่าท่านไม่สนใจ  พ่อค้า นักการเมือง  และครู รู้ดีว่าการสบตาอย่างพอเหมาะ เร้าความสนใจของผู้ฟัง ”  “พระเยซูเหลียวกลับมามองสาวกสองคนนั้นที่ตามพระองค์มา” ทั้งสองคนนี้  คือ อันดรูว์ และยอห์น แน่นอน เขา รู้ว่าพระองค์ทรงสนพระทัยเขาเป็นพิเศษ  

 

(3) ถามให้คิด

        จึงตรัสถามเขาว่า “ท่านหาอะไร”  และเขาทั้งสองทูลพระองค์ว่า “รับบี (ซึ่งแปลว่าอาจารย์) ท่านอยู่ที่ไหน?” พระเยซูใช้วิธีนี้เพื่อช่วยให้คนที่มาหาพระองค์  ให้เกิดความมั่นใจเสมอ   เช่น พระองค์ทรงถามคนง่อยที่สระน้ำเบ็ธไซดาว่า “เจ้าปรารถนาจะหายโรคหรือ?” (ยอห์น 5:6)  ตรัสถามบารทิเมอัส ขอทานตาบอด ว่า “เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า” (มาระโก 10:51) เมื่อคนตาบอดสองคนเข้ามาหา  พระองค์ตรัสถามเขาว่า “เจ้าเชื่อหรือว่า  เรามีอิทธิฤทธิ์จะกระทำการนี้ได้” (มัทธิว 9:28)  น่าสังเกตว่า  พระเยซูช่วยให้คนที่จะติดตามพระองค์ได้ครุ่นคิด  ให้เขามั่นใจ  ไม่ใช่เกมส์พาไป 

(4) เผยชีวิต

        พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “มาดูเถิด”  เขาก็ไป และเห็นที่พำนัก  และวันนั้นเขาก็ได้พักอยู่กับพระองค์ เพราะขณะนั้นประมาณบ่ายสี่โมงเย็นแล้ว (ยอห์น 1:39)  พระเยซูทรงชักชวนสองคนนั้นไปพักอยู่กับพระองค์  ผมไม่ทราบว่า เป็นเพิง หรืออยู่ใต้สะพาน เพราะพระองค์ตรัสว่า  สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง  แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่วางศีรษะ   ที่น่าสนใจ คือ พระเยซูเปิดเผย ความเป็นอยู่ของพระองค์เอง  ไม่ปิดบังซ่อนเร้น  เมื่อเปาโลปั้นทิโมธี  ท่านเปิดเผยชีวิตทั้งสิ้นของท่าน “บัดนี้  ท่านก็ประจักษ์ชัดแล้ว ซึ่งคำสอน พฤติการ ความมุ่งหมายในชีวิต ความเชื่อความอดทน ความรัก และความหนักแน่นมั่นคง การถูกข่มเหง … ที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า” ( 2 ทธ 3:10-11)   ตะเกียงที่จุดสว่าง ย่อมตั้งบนเชิงตะเกียง ไม่ใช่เอาถังมาครอบ  ไม่มีใครอยากติดตามบุคคลที่เป็นบุรุษลึกลับ  หน้าอย่างหลังอย่าง  ชีวิตโปร่งใสต่างหาก กินใจคน  พระองค์ทรงเป็นความสว่างครับ

(5) เป็นมิตรรัก

     เมื่อตอนพระเยซูทรงเรียกมัทธิว คนเก็บภาษีก็เช่นเดียวกัน  เขาลุกขึ้นติดตามพระองค์ ไปทันที (มาระโก 2:14)  ทำไมล่ะ  ก็เพราะพระองค์ไม่ทรงถือพระองค์ พระองค์กินดื่มอยู่กับพวกเขา ฟาริสี และพวกปุโรหิต ดูถูกคนเก็บภาษี ถือว่า พวกเขาเป็นคนบาป น่ารังเกียจ ไม่น่าคบค้าสมาคมด้วย  แต่พระเยซูไม่ถือพระองค์เอง ทรงรักพวกเขา  ทรงเป็นเพื่อนกับเขา เพื่อนำเขาออกมาจากความผิดบาป (มาระโก 2:15-17)  คนไทยเราว่า “เพื่อนกินหาง่าย  เพื่อนตายหายาก”  ส่วนมากคน  คบเพื่อนที่ตนได้ประโยชน์  แต่เพื่อนอย่างพระเยซู รักเขาแม้เขาไม่น่ารัก เอดก้า ดีวิทท์ โจนส์ กล่าวว่า “เพื่อนคือคนที่เข้ามา ในเวลาที่ทั้งโลกออกไป    เหมือนดาวิด ขอบพระคุณที่มีโยนาธัน” นี่เป็นเหตุผลที่ ทำไมชาวประมง  และคนเก็บภาษี รู้ว่าพระองค์ทรงรักเขา

 

(6) ทักชื่อเขา

      “ท่านคือซีโมน บุตรของยอห์นซีน่ะ” ....พระเยซูทรงรู้จักชื่อ นาธานาเอล  ตั้งแต่ยังไม่พบเขา   ทรงเรียกชื่อ “ศักเคียส  คนเก็บภาษี ตัวเตี้ยที่ปีนต้นไม้เพื่อมองดูพระองค์  “ศักเคียสเอ๋ย  จงรีบลงมา  เพราะว่าเราจะต้องพักอยู่ในตึกของท่านวันนี้”  (ลูกา 19:5)    คนเหล่านี้  เขาจะรู้สึกว่า  พระเยซูให้ความสำคัญ ให้เกียรติเขา  ความรู้สึกเป็นกันเองเกิดขึ้น  นาธานาเอล  หลุดปากออกมาว่า “พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ได้อย่างไร” ( ยอห์น 1:48)  ผมเคยเรียนโรงเรียนสอนการประกาศของวายแวมที่โลซาน   เป็นช่วยที่ อจ. ลอเรน คันนิงแฮม มาพักที่โรงเรียนเป็นเดือน  อาจารย์มีความสามารถอันหนึ่งที่ผมอดชมไม่ได้   ท่านจำชื่อคนที่ท่านเคยรู้จักได้เก่งมาก  และผมเชื่อว่านี่คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของท่าน ที่ประทับใจคนหนุ่มคนสาว

(7) สร้างความหวัง 

        “ท่านคือซีโมน บุตรยอห์นซีน่ะ  เขาจะเรียกท่านว่าเคฟาส ( ซึ่งแปลว่าศิลา)  (ยอห์น 1:42) ซีโมน  แปลว่า ต้นอ้อ  โอนอ่อนไปตามลม  ลมพัดไปทางซ้าย  ใบก็ถูกพัดไปทางซ้าย  ลมพัดไปทางขวา ก็ไปขวา หาความมั่นคงอะไรไม่ได้  ซีโมน ชาวประมง ผู้ทำอะไรตามอารมณ์ ก่อนคิด สมชื่อ  วันนั้น  พระเยซูให้สมญานามใหม่แก่เขาว่า “เกฟา”  แปลว่า ศิลา  ตั้งแต่บัดนี้  เจ้าจะไม่หวั่นไหว แต่จะข็งแกร่ง  ยืนเป็นหลัก มั่นคง เหมือนแผ่นผา  พระเยซูทรงทอดพระเนตรเห็นอนาคตของเขาอีกภาพหนึ่ง  แตกต่างจากอดีต  ขณะที่คนในสังคมทำนายอนาคตเราว่าจะเลวลง  พระองค์ทรงทำนายว่า เราจะขึ้น  แล้วพระองค์ก็ปั้นเขาได้ดั่งฝันเสมอ

(8) ทั้งกล้าพูด “เชิญตามเรา”

        หลายครั้งเรา  เราไม่กล้าบอกให้คนอื่นเดินตามเรา  หรือเอาตัวเราเป็นแบบ  เพราะเราประพฤติไม่ได้  เปาโลเชื้อเชิญคนให้เดินตามท่าน “ท่านทั้งหลาย ก็จงปฏิบัติตามอย่างข้าพเจ้า  เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าปฏิบัติตามอย่างพระคริสต์” ( 1 คร 11:1) ผมเคยได้ยินคริสเตียนไม่น้อย  พูดว่า  “อย่าทำตามผม  ผมไม่ดี   ให้ทำตามพระเยซู”  ฟังดูก็ไพเราะดี  แต่มันแตกต่าง จากพระเยซูและเปาโล  ฟลอยด์ แมคคลัง  กล่าวว่า “ถ้าเราบอกว่า เราทำดีไม่ได้  แล้วไฉนจึงได้เชิญชวนให้คนอื่นทำ”  หากวันนี้  เราทำอะไรไม่ถูก   โดยพึ่งพระเจ้า เราจะต้องเปลี่ยนชีวิตของเราเองก่อน  แล้วเราจึงจะนำคนอื่น

 

(9) ชมเชยเขา

        “ดูเถิด ชนอิสราเอลแท้  ในตัวเขาไม่มีอุบาย”  (ยอห์น 1:47)

        นี่คือการตอบสนองของพระเยซู  เมื่อ นาธานาเอล  กล่าวถึงพระเยซูว่า “สิ่งดีอันใด จะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ” ฟังดูก็เหมือนคำดูถูกดูแคลน  เมื่อทราบว่า พระเยซูเป็นชาวนาซาเร็ธ  แต่แทนที่พระเยซูจะมองนาธานาเอลในภาพลบ หรือมีพระพิโรธ  พระองค์กลับแลเห็นการเป็นคนตรงไปตรงมาของเขา  จึงชมเชยเขาว่า   เขาเป็นอิสราเอลแท้  ไม่มีอุบาย  ไม่ใช่คนที่มือถือสาก แต่ปากถือศีล  เสน่ห์อย่างหนึ่งของพระเยซู  คือพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นสิ่งดีในคน และชมเชยเขา  เรามักเห็นข้อเสียของคน และตำหนิติเตียน   หากเราคิดอย่างพระเยซู  เราจะแลเห็นส่วนดีของทุกคนได้เสมอ ไม่ว่าเขาเป็นใคร

(10) เร้าความเชื่อ  เมื่อนำคน

       พระเยซูตรัสตอบเขาว่า  “เพราะเราบอกท่านว่า  เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ  ท่านจึงเชื่อหรือ  ท่านจะได้เห็นเหตุการณ์ใหญ่กว่านั้นอีก”  และพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า  ท่านจะได้เห็นท้องฟ้าเบิกออก  และบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้า  ขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์” ( ยอห์น 1:50-51)  สิ่งที่นาธานาเอล สัมผัสวันนี้  คือพระองค์ เป็นดั่งผู้เผยพรวจนะ  รู้จักตัวเขา รู้จักใจเขา แต่ทั้งหมดนี้เป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น  สิ่งใหญ่กำลังจะตามมา  อิทธิฤทธิ์กำลังจะตามมา

       นี่คือเสน่ห์ และวิธีดึงดูดใจคนของพระเยซู  โดยเฉพาะเมื่อพระองค์ทรงเลือกสรรสาวก

        ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ





Visitor 121

 อ่านบทความย้อนหลัง