สิ่งเลิศล้ำ ทรงสำแดง

 

ศ.บ

“จงทูลเรา  และเราจะตอบเจ้า  และจะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่ง  และที่ซ่อนอยู่  ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นให้แก่เจ้า” (เยเรมีย์ 33:3)            

      พระเจ้าทรงมีสิ่งปรเสริฐไว้สำหรับเรา

      ผมขอเล่าเบื้องหลังพระดำรัสนี้สักหน่อย  ข้อความนี้เป็นพระดำรัสของพระเจ้า  ที่พระองค์ตรัสกับเยเรมีย์ ในปี กคศ. 589  ขณะที่ท่านกำลังติดคุก  ในค่ายทหารรักษาพระองค์  ที่กรุงเยรูซาเล็ม  ตอนนั้นเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน  กรุงจวนเจียนจะแตก    กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งบาบิโลน  ยกมามาล้อมกรุงไว้ ปีเศษแล้ว    กษัตริย์เศเดคียาห์ ปล่อยให้บ้านเมืองมีรูปเคารพเต็มบ้านเต็มเมือง  เยเรมีย์ได้เตือนกษัตริย์ถึง 4 ครั้งในช่วง 40  ปี ว่า หากไม่กลับใจมาหาพระเจ้า  พระองค์จะพิพาษาโทษ  กรุงจะแตก  แต่กษัตริย์ไม่ฟัง  ไม่กลับใจอะไร  กษัตริย์เศเดคียาห์หัน ไปฟังพวกผู้เผยพระวจนะเท็จ  ที่เล้าโลมพระทัยพระองค์หลอกๆ ว่าจะไม่เป็นอะไร  กษัตริย์หลงเชื่อถึงขั้นจับเยเรมีย์   ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าไปขัง

 

        (1) ทรงเป็นคำตอบในยามมืดมน  

      ขณะที่กำลังเกิดกันดารอาหารในกรุง  มีโรคระบาด  ผู้คนล้มตายทุกวัน  การเชิญชวนของเยเรมีย์ที่พูดไป  ก็เหมือนเสียงนกเสียงกา  ไม่มีใครฟัง  เยเรมีย์น่าจะท้อถอย  เพราะมืดมน  แต่พระเจ้าก็ตรัสข้อความนี้กับท่าน

      “จงทูลเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่ง และที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นให้แก่เจ้า”

 เมื่อเราคิดอะไรไม่ออก สมองตื้อ  มืดแปดด้าน  ไม่มีวิธีใดดีกว่าการกราบทูลพระเจ้า  พระองค์ทรงสัญญากับเราว่า “จงทูลเรา  และเราจะตอบเจ้า” ยากอบ กล่าวว่า “ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญาให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณา และมิได้ทรงตำหนิ แล้วผู้นั้นจะได้รับสิ่งที่ทูลขอ”(ยากอบ 1:5) 

   ผมสังเกตว่า  ความรู้ของคนเรานั้นจำกัด  แต่เรามีพระเจ้าผู้มีสัพพัญญูญาณ  ทรงล่วงรู้ทุกสิ่ง  มีอภิมหาปัญญาอันหาขอบเขตจำกัดมิได้   เปโตรหาปลาไม่ได้ทั้งคืน  ซักอวนอยู่อย่างท้อใจ  หลังจากให้พระเยซูยืมเรือ  เพื่อใช้เป็นเวทีสอนคนที่ชายหาดแล้ว  พระองค์ทรงชวนเปโตรออกไปจับปลา  ทรงสั่งให้ถอยไปที่น้ำลึก  เปโตรคงคิดในใจว่า “นักเทศน์จะรู้ดีกว่าชาวประมงได้อย่างไร” แต่ยังดีที่ยอมทำตาม  ครั้นเปโตรหย่อนอวนลงจับปลาตามพระดำรัส  ก็ได้ปลาจำนวนมากถึง  2 ลำเรือ  เปโตรคง งงครับ   ครั้งแรกคิดว่าตนรู้ดี  พอรู้จักพระเยซูเข้า ก็ยอมรับว่า  ตนไม่รู้อะไรเอาเสียเลย   

 

        ในบรรยากาศที่น่าท้อถอย  พระเจ้าทรงสำแดงไม่เพียงแต่ให้เยเรมีย์ทราบว่า  “กรุงจะแตก”  เหมือนการล้างบ้านล้างเมืองให้สะอาดสะอ้าน   แต่ให้ทราบว่า หลังจากคนยิวเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลนแล้ว   พระเจ้าจะนำพวกเขากลับมาสร้างกรุงใหม่   และการเปิดเผยที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือในอนาคต  พระเจ้าจะทรงส่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด “ในวันเหล่านั้น  และในเวลานั้น  เราจะให้พระอังกูรชอบธรรมเกิดมาเพื่อดาวิด  และท่านจะให้ความยุติธรรม และความชอบธรรมในแผ่นดินนั้น” ( เยเรมีย์ 33:15)

        นี่คือการมองข้ามไปไกลอีกช่วงหนึ่ง  ที่เยเรมีย์ไม่มีวันคิดออกได้ด้วยตนเอง  เป็นเรื่องที่สร้างกำลังใจมหันต์ให้เยเรมีย์และชาวยิว

        เปโตร เคยได้รับคำสอนตลอดมาว่า  การที่ยิวจะไปคบค้าสมาคมกับคนต่างชาตินั้นเป็นสิ่งต้องห้าม  แต่วันหนึ่ง พระเจ้าก็สำแดงให้ท่านทราบว่า  “ไม่ควรเรียกคนหนึ่งคนใดว่าเป็นที่ห้าม หรือเป็นมลทิน” (กิจการ 10:28)  เปโตรจึงกล้าตกปากรับคำเชิญไปพักที่บ้านนายร้อยโครเนลิอัส   เมื่อเทศนาที่นั่น  คนในบ้านของนายร้อยทั้งครัวเรือนมาเชื่อพระเจ้า  พวกเขารับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์   แล้วพระกิตติคุณก็ขยายไปสู่คนต่างชาติ  คริสตจักรเพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด   เป็นภาพที่เปโตรมิเคยคิดฝันมาก่อน 

(2) ทรงประทานความคิดสร้างสรร

       ไม่นานมานี้ผมดูซีดี ธรรมชาติของสัตว์โลก  ทุกวันนี้เขามีกล้องถ่ายหนังชั้นดี  ชัดเจนแจ๋วแหว๋ว  สามารถซูมเข้าไปดูกาอัปกริยาของนก  ของตัวหนอน ตั๊กแตน ผีเสื้อ  เต่า  ฝูงกวาง  ช้างม้า  วานนี้ดูคลิป ปลาโลมาที่คนนำมาฝึกว่าย  เต้นระบำในน้ำ ราวกับฝึกสุนัข   ขณะดูชีวิตสัตว์ที่ก้าวไปด้วยสัญชาติญาณเหล่านี้   ผมอดคิดไม่ได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นนักสร้างสรรประเสริฐเลิศที่สุด  หามีผู้ใดเสมอเหมือน   มนุษย์ที่เป็นนักประดิษฐ์ไม่มีปัญญาได้สักเศษเสี้ยวพระปัญญาของพระองค์  

 

       ขอยกตัวอย่างสักเรื่อง  นึกถึงภาพชายหนุ่มหญิงสาวจู๋จี๋กัน   เมื่อสร้างให้คนเราพูดกัน  เพื่อจะได้รู้จักกัน เข้าใจกัน  ก็สร้างปากให้พูดออกเสียง  โดยมีกล่องเสียง ทำให้เราออกเสียงโดยริมฝีปาก ลิ้น และฟัน  เกิดเสียงพูด เสียงเพลง เสียงร้องไห้  หัวเราะ ตะโกน  จนกระทั่งเสียงกระซิบ  อีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นผู้ฟัง  ก็ทรงสร้างให้มีหูสองหูไว้ฟัง  ที่หูมีใบหูไว้ป้องรับเสียงหันไปทางปากของผู้พูด  ไม่หันผิดทาง  หูสามารถแยกแยะเสียงพูด  เสียงเพลงได้ทุกตัวโน๊ท   ขณะพูด ก็ทรงสร้างให้ มีตาสองตาไว้มอง  แลเห็นภาพสี สามมิติอย่างล้ำลึก   สร้างคนให้เป็นชายที่บึกบึน  สร้างหญิงที่ละมุนนุ่มนวล  ใส่ความรู้สึกเข้าไปทั้งชายและหญิง  ทั้งสร้างเราให้มีจิตใจขับเคลื่อนชีวิต  ให้อยู่กฏศีลธรรมอันดีงาม  ทั้งสองมองตากัน โต้ตอบกัน จู๋จี๋กัน  หัวเราะด้วยกัน  ถมึงทึงเข้าหากัน  ทรงออกแบบเช่นนี้ได้อย่างไร   ครับ สุดที่จะบรรยาย 

      หากเราจะคิดสร้างสรรสิ่งใด  เราควรทูลถามพระเจ้า  นักคิดที่ประเสริฐที่สุด  เพราะพระองค์ตรัสว่า  “จงทูลเรา  และเราจะตอบเจ้า  และจะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่ง  และที่ซ่อนอยู่  ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นให้แก่เจ้า” เวลาผมแต่งบทกลอน  เขียนเนื้อเพลง  ร่างคำสอน ทำ Power Point ผมทูลพระองค์เสมอ  โดยปัญญาเราเอง  ผมยอมรับว่า มันมืดมนจริงๆ  แต่พระเจ้าทรงเป็นนักคิดที่ยิ่งใหญ่สุดยอด 

    (3) พระคำของพระเจ้าเป็นบ่อความรู้ล้ำลึก

        บ้านผมที่นครฯ  มีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง อยู่กลางบ้าน คุณแม่ท่านเล่าว่า คุณตาแจ้งเป็นผู้ขุดบ่อน้ำนี้ น้ำใสกริบ สะอาดมาก เราใช้มันทุกอย่าง ใช้ทั้งอาบ ล้างถ้วยชาม ซักผ้า และรดต้นไม้  ตั้งแต่เด็ก  ผมเรียนวิธีตักน้ำด้วยถังที่ผูกเชือก  หย่อนลงไปในบ่อ  ตวัดตักน้ำในบ่อ และสาวเชือกผูกถังน้ำขึ้นมา มันมีตาน้ำอยู่ใต้บ่อ  ที่น่าทึ่งคือบ่อน้ำนี้ไม่เคยแห้งเลย  ผมนึกถึงพระวจนะของพระเจ้า ยิ่งขุดยิ่งพบ  ยิ่งตักออกมาใช้  มันยิ่งผุดโผล่ขึ้นมา  สดใสตลอดกาล  ดี แอล มูดี้ นักเทศน์ชาวอังกฤษ ในศตวรรษก่อน เล่าว่า ในชีวิตของท่าน ท่านเทศนาเรื่องบุตรน้อย นับเป็นร้อยครั้ง  และทุกครั้งที่เทศน์ท่านได้รับความคิดใหม่เสมอ  พระเยซูเปรียบแผ่นดินสวรรค์เหมือนขุมทรัพย์  (มัทธิว 13:44)  เมื่อเราต้องการความเข้าใจพระวจนะ  เราไม่ลืมพระสัญญา “จงทูลเรา  และเราจะตอบเจ้า  และจะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่ง  และที่ซ่อนอยู่  ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นให้แก่เจ้า”

 

         (4) ประสบการณ์ส่วนตัว กับพระองค์

           ในชีวิตครอบครัว  ผมไม่ลืมวันอันหวานชื่นเมื่อรู้จักภรรยา   ในชีวิตครอบครัว  เราพบความลำบาก แต่ผมก็ไม่ลืมวันที่เราฝ่าวิกฤติออกมาได้   ในชีวิตคริสเตียนก็เช่นเดียวกัน   พระเจ้าให้เรามีประสบการณ์พิเศษกับพระองค์  แต่ละคน แตกต่างกันไป   เมื่อคิดถึงสิ่งที่พระองค์ทรงนำพาเรา  ผ่านพ้นวิกฤติ  หรือให้เราได้รับชัยชนะอย่างเหลือเชื่อ  มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เกินปัญญาอันหวานชื่น  เป็นเรื่องเร้นลับที่ถูกซ่อนไว้  และพระองค์นำให้เราได้สัมผัส  เราจดจำไม่ลืม  เมื่อคิดถึงมันทุกครั้ง เราอดอมยิ้มไม่ได้   คนอื่นไม่เข้าใจ  แต่เราเข้าใจ   เปโตรจำวันที่ตนเดินบนน้ำทะเล  และพระเยซูช่วยฉุดเมื่อจะจมลง   จำภูเขาที่จำแลงพระกายได้ดี  และแน่นอน  จำวันที่พระองค์อภัยหลังจากปฏิเสธพระองค์  จำพระดำรัสถามที่ทะเลกาลิลีว่า  “ซีโมน บุตรโยนาเอ๋ย  เจ้ารักเราหรือ  จงเลี้ยงดูลูกแกะของเราเถิด” ยอห์นไม่ลืมความรู้สึกเมื่อเอนตัวลงบนตักพระเยซู  และไม่มีวันลืมภาพที่ไม้กางเขนเมื่อพระองค์ฝากมารดาไว้  มารีย์น้องสาวของมารธา มีความสุขมาก เวลานึกถึงการนั่งฟังพระองค์เล่าอะไรๆให้ฟังในบ้าน   เปาโลจำการลงไปคลุกฝุ่นบนเส้นทางไปดามัสกัสได้ดี  เสียงที่ตรัสว่า

“เซาโล  เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม” มันก้องอยู่ที่หูตลอดมา ประสบการณ์อันหวานชื่นกับพระองค์มิได้เกิดขึ้นครั้งเดียว  แต่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า   บางทีเหมือนแพ้  แต่พระองค์พลิกผันให้ชนะ  ดูเหมือนร้าย แต่ก็กลับกลายเป็นดี   ผมเองเคยอยู่ในอาการจนปัญญากับการรับใช้หลายครั้ง  นึกไม่ออก เดินต่อไม่เป็น  แต่ในทางตัน พระองค์ก็ประทานลู่ทางให้อย่างอัศจรรย์ จนเกิดความมั่นใจในพระสัญญาที่ว่า “จงทูลเรา  และเราจะตอบเจ้า  และจะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่ง  และที่ซ่อนอยู่  ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นให้แก่เจ้า”   

   วันนี้ ขอให้เราทูลพระองค์เช่นนี้ต่อไป  แล้วท่านจะประหลาดใจว่า  ในความมืดมน  พระเจ้ามีคำตอบ  มีบทเฉลยให้ท่านทราบอย่างเหลือเชื่อทุกครั้งครับ    





Visitor 446

 อ่านบทความย้อนหลัง