บนเส้นทางความเชื่อ  (ตอนที่ 7/1)

 

อรัญญา ศรีชอบธรรม

 

        รับใช้ด้วยชีวิตตนเอง

           ฉันมักคุยกบเพื่อบ้านซึ่งเขาสนใจเรื่องการปฏิบัติธรรมและการเข้าทรง จึงคุยกันบ่อย ๆ ในเรื่องเหล่านี้ วันหนึ่งหลังจากเข้าโบสถ์ไม่นาน เผอิญเจอกันที่หน้าบ้านเขา ฉันเพิ่งรู้ว่าเขาป่วยฉันจึงเล่าเรื่อพระเจ้าให้เขาฟังทั้ง ๆ ที่ฉันยังไม่เชื่อและไม่ค่อยเข้าใจพระเจ้าเลย ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากจริง ๆ เพราะขณะพูดให้เขาฟังฉันรู้สึกว่าทุกคำพูดสะท้อนเข้ามาในหัวสมองความคิดและการรับรู้ของฉัน เหมือนนั้นกำลังบอกฉันด้วย ฉันคุยกับเขานานจนจบเรื่อง ได้ถามเขาว่าจะพาผู้รับใช้พระเจ้ามาเยี่ยมอธิษฐานให้เขาที่บ้านได้ไหม เขาไม่ปฏิเสธแต่ขอเวลาก่อน ฉันไม่ได้ว่าอะไรเพราะฉันเองยังไม่เชื่อเลย แต่ที่ฉันวิตกกังวลมากคือเรื่องที่พูดออกไปฉงนตัวเองเหมือนกันว่าทำไมพูดได้มากขนานนั้น ผิดหรือถูกไม่รู้ ถ้าผิดกลายเป็นว่าฉันโกหกเขา บาปกรรมแน่ ๆ จึงเดินไปถามผู้รับใช้ที่โบสถ์ว่า สิ่งที่พูดไปทั้งหมดเป็นอย่างนี้ผิดถูกอย่างไร     ผู้รับใช้พระเจ้าบอกว่าฉันพูดเรื่องพระเจ้าถูกต้องหมดทุกอย่าง ฉันเก็บความประหลาดใจนี้ไว้ไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะฉันมีความเข้าใจพระเจ้ามากขึ้นจากการคุยกับเพื่อนคนนี้

หลังจากรับเชื่อฉันรู้สึกเสียใจจริง ๆที่ละเลยเขาไม่ได้นำผู้รับใช้ไปเยี่ยมเพื่อประกาศให้เขามีโอกาสรับเชื่อ เพราะหลังจากคุยกันวันนั้นไม่นานเขาก็ตาย เหตุการณ์นี้เป็นข้อเตือนใจฉันตลอดมาว่าอย่าชักช้าอย่าผัดผ่อนในการประกาศข่าวประเสริฐ เพราะเวลาเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจกำหนดได้ ฉันจึงหาโอกาสพูดกับทุกคนที่ฉันมีโอกาสพูดคุยเรื่องพระเจ้า แม้ขณะนั่งแท็กซี่ ไปซื้อกับข้าว คุยกับเพื่อนบ้าน ฯลฯ และประโยคที่ฉันใช้ประจำคือ “พระเจ้าอวยพรค่ะ” ซึ่งฉันถือว่าเป็นวลีที่พระเจ้าฝังลงในปากให้ฉันพูดจริง ๆ เพราะวลีนี้เองได้สร้างโอกาสให้ฉันพูดเรื่องพระเจ้ายาวนานกับหลายต่อหลายคนทั้ง ๆ ที่เริ่มแรกเหมือนไม่มีโอกาสพูดเลยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อฉันต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ วลีนี้ทำให้ฉันมีโอกาสคุยกับคุณหมอหลายท่านเรื่องพระเจ้า   แม้จะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ คุณหมอท่านหนึ่งบอกฉันในการนัดคุยครั้งสุดท้าย(เพราะท่านส่งต่อฉันให้หมออีกแผนกดูแล)ว่ากำลังตัดสินใจเรื่องไปคริสตจักรไหนดี ฉันขอบคุณพระเจ้ามากที่ทรงเปิดใจท่าน แม้แต่คนใช้บางสนใจฟังทั้ง ๆ ที่เขาเริ่มด้วยการให้หนังสือธรรมะฉันอ่านเพื่อให้ฉันมีกำลังใจสู้กับโรคร้าย แต่ฉันปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่าฉันมีความรู้เรื่องนี้ดี แต่เวลานี้ฉันเชื่อพระเจ้า เชื่อพระเยซูพร้อมให้หนังสือเรื่องของพระเจ้าที่ฉันนำติดตัวไป เพื่ออ่านระหว่างรอเข้าพบหมอ ฉันพูดเรื่องของพระเจ้าเขารับฟังอย่างตั้งใจ ฉันพูดไปใจอธิษฐานขอให้พูดจนครบถ้วนเรื่องพระเยซู เพราะขณะนั้นฉันรอหมอเป็นคนต่อไป และเขาเป็นคนสุดท้ายต่อจากฉัน ฉันเชื่อว่าพระเจ้ารักเขาและในพระองค์รักลูกของพระองค์จริง ๆ ตามหาพวกเขาพร้อมให้เขาได้รู้ว่าพระองค์รออยู่ ฉับซาบซึ้งในพระคุณของพระเจ้ามากขึ้นทุกเวลา เพราะวันนั้นเมื่อฉันพูดทุกอย่างจนเขารับรู้และได้แนะนำให้เขาไปโบสถ์ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน (เขาอยู่จังหวัดอยุธยา) ซึ่งเขาสนใจมากพร้อมถามฉันหลายอย่าง เมื่อฉันตอบข้อสงสัยเขาจนจบ ก็ถึงคิวที่ฉันต้องเข้าพบหมดพอดี เราจากกันด้วยรอยยิ้ม เขาขอบคุณฉัน และฉัน “ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ”

ทุกครั้งที่ฉันประกาศเรื่องพระเจ้า ไม่เคยคิดว่าคนฟังจะต้องเชื่อ หรืออย่าไปประกาศให้เสียเวลาเลยพูดไปเขาก็ไม่เชื่อ เพราะฉันคิดเสมอว่าหน้าที่สำคัญลองมากจากมีใจรักและยึดพระเจ้าเป็นที่สุดในชีวิต และต้องรักผู้อื่นเหมือนรักตัวเอง(มก.28:30-31)แล้ว คือการประกาศข่าวประเสริฐ เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคน อยากให้ทุกคนกลับสู่อ้อมอกของพระองค์(มธ.28:19-20,18:14) ดังนั้นหรือผู้เชื่อทุก ๆ คนจึงต้องทำหน้าที่ ยามผู้เฝ้าระวังที่ดีของพระเจ้า และพร้อมที่จะทำงานตลอดเวลาด้วยความเต็มใจ เปี่ยมล้นด้วยความรักอันแสนบริสุทธ์ต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคนโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เพราะทุกคนคือบุตรน้อยที่พลัดหลงไปจากอ้อมอกของพระบิดาหากเราทุกคน(ผู้เชื่อ)เป็นคนยามที่ดี(อสค,33:1-20)เราจะเปรียบเสมือนแม่น้ำแห่งชีวิต ที่พระเจ้าทรงทำให้เป็นแบบอย่างมากมาย และทรงสำแดงให้เห็นว่า แม่น้ำนั้นไหลไปที่ไหนชีวิตก็จะคงอยู่ที่นั้นอย่างงดงามและสมบูรณ์(อสค.47:6-12) พระเจ้าต้องการให้ลูก ๆ ของพระองค์ เป็นแม่น้ำแห่งชีวิตบนโลกใบนี้เพื่อไหลพัดพาลูกที่หลงลืมพระองค์ให้กลับไปหาพระองค์ยังแผ่นดินอันสวยงามที่ทรงจัดเตรียมไว้ให้เพื่ออยู่กับพระองค์ชั่วนิรันดร์(ลก.15:7,ปญจ.3:11)

ฉันมีความสุขมาก เมื่อได้ทำงานรับใช้พระเจ้า และพยายามทำอย่างดีที่สุดตามคำสอนของพระองค์ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปัน การประกาศ การอธิษฐานเผื่อคนที่ฉันรู้จัก หรือไม่รู้จัก ฯลฯ และจะมีใครเห็นใครรู้หรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นที่ฉันต้องคิด ฉันรู้อยู่แกใจฉันอย่างเดียวว่า พระเจ้าเห็นพระเจ้ารู้เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว และการรับใช้ทุกอย่างจะเกิดผลหรือไม่ ก็ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องนำมาประเมินงานนั้น ๆ ด้วย ฉันเพียงแต่ทำงานที่ของฉันให้ดีที่สุด ส่วนการเกิดผลนั้นเป็นส่วนของพระเจ้าพระองค์จะจัดการเอง(สดด.127:1,1คร.3:6-7)

พระเจ้าสอนฉันตลอดเวลาว่าทุกงานรับใช้ ต้องเกิดจากพระประสงค์ของพระองค์ ฉันต้องนิ่งสงบให้พระองค์ทรงนำ อย่าเอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง ฉันมีโอกาสไปงาค่าย ไทย-ลาว ที่นิวซีแลนด์ ไปเยี่ยมชมสถาบันสอนพระคริสต์ธรรม เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอายุ 70 กว่าปียังมาเรียนเพื่อรับใช้ และมีชาวมาเลเซีย พาครอบครัวมาพักที่สถาบันเพื่อเรียนด้วย จากการคุยกับผู้อำนวยการยิ่งทำให้ฉันอยากเรียนและคิดจะพาลูกไปด้วยเพื่อเรียนไปด้วยดูแลด้วย ขณะเดียวกันอาจารย์ที่นำฉันไปนิวซีแลนด์ ชวนฉันทำพันธกิจที่นั้น โดยจะเปิดคริสตจักร ไทย-ลาว พร้อมเปิดร้านอาหารให้ฉันดูแลเป็นแม่ครัว เพราะท่านเห็นฉันทำอาหารเก่งหลายประเภทและรายได้จากร้านอาหารจะนำมาสนับสนุนจากของคริสตจักรที่จะตั้งขึ้น ใจฉันตกลงทั้งทีเมื่อกลับมาจากนิวซีแลนด์ พูดเรื่องนี้กับสามีเขาไม่เห็นด้วยไม่ให้พาลูกไปฉันจึงต้องระงับใจตัวเอง เมื่อพระเจ้านำฉันมาคริสตจักรสามัคคีธรรมกรุงเทพ รู้ว่ามีทีมประกาศวันศุกร์ ฉันจึงพยายามหาเวลาร่วมทีมด้วย ยิ่งรู้ว่ามีพันธกิจต่างจังหวัด ก็ยิ่งอยากไปรับใช้คิดว่าไปครั้งละ 2-3 เดือน ก็กลับบ้านมาดูครอบครัว แล้วออกไปอีก เมื่อพูดเรื่องนี้กับสามี เขาตอบว่า “ออกไปนำคนอื่นขึ้นสวรรค์ แต่กลับให้ลูกผัวอยู่บ้านตกนรก ถามพระเจ้าสิว่า พระเจ้าจะตอบอย่างไร” นั่นเป็นจุดหักเหในความคิดรับใช้ของฉัน

แต่แท้จริงแล้วพลังที่ดึงความคิดเรื่องออกไปรับใช้ไกล ๆ ให้หยุดอยู่กับที่คือเสียงของพระเจ้าที่ก้องมาในจิตสำนึกของฉันว่า “ใจของเจ้าอยากออกไปรับใช้จริง ๆ หรือเจ้าอยากออกไปท่องเที่ยวตามความชอบนิสัยเดิมของเจ้ากันแน่” เวลานั้นฉันรู้สึกละอายใจจนบอกไม่ถูก เพราะฉันชอบท่องเที่ยวขึ้นเขาลงห้วยตั้งแต่เด็กจริง ๆ ฉันขอโทษพระเจ้าขอพระองค์ชำระจิตใจความเห็นแก่ตัวความคิดที่ไม่ถูกต้องออกไป ฉันจึงดูแลครอบครัวโดยไม่คิดไปไหนไกล ๆ อีกเลย คุยเรื่องพระเจ้าให้ลูก ๆ ฟังเสมอ ถ้ามีเหตุการณ์โยงใยมาถึงพระเจ้าฉันจะวางพระคัมภีร์และหนังสือคริสเตียนบนโต๊ะให้ทุกคนเห็นชัด ๆ หยิบไปอ่านได้เลย ในที่สุดลูกชายคนที่ 2  ก็รับเชื่อพระเจ้าก่อน ตามมาด้วยลูกสาวคนโต และลูกชายคนเล็กทุกคนมาหาฉันบอกว่าเชื่อแล้วว่ามีพระเจ้า ลูกทั้ง 3 คนต่างมีประสบการณ์ด้วยตัวเขาเองจริง ตั้งแต่ครั้งเรียนหนังสือจนจบทำงาก็ยังเห็นพระคุณพระเจ้าว่ามีต่อพวกเขาอย่างไร ฉันไม่เคยเร่งเร้าหรือโน้มน้าวลูกทั้ง 3 คนเลย ฉันเพียงแต่ทำหน้าที่ของฉันให้ดรที่สุด คืออธิษฐานให้พวกเขาเล่าเรื่องพระเจ้าให้เขาฟัง การเกิดผลพระเจ้าทรงกระทำด้วยพระองค์เอง (1คร.3:6-7)

         อาจารย์เคยสอนฉันว่า การดูแลครอบครัวเป็นงานรับใช้อย่างหนึ่ง และพระองค์ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก การเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาหรืออาสาสมัตที่มาทำงานที่โบสถ์เพื่อให้ใคร ๆ ได้เห็นว่าฉันเป็นผู้รับใช้ เป็นความคิดที่ถูกเพียงส่วนเดียว เพราะแต่ละคนย่อมมีภาระหนักที่แตกต่างกันไปตามวิถีชีวิตที่เป็นอยู่ ซึ่งพระองค์รู้และเข้าใจทุกคน ผู้เชื่อต้องรับใช้ด้วยใจที่พระเจ้าทรงนำจริง ๆ จึงจะได้ชื่อว่า รับใช้พระเจ้า (รม.8:28-29,1คร.7:20) ฉันจึงคิดว่าจุดเริ่มต้นของการรับใช้พระเจ้าที่พระเจ้าทรงพระปะสงค์ คือการเชื่อฟัง รับคำสอนมาพัฒนาชีวิตของตัวเองจนเป็นท่อพระพรไปสู่คนรอบข้าง คำพูด ความคิด การกระทำ หลักการดำเนินชีวิตของตัวเอง ฉันเป็นพยานชีวิตที่ถวายเกียรติ ให้ผู้คนรอบข้างที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า แม้แต่พี่น้องในความเชื่อ ได้เห็นพระคุณยิ่งใหญ่ ทรงฤทธานุภาพ เปี่ยมล้นด้วยความรักที่หาไม่ได้จากมนุษย์คนไหน หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ในโลกนี้

       ทุกวันนี้ฉันถามตัวเองตลอดเวลาว่า ฉันทำดีแค่ไหนแล้วและพระองค์อยากให้ฉันทำอะไรอีก ขอพระองค์ช่วยใหฉันสามารถรับใช้พระองค์ได้ตราบจนนาทีสุดท้ายของลมหายใจ.

อรัญญา  ศรีชอบธรรม

(สดด.101:8,86:11)

101:8 ทุก ๆ เช้าข้าพระองค์จะทำลายคนอธรรมทั่วทั้งสิ้นในแผ่นดิน จะตัดผู้กระทำความชั่วทุกคน ออกจากนครของพระยาเวห์

86:11 ข้าแต่พระยาเวห์ ขอทรงสอนพระมรรคาของพระองค์แก่ข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะดำเนินในความจริงของพระองค์ ขอทรงรวมใจของข้าพระองค์เป็นใจเดียว ให้ยำเกรงพระนานของพระองค์

 


















Visitor 178

 อ่านบทความย้อนหลัง