แม่นยำ เหนือคำทำนายใด

 

 ศ.บ

          เมื่อพระเยซูเสด็จออกจากบริเวณพระวิหาร  มีสาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลว่า  “พระอาจารย์เจ้าข้า  ศิลาและตึกเหล่านี้ใหญ่จริง”  พระเยซูจึงตรัสแก่สาวกนั้นว่า “ท่านเห็นตึกใหญ่เหล่านี้หรือ  ศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่  จะไม่ถูกทำลายลงก็ไม่มี” (มาระโก 13:1-2)

           ตอนผมไปประเทศอิสราเอล  ผมนอนพักอยู่ในโบสถ์ในกรุงเยรูซาเล็ม 3 คืน  เยรูซาเล็ม เหมือนเมืองเชียงใหม่ มีเมืองเก่า เมืองใหม่  เมืองเก่ามีกำแพงล้อมรอบ  ส่วนเมืองใหม่ เป็นตึกรามบ้านช่องทันสมัย ผมพักในกรุงเก่าครับ  ในวันสะบาโต ร้านค้าปิดหมด  พวกเราพากันไปยังกำแพงร้องไห้ (Wailing Wall)  หรือ กำแพงด้านเหนือ( Northern Wall ) ก็เรียก  ด้านหน้ากำแพง  มีคนยิวจำนวนมากไปอธิษฐานที่นั่น  นักท่องเที่ยวต่างแดน  อย่างผมก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้  เจ้าหน้าที่ให้เราสวมหมวกกลมๆ เล็ก ๆ ทำด้วยกระดาษ  เราก็ปฏิบัติตาม  เพื่อนคนหนึ่งของผมแขวนสร้อยคอ มีจี้ไม้กางเขน  คนยิวเห็นเข้า  ก็ขอให้ถอดออก  ผมไม่ทราบเหตุผล  แต่เดาว่า ยิวที่นั่นคงไม่ชอบพระเยซู 

 

         กำแพงร้องไห้  เป็นกำแพงสูงใหญ่  ด้านทิศตะวันตกของเนินพระวิหาร  หรือภูเขาโมรียาห์  ที่อับราฮามเคยพาอิสอัค  มาถวายเป็นเครื่องบูชา   ตำแหน่งที่เคยเป็นพระวิหารสมัยพระเยซูนั้น  วันนี้ไม่มีแล้ว  แต่มีโดมครอบหิน (Dome of the Rock) ที่เป็นสุเหร่ามุสลิมมาอยู่ตั้งแทน  ไปเยรูซาเล็ม  ถ้าอยากเห็นพระวิหารในสมัยพระเยซู  ก็ต้องไปดู วิหารจำลอง  ซึ่งเขามีให้ชม  เหมือนเมืองตุ๊กตา  ถูกสร้างไว้น่าดูเชียว  สักแต่ว่ามันมิได้เป็นวิหารจริง  เพราะวิหารจริงถูกทำลายไปสิ้นแล้ว   กำแพงร้องไห้ที่คนยิวพากันไปยืนอธิษฐาน ภาวนา และนมัสการ  ถือว่าเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ที่สุด  เป็นเพียงส่วนเดียวของพระวิหารที่เหลือมาถึงปัจจุบัน  ถูกสร้างขึ้นด้วยหินก้อนโตมากด้านล่าง  ซ้อนกันขึ้นไปด้วยหินขนาดเล็กลง

         ผมจะเล่าความเรื่องพระวิหาร  ย้อนหลังให้ฟังสักหน่อย

         พระวิหารหลังแรก 

         ความจริงกษัตริย์ผู้มีพระดำริ จะสร้างพระวิหาร  คือ กษัตริย์ดาวิด  แต่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาต  ด้วยทรงเห็นว่าดาวิด มีพระหัตถ์เปื้อนเลือด( 1 พศด. 28:3 ) ดาวิดน้อมรับการตัดสินพระทัยนี้  พระเจ้าทรงกำหนดให้โอรส  คือ กษัตริย์ซาโลมอน เป็นผู้สร้างพระวิหาร (1พศด. 28:5)   พระวิหารหลังแรกนี้ จึงถูกสร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์ซาโลมอน  ตามพระบัญชาของพระเจ้า  การสร้างใช้เวลานาน 7 ปี  สำเร็จในปี กคศ. 964 (1 พกษ. 6:1-37)  พระวิหารหลังแรกนี้  เป็นพระวิหารที่สวยงามตระการตา  กษัตริย์ซาโลมอนจัดพิธีมอบถวายพระวิหารยิ่งใหญ่ สมกับความมั่งคั่งของพระองค์ มีประชาชนมาชุมนุม มากมายมโหฬาร  ปรากฏใน  1 พกษ. บทที่่ 7 และ 8 ผมเคยเทศนาเรื่องการถวายพระวิหารของซาโลมอน  ตอนหนึ่งในพิธีนั้น  พระองค์ทูลพระเจ้าว่า  “ถ้าคนยิวทำบาป   และพระองค์ทรงกริ้วต่อเขา  และพระองค์ทรงมอบเขาไว้กับศัตรู  เขาจึงถูกจับไปเป็นเชลยยังแผ่นดินหนึ่ง ไม่ว่าไกลหรือใกล้  ..ถ้าเขาสำนึกผิดในใจในแผ่นดินซึ่งเขาถูกจับไปเป็นเชลย และได้กลับใจ  และได้วิงวอนต่อพระองค์ในแผ่นดินที่เขาเป็นเชลย  ..ขอทรงสดับฟังคำอธิษฐาน และคำวิงวอนของเขาในฟ้าสวรรค์ ..”(2 พศด 6:36-40)

 

        คำทูลของซาโลมอนนี้  ราวกับการทำนายอนาคตตนเอง    ยิวดื้อพระเจ้า  ครั้งแล้วครั้งเล่า  เอาพระเทียมเท็จมานมัสการ ทั้งในยุคของพระองค์เอง  และกษัตริย์ยุคต่อๆ มา  ครับ  ยั่วยุให้พระเจ้าทรงพระพิโรธแท้ๆ   ทั้งๆ มีผู้เผยพระวจนะใหญ่น้อย มาตักเตือน  แต่พวกเขาไม่ฟัง  396  ปี ต่อมา ในปี กคศ 586  กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์  ของบาบิโลน  ยกทัพมาตีกรุงเยรูซาเล็มแตก  พระวิหารหลายส่วนถูกทำลาย  คนยิวถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน  เหมือนคำทูลของซาโลมอนไม่มีผิด   ไม่ต้องถามนะว่ายิวสำนึกผิดหรือไม่  อยากรู้ใจคนยิวตอนเป็นเชลย ต้องไปอ่านบทเพลงคร่ำครวญ “เยรูซาเล็ม เมื่อตกอยู่ในความทุกข์ใจ  และยามลำเค็ญ  ก็ได้หวนระลึกถึงสิ่งประเสริฐ ที่ตนเคยมีในครั้งกระโน้น” (พคค 1:7)  เจ็บแล้วต้องหลาบจำ 

         พระวิหารหลังที่สอง

         พระเจ้าทรงคุมเกม  ให้เป็นไปตามคำทำนาย  ต่อมา ในปีกคศ. 539  สถานการณ์พลิกผัน  บาบิโลนพ่ายแพ้เปอร์เซีย  เชลยยิวในบาบิโลน ถูกพาไปเป็นเชลยที่เปอร์เซีย    แล้วในปี กคศ. 538   ปีถัดมานั่นเอง  พระเจ้าทรงโปรดเร้าพระทัยกษัตริย์ไซรัส  กษัตริย์เปอร์เซีย  ให้มีพระราชานุญาต ทั้งทรงสนับสนุนให้ยิว กลับบ้านไปสร้างพระวิหารของตนขึ้นมาใหม่  (เอสรา 1:1-4)  และนี่คือ พระวิหารหลังที่สอง ถูกสร้างขึ้นในยุคของเศรุบบาเบล  และโยชูวา  ( เอสรา บทที่ 3-6)  ครับ  เป็นการฟื้นฟูใจคนยิวขึ้นมาใหม่ 

        บูรณะพระวิหารโดย กษัตริย์เฮโรด มหาราช

        จากยุคของเศรุบบาเบล  จนถึงสมัยพระเยซู  วิหารมิได้ถูกทำลาย  แต่ถูกเหยียบย่ำโดยคนต่างชาติ ที่เข้ามาปล้นเอาทรัพย์สินในพระวิหาร   ในสมัยของอเล็กซานเดอร์ จักรพรรดิกรีซ  และปอมเปอี  แม่ทัพโรมัน  แต่ในช่วงที่โรมปกครองยิวนั้น  โรมได้แต่งตั้งให้ เฮโรดเป็นกษัตริย์ครองจูเดีย และสะมาเรีย  ในปี กคศ. 19 กษัตริย์เฮโรด  กษัตริย์หุ่นเชิดของโรม  จึงได้บูรณะพระวิหารของเศรุบบาเบลขึ้นใหม่  ขยายพระวิหารให้ใหญ่ขึ้น  ตกแต่งให้งามขึ้น  และนี่คือพระวิหารที่เหล่าสาวกชื่นชม ให้พระเยซูฟังว่า ยิ่งใหญ่ และงดงาม

 

        แล้ววันนี้ วิหารหลังนี้หายไปไหน

        ในปี คศ.  66  ข้าหลวงของโรม คนสุดท้ายที่มาปกครองซีเรีย และยูเดีย  ชื่อ ฟลอรัส  ข้าหลวงผู้นี้เป็นคนชั่ว ไม่เหมือน ปอนตัส ปีลาต  ข้าหลวงที่ยอมให้นำพระเยซูไปตรึง ตามการกดดันของพวกยิว  ความชั่วของฟลอรัส คือ การเข้าไปเสพสุรามึนเมาในพระวิหาร  ฉีกเสื้อของมหาปุโรหิต  ลบหลู่ด้วยถ้อยคำหยาบคาย บังคับเอาเงินในพระวิหารไปใช้ ถึง 17 ตะลันต์ ทองคำ ใครคัดค้านก็จับไปตรึงที่กางเขน   ยิวทนไม่ได้  พรรคชาตินิยมของยิว ก็ตั้งเป็นกองโจรเข้าตีทหารโรมันในจูเดีย  จนโรมพ่ายแพ้   สงครามระหว่างยิว กับโรมก็ประทุขึ้น  ถึงขีดสุดในปี คศ.66  ในสมัยของจักรพรรดินีโร  (จักรพรรดิผู้เผากรุงโรมเล่น  แล้วซัดทอดว่าเป็นความผิดของคริสเตียน)   เมื่อสงครามระเบิดขึ้น  โรมหัวเราะกันทั้งเมือง  นึกว่าเป็นเรื่องแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ  แต่รบไปเพียงไม่กี่ครั้งโรมก็หัวเราะไม่ออก  โรมใช้ทัพจากซีเรียไปปราบยิว  แต่ก็พ่ายแพ้ไม่เป็นท่า   ทำเอาโรมขายขี้หน้าประชาโลก  นีโร  เห็นว่าทำเป็นเล่นไม่ได้เสียแล้ว   จึงส่งทัพใหญ่ มีทหารชาญศึก ยกมาตียิว  เหมือนช้างใหญ่เหยียบหญ้าแพรก   มีนายพลเวสปาเซียนเป็นแม่ทัพ 

       ย่างเข้าปีที่ 3 โรมตียิวได้เกือบหมด  ยกเว้นกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งมีพระวิหารหลังที่พระเยซูทรงทำนายไว้  โรมจะตียิวอย่างไรก็ตีไม่ได้  ผมพอจะนึกภาพออกมา  การตีกรุงเยรูซาเล็มนั้นยากอย่างไร  เพราะกำแพงเมืองตั้งอยู่บนเนินเขา  ทั้งรอบกำแพงมีหุบเขาลึก  จะตั้งเชิงเทินขึ้นประกบกำแพงนั้นทำได้ยากยิ่ง   ในปีนั้นจักรพรรดิเนโรสิ้นพระชนม์  เวสปาเซียน จึงได้กลับไปกรุงโรม รับตำแหน่งเป็นจักรพรรดิ คนต่อมา  ทั้งได้แต่งตั้งทิตัส  ราชบุตรของพระองค์  รบกับยิวต่อ  ทิตัสรวบรวมพลเข้าตีเยรูซาเล็มแบบเบ็ดเสร็จ  ใช้ทหารมากถึง 80,000 คน ในขณะที่ยิวมีทหารเพียง 23,400  คนเท่านั้น  ยิวซึ่งขาดทั้งน้ำ และเสบียง  ต้องอาศัยคนเล็ดลอดออกไปนำเสบียงเข้ามา  ถ้าโรมจับได้ ก็จะถูกตรึงที่กางเขน   แต่ละวัน ยิวถูกตรึงที่กางเขน  หลายร้อยคน  ถึงกระนั้น ยิวก็ต้านทานโรมมาได้อีกหนึ่งปีเต็ม  โรมพูนดินขึ้นสูงเท่ากำแพง  พอโรมเข้าเมืองได้  ความแค้นของโรมที่เอาชนะยิวไมได้  ก็เข้าไปทำลายทุกอย่าง  ฆ่าคนทุกคน ทั้งลูกเล็กเด็กแดง  ในหนังสือ “ยิว” ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช  ท่านเขียนไว้ว่า “ความพินาศของยิวครั้งนั้น  เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้  น้ำน้อย ย่อมแพ้ไฟ  แต่ไฟก็แย่ไปเหมือนกัน”  ครับ  วิหารอันสวยงามที่บูรณะมาตั้งแต่สมัย เฮโรด ก็ถูกทำลายราบลงมาเป็นหน้ากลอง  สอดคล้องกับพระดำรัสของพระเยซู  “ท่านเห็นตึกใหญ่เหล่านี้หรือ  ศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่  จะไม่ถูกทำลายลงก็ไม่มี”  พระเยซูตรัสถ้อยคำนี้ ประมาณ 40 ปีล่วงหน้า 

 

         พระดำรัสของพระเยซู แม่นยำเหนือคำทำนายใด

         พระดำรัสของพระเยซู  ยังมีอีกมาก  บางอย่างก็เกิดขึ้นแล้ว  และบางอย่างก็ยังไม่เกิด   เช่น พระองค์ตรัสว่า “จงเรียนเรื่องมะเดื่อ  เมื่อแตกกิ่งแตกใบ  ท่านจงรู้ว่าฤดูร้อนใกล้มาถึงแล้ว  เช่นนั้นแหละ เมื่อท่านเห็นบรรดาสิ่งเหล่านั้น  ก็ให้รู้ว่า  พระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว”  พระองค์ ตรัสหมายถึง  คนยิวที่กระจัดกระจายไปอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะกลับบ้าน  เป็นประเทศขึ้นอีกครั้งหนึ่ง  ใน ปี 1948  หลังสงครามโลกครั้งที่สอง  ยิวกลับประเทศ  เป็นประเทศอิสราเอล  ขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนมะเดื่อที่เหี่ยวแห้งไปแล้ว  แตกใบ  ในคำทำนายนี้ของพระองค์  ยังทรงบอกเราต่อไปว่า  “พระองค์เสด็จมาใกล้ถึงประตูแล้ว”  แปลว่า  อีกไม่นานพระองค์จะเสด็จกลับมาครั้งที่สอง   ถามว่าอีกนานแค่ไหน  พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า  คนในชั่วอายุนี้  จะไม่ล่วงลับไป ก่อนสิ่งทั้งปวงนั้น  บังเกิดขึ้น   ฟ้าและดินจะล่วงไป  แต่ถ้อยคำของเรา  จะสูญหายไปมิได้เลย” (มัทธิว 24:32-34) 

          จากนั้นพระองค์ตรัสว่า  อะไรเป็นหมายสำคัญ  ว่าพระองค์ใกล้เสด็จมา  เช่น  สงคราม การกันดารอาหาร แผ่นดินไหว ผู้เผยพระวจนะปลอม  การข่มเหงผู้เชื่อ  แต่การประกาศข่าวประเสริฐจะประกาศไปทั่วโลก  ก่อนพระองค์เสด็จมา (มัทธิว 24:3-13)  หลายคนชะล่าใจ  ไม่เตรียมตัวพร้อม  สำหรับเขา พระองค์จะมาอย่างโจรในชั่วโมงที่คนกำลังหลับใหล 

          ฉะนั้น จงเตรียมพร้อมอยู่เสมอ โดยรักษาชีวิตดี มีพระวิญญาณ ทำงานรับใช้ ให้นายมีกำไร

          ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ       





Visitor 659

 อ่านบทความย้อนหลัง