แสวงหาพระเจ้าก่อน

 

ศ.บ

       “แสวงหาแผ่นดินพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน  แล้วพระองค์จะเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” ( มธ.6:33)

        นี่คือสิ่งที่ผมอยากพูด ในเดือนของการเรียนรู้   ผมเคยได้ยินพี่น้องบางคนเอาข้อนี้ไปพูดกับคนใหม่  เมื่อออกไปประกาศ  เนื่องจาก  คนใหม่ตั้งคำถามมาว่า “ถ้าไปเชื่อพระเจ้าแล้วจะร่ำรวยขึ้นไหม?”  “จะหลุดหนี้หลุดสินไหม?”  แล้วผู้ประกาศก็ไปสัญญากับเขาว่า “ขอให้ไปหาพระเจ้าก่อน  ไปโบสถ์ก่อน  เชื่อพระเจ้าก่อนแล้ว พระเยซูสัญญาว่า  จะเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ ให้  อันได้แก่ บ้าน รถยนต์  เงินทอง ฯลฯ ”  คนใหม่ฟังแล้ว ก็โอ เค เลย  ฟังแล้วทำไมจะไม่ตกลง  ใครก็รู้ว่า ทำอะไรย่อมต้องลงทุน  การลงทุนเชื่อพระเจ้าแค่นี้  แล้วได้กลับสารพัดอย่างที่ว่า  ถือว่าคุ้มค่าแน่นอน  จากนั้นการลงทุนเข้ามา อาจฝืนใจมา  แล้วถ้าเขามาด้วยท่าทีอย่างนี้  ไม่เปลี่ยนท่าที  ผลสุดท้ายก็ไม่ได้อะไร   แล้วก็ต้องมาสงสัย ว่าทำไมพระสัญญาของพระเยซู  จึงไม่เป็นจริง 

ผมจะชี้ให้เห็นว่าผิดตรงไหน

         อันดับแรกผิดที่ผู้ประกาศ ผู้ประกาศอ่านไม่ออกหรือว่า “อะไรคือ อันดับหนึ่งในหัวใจของเขา?” เขาบอกแล้วว่า เขาต้องการเงินทอง ทรัพย์เป็นสิ่งสุดยอดที่เขาปรารถนา   เพื่อให้ได้เรื่องเอกที่เขาปรารถนา   เขาพร้อมทำอะไรก็ได้  รวมทั้งการมาเชื่อพระเจ้า   และหวังว่าไม่ช้า เมื่อทำตามเงื่อนไขนี้แล้ว  เงินจะไหลมาเทมา   นี่เป็นการปฏิบัติที่ไม่เข้าเงื่อนไขของพระเยซูสักนิด    ไม่เข้าเงื่อนไขยังไง    ผมอ่านว่า  เขายังไม่ได้แสวงหาแผ่นดินพระเจ้าก่อนเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่มาก่อนสิ่งอื่น  ที่เป็นอันดับหนึ่งในชีวิต  ก็ยังคงเป็นเงินเหมือนเดิม  ไม่เห็นว่าแสวงหาพระเจ้าก่อนตรงไหน   ในอดีต เคยมีพ่อหนุ่มที่มารักสาวคริสเตียน  และอยากแต่งงานกับเธอ  เธอก็ตั้งเงื่อนไขกับพ่อหนุ่มไปว่า  เธอจะแต่งงานกับฉันไม่ได้    ถ้าเธอไม่เป็นคริสเตียน  ฉันจะแต่งงานกับคนที่เป็นคริสเตียนเท่านั้น  พ่อหนุ่มปรารถนาตัวเธออย่างยิ่ง  ถามว่า จะเป็นคริสเตียนต้องทำยังไง  เธอบอกว่า  ต้องมาเรียนพระคำ รับเชื่อ และรับบัพติสมาในน้ำ  พ่อหนุ่มก็ลงทุนสิ  ไม่เห็นจะยากลำบากตรงไหน  ผ่านกระบวนการดังกล่าว  เมื่อรับบัพติสมาเสร็จ  เขาก็ขอแต่งงานกับเธอ  เพราะทำตามเงื่อนที่เธอต้องการแล้ว  เธอก็ตกลง  แต่งแล้วไม่นานพ่อหนุ่มก็หายหน้าหายตาไป  ถามผมว่า  อะไรที่พ่อหนุ่มคนนี้แสวงหาก่อน  ก็การแต่งงานกับสาวคริสเตียนไง  ไม่ใช่แผ่นดินพระเจ้าสักนิด 

            เมื่อพระเยซูตรัสว่า  “จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน  แล้วพระองค์จะเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้”  แปลว่าอะไร  หมายถึง   การมุ่งรู้จักพระองค์เป็นส่วนตัว  การสำนึก สารภาพ  และเลิกบาปทุกอย่างที่รู้  หมายถึงการมอบความไว้วางใจในการไถ่โทษบาปของเราที่ไม้กางเขน  หมายถึงการยอมให้พระองค์เป็นผู้นำพาชีวิตด้วย  แต่ก่อน “ความปรารถนาของเรา”  สำคัญเป็นที่หนึ่ง  ต่อไปนี้น้ำพระทัยพระเจ้า มาเป็นที่หนึ่ง  นั่นหมายถึง  จะร่ำรวยหรือไม่ ไม่สำคัญ  จะได้แต่งงานกับเธอหรือไม่ก็ไม่สำคัญอีก   อย่างนี้จึงเรียกว่า “แสวงหาแผ่นดินพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน”  คนน่ะหลอกไม่ยากนัก  แต่ใครก็หลอกพระเจ้าไม่ได้  พระองค์อ่านไม่ออกหรือว่า  อะไรสำคัญกว่าอะไรในชีวิตของเรา  พระองค์ไม่รู้หรือว่า เรามอบให้พระองค์เป็นทีหนึ่งในชีวิตหรือไม่   เมื่อไม่เข้าเงื่อนไข  เราก็ไม่พบ พระองค์  ทั้งพระสัญญาของพระเยซูก็ไม่เป็นจริงกับเรา  

             ถามผมว่าพระสัญญานี้เป็นความจริงไหม

             จากประสบการณ์  ผมเห็นว่าเป็นความจริงอย่างมาก  ผมเห็นคนที่ถูกไล่ออกจากบ้าน  เพราะมาเชื่อพระเยซู  แม้พ่อไม่ชอบ  ลุงไม่ชอบ  แต่เขาก็เลือกกลับใจมาเชื่อพระองค์   วันที่เขาเลือกเป็นคริสเตียน  เขาไม่มีอะไรเหลือ นอกจากพระองค์  กาลเวลาผ่านไป  ผมพบเขา  พระเจ้าอวยพรเขาทุกอย่าง  ญาติพี่น้องที่เคยต้านเขา  กลับมาเชื่อพระเจ้า  เขาได้ความมั่งคั่งด้วย   ผมรู้จัก คนที่มาเชื่อพระเยซู  แฟนที่เคยรักชอบกันมาไม่เอาด้วย   แต่เขาก็เลือกพระเยซูก่อน  แล้วภายหลังพระเจ้าก็ประทานบุคคลที่เหมาะสมกับเขา  พร้อมกับพระพรทุกอย่าง  

           ให้พระเจ้าก่อน มิใช่แต่ตอนก้าวเข้ามาเป็นผู้เชื่อเท่านั้น  แต่ในการดำเนินชีวิตคริสเตียนด้วย

           พระเจ้าเป็นที่หนึ่ง  หรือความปรารถนาของตนเองเป็นที่หนึ่ง  พระเจ้าทรงทราบดี  ผมรู้จักร้านค้าที่หยุดงานวันอาทิตย์  โดยไม่หวั่นว่าจะเสียลูกค้า  เพื่อจะได้นมัสการและถวายพระเกียรติ  แล้วพระเจ้าก็อวยพระพร ธุรกิจของเขาอย่างเหลือเชื่อ  เอากันง่ายๆ  เมื่อเลือกระหว่างพระประสงค์ กับสิ่งที่เราโปรด  วันนี้เราเลือกอะไร   ระหว่างงานรับใช้เพื่อนำคนมารู้จักพระเจ้า กับความสะดวกสบายของเราเอง อะไรสำคัญกว่ากัน  วันนี้เราทำงานเพื่อได้เงินล่วงเวลา (O.T) ในวันอาทิตย์  และยอมขาดโบสถ์  แปลว่าอะไร  พิสูจน์ให้พระเจ้าฟังสักหน่อยสิว่า  เรารักพระองค์มากกว่างานหรือเงิน   เมื่อมีนัดแข่งฟุตบอลวันอาทิตย์  และเราขาดโบสถ์เพราะดูฟุตบอล  อย่างนี้หรือที่เรียกว่า “แสวงหาแผ่นดินพระเจ้า และความชอบธรรมก่อน”  ผมเคยแซวพ่อแม่ที่พาลูกไปเข้าโรงเรียนอนุบาล  เพื่อให้ลูกเข้าเรียน  เขามีสอบสัมภาษณ์  ต้องจ่ายเงินค่าเล่าเรียนแพงลิ่ว  พ่อแม่พาลูกไปสมัครเรียนตั้งแต่เช้ามืด  ฝ่ารถติดในกทม.  คดข้าวห่อไปด้วย  แต่ผมไม่ค่อยเคยเห็น พ่อแม่พาลูกมาฝากครูรวีฯ   วันอาทิตย์  ด้วยใจพะวงว่าลูกจะไม่ได้เรียน   หลายครั้งครูรวีฯ  ต้องไปชักชวนชี้แจงให้ลูกมาเรียนพระคัมภีร์  แล้วชวนกันขาดโบสถ์  พิสูจน์อะไร   แต่ละวันเราสามารถดู YouTube  Facebook TV  Internet  ดูรายการตลกโปกฮา  แต่ไม่มีเวลาให้พระคัมภีร์  แปลว่าอะไร

        การเงินของเราก็เหมือนกัน   ผมเคยเห็นคนค้าขายอย่างสัตย์ซื่อ  ไม่ยอมคดโกง  แม้มีช่องได้เงินมาก  เพราะเชื่อพระบัญญัติของพระเจ้า แล้วภายหลัง พระเจ้าก็อวยพระพรธุกิจของเขา   สิบลดเป็นพื้นฐานที่สุดสำหรับการบ่งบอก ว่าเรา “แสวงหาแผ่นดินพระเจ้า  และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน”  ไม่มีใครกำกับการเงินของเรา   และพระเจ้าทราบดีว่า เราให้ความสำคัญหรือไม่

 

         ผมอ่านเรื่องของ เฮนรี่ โครแวลล์  ผู้ก่อตั้งบริษัท แควเกอร์ โอดส์ (Quaker oats Company) (ผมเคยซื้อข้าวโอด กระป๋องของบริษัทนี้มากิน )  โครแวลล์  บอกว่า “ผมมิได้เป็นนักเทศน์  แต่ผมสามารถเป็นนักธุรกิจที่ดี”  เขาทูลขอว่า หากพระเจ้าช่วยเขาในการหาเงิน  เขาจะใช้เงินที่หามากับงานรับใช้   แล้วเขาก็เริ่มด้วยการซื้อโรงโม่เล็กๆ เก่าๆ หลังหนึ่ง  เขาเรียกมันว่า “โรงโม่แควเกอร์”  เขาไม่เพียงแต่สัตย์ซื่อในการถวายสิบลด  แต่เขาถวายเกินสิบลดเป็นจำนวนมาก  เป็นกองทุนเพื่องานพระเจ้ามานานกว่า 40 ปี  

 

คงไม่มีใครในเมืองไทยที่ไม่รู้จักยาสีฟันคอลเกต  วิลเลียม คอลเกต จากบ้านของเขามาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น  เพราะเขารู้ว่าคุณพ่อเขายากจนเกินไปที่จะเลี้ยงดูเขา  เขามารู้จักคนขับเรือชราคนหนึ่ง  เขาเล่าเรื่องของตนให้ชายชราคนนี้ทราบ เขารู้วิชาแค่การทำสบู่ กับเทียนไข  ชายคนนี้  คุกเข่าลง อธิษฐานเผื่อเขา  และทำนายว่า พระเจ้าจะให้เขาได้ทำสบู่ชั้นนำในกรุงนิวยอร์ค  ขอให้เขาเป็นคนดี มอบชีวิตให้พระคริสต์  ถวายคืนทุกสิ่งที่เป็นของพระองค์  ขอให้ทำสบู่อย่างสัตย์ซื่อ  แล้วพระเจ้าจะอวยพร เขาจดจำถ้อยคำนั้น   เขาถวายสิบลด ตั้งแต่เขาได้รับเงินค่าจ้าง 1 เหรียญแรก  ไม่ช้าเขาได้เป็นหุ้นส่วนของบริษัท  ต่อมาเขาได้เป็นเจ้าของบริษัท   เขาก็เช่นเดียวกับ เฮนรี่ โครแวลล์  คือถวายเงินมากกว่าสิบลด  มีรายงานว่า  เขาถวายเงินเพิ่มขึ้น  จาก 20%  เป็น 30%  เป็น 40%  ถึง 50%  และท้ายที่สุด เขาถวายเงินรายได้ทั้งหมด  เขาถวายเงินหลายล้านให้งานพระเจ้า 

 

เวลาเขาทำถนนใน กทม.เรามักจะเห็นรถตักดิน  ยี่ห้อ เคเตอร์พิลเลอร์ (Caterpiller Machine) คันโตๆ   ผู้ผลิตรถตักดินยี่ห้อนี้ ชื่อนาย อาร์ จี  เลอ ทัวเนีย บริษัทของเขาถวายเงิน 90%  เขาใช้เงินสำหรับตัวเองแค่ 10%  งานของเขาประสบความสำเร็จมาก   ก่อนตัวเขาจากโลกนี้ไป เขาถวายเงินหลายพันล้านแก่งานรับใช้อย่างกว้างขวาง 

 

คนที่ชอบทานเนยแข็ง  คงรู้จัก เนยแข็งยี่ห้อ คราฟท์ ดี ครับ อร่อยเชียว เจมส์ แอล  คร้าฟท์  เจ้าของบริษัท คร้าฟท์ ชีส (Kraft Cheese Company) หลังจากออกจากงาน ด้วยเงินติดตัวเล็กน้อย เขาใช้รถม้าออกขายเนยแข็ง  วันหนึ่งเขาตระหนักว่า เขาต้องการให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่ง “แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า  และความชอบธรรมของพระองคต์ก่อน” เขาตัดสินใจถวาย 25% จากเงินกำไรแก่คริสตจักร  จนตลอดชีวิตของเขา (1874-1953)





Visitor 1092

 อ่านบทความย้อนหลัง