บนเส้นทางความเชื่อ (ตอนที่ 7/2) 


     

อรัญญา ศรีชอบธรรม

 

        การรับใช้ภายใต้การทรงนำ

ด้วยความถ่อมใจและซื่อสัตย์

ฉันคิดว่า “พรสวรรค์” เป็นสิ่งที่เกิดจากตัวเราเอง ฉันเรียนเก่งและเรียนสูงกว่าพี่น้องทุกคน เก่งแทบทุกเรื่อง เลยมีสันดานอวดเก่งแต่ยังดีที่ไม่จองหอง โดยนิสัยฉันเป็นคนอ่อนน้อม มีสัมมาคารวะ ผู้ใหญ่จึงชอบและเมตตาฉันแทบทุกคน การงานดูแล้วไม่ได้สวยงามมากจนมีลูก ชีวิตพลิกผันทุกอย่าง(คำพยานตอน 3:ความรักคือทุกทางเลือก) ฉันคิดทำอะไรเพื่อความร่ำรวยเพื่อชื่อเสียงของตัวเองล้มเหลวหมดทุกอย่าง แต่ถ้าอะไรก็ตามทำเพื่อคนอื่นจะเกิดผลดีกับคนคนนั้น แม้ตัวฉันยังตกต่ำเป็นคนไร้ค่าในสายตาคนอื่น ๆ เหมือนเดิม ฉันก็มีความสุขลึก ๆ อยู่ในใจ ไม่คิดอะไรมากใครจะดูถูกดูแคลนฉันอย่างไรก็เรื่องของเขาฉันไม่เกี่ยว

จนฉันเข้าโบสถ์ พระเจ้าเริ่มสร้างคุณค่าให้ฉันใหม่ พี่น้องอาจารย์ผู้รับใช้มองฉันอย่างเป็นคนที่มีอะไรดี ๆ ฉันทำอาหารทำขนมไปถวายได้รับคำชมจริง ๆ ใจฉันเริ่มผยอง จากแรกเริ่มคิดว่าทำอาหารไปตอบแทนพระคุณ กลายเป็นทำไปถวายเพื่ออวดว่าตัวเองมีฝีมือ จนวันหนึ่งฉันเตรียมของทุกอย่างเรียบร้อย จะลงมือทำไปถวายในวันอาทิตย์ มีเสียงเตือนในใจ “คิดว่าเก่งนักหรือ ถ้าเราไม่ให้เจ้ามีลิ้นที่ชิมอาหารได้อร่อย เจ้าจะทำได้อร่อยจริงหรือ” ฉันตกใจรีบขอโทษพระเจ้าทันที ล้มเลิกความคิดทำขนมไปถวาย เพราะแรงจูงใจเป็นความบาปหนาในตัวฉัน ฉันค่อย ๆ ปรับความคิดตลอดทั้งวัน จนยอมรับอย่างราบคราบว่า คือพระเจ้าที่ประทานพรสวรรค์ให้ฉัน คืนนั้นเข้านอนอย่างสบายใจ แล้วตกใจตื่นตี 3 กว่า มีแรงกระตุ้นให้ลุกขึ้นทำขนมที่ตั้งใจไว้ไปถวายโบสถ์ตอนเช้า ฉันโอ้เอ้ง่วงนอน จนทนแรงกระตุ้นไม่ไหว ลุกขึ้นทำขนมตอนตี 4 นำไปถวายตอนเช้าได้ แต่ครั้งนี้แรงจูงใจถูกต้อง คือการตอบแทนพระคุณพระเจ้า พระองค์ขัดเขลาฉันหลายครั้งเรื่องความถ่อมใจในงานรับใช้


                        

และครั้งที่ฉันต้องเจ็บตัวจนหลาบจำจนทุกวันนี้ เกิดขึ้นหลายปีมาแล้ว บ่ายวันเสาร์นั้นฉันกำลังจัดเตรียมวัตถุดิบเพื่อทำอาหารไปถวายในเช้าวันอาทิตย์ มีพี่น้องโทรมาปรึกษาปัญหาชีวิต จนเขาได้คำตอบที่พออกพอใจคลายทุกข์ หลังวางหูโทรศัพท์ฉันคิดขึ้นได้มาแวบหนึ่งว่า “ฉันนี่เก่งจริง ๆ พูดก็เก่ง รู้จิตวิทยาของมนุษย์ดีมาก สามารถหนุนใจให้กำลังคนที่กำลังทุกข์ใจให้หัวเราะได้ สบายใจ ตัวฉันเก่งนะ” ทันทีที่คิดจบฉันเดินสะดุดล้มลงกับพื้น เจ็บเอวยอกไปถึงขาลุกไม่ขึ้น ฉันคิดว่า “อ้ายมารซาตานนี่มันร้ายจริง ๆ รู้ว่าฉันจะทำขนมอาหารไปถวายพระเจ้าก็ขัดขวางไม่ให้ฉันทำ” แล้วเสียงหนึ่งก็สวนขึ้นมาในความคิดทันทีว่า “อะไร ๆ ก็โทษมาร เจ้าเป็นคนดี เจ้าเก่งนักหรือ เคยมองตัวเองหรือเปล่า” ฉันนั่งนิ่งตกตลึงอยู่กับพื้นอึดใจจึงร้องไหสารภาพบาปทันที และขอให้ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นคงอยู่นาน ๆ เพื่อฉันจะได้จดจำจำประสบการณ์ครั้งนี้ไปชั่วชีวิตของฉัน จากนั้นความถ่อมใจถูกฝังลึกลงในจิตใจฉันจริง ๆ (สดด.51:10)

พระเจ้าสอนฉันให้สำนึกอีกว่า ทุกงานรับใช้พระองค์จะทรงนำ และฉันต้องตัดสินใจว่าจะฟังเสียงของพระองค์หรือไม่ พระองค์ทดสอบการฟังเสียงของพระองค์ตลอดเวลาจนฉันหูไวมากขึ้น ได้ยินปุ๊ปทำปั๊ปเลย ขอเล่าบางเหตุการณ์ให้ฟัง เช้าวันนั้นฉันเดินออกจากตลาดหลังซื้อกับข้าวเสร็จถนนซอยกลับบ้านรถติดยาวเหยียด ฉันคิดเล่น ๆ ว่า ถ้ามีไมโครโพน

                                            

ก็ดี จะได้ประกาศข้าวประเสริฐเสียงดังให้คนในรถได้ยิน ทันใดนั้นก็มีเสียงกระตุ้นในใจว่า “เจ้าก็พูดไปสิ รู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ได้ยิน เราจะนำเสียงของเจ้าไปให้เขาได้ยินเอง” ฉันเลยพูดประกาศข่าวประเสริฐและเดินไปเรื่อยจนถึงหน้าบ้าน เนื้อหาของข่าวประเสริฐก็จบพอดี ฉันนำความทรงจำนี้มาใช้ตลอด ใช้กับญาติผู้ใหญ่ที่ป่วยไปรู้ตัว(คำพยานตอน6:อัศจรรย์การรักษาโรค) และได้อธิษฐานวิงวอนพระเจ้าพร้อมประกาศข่าวประเสริฐด้วย เมื่อฉันผ่าตัดครั้งหลังสุด ต้องอยู่โรงพยาบาลเดือนกว่าในห้องพักฟื้นมีคนไข้ 7 เตียง ฉันต้องติดเตียงอยู่ 20 กว่าวัน พร้องให้อาหารทางหลอดเลือดหนักต้องเสียบปลั๊กไฟ ฉันจึงนั่งนอนยืนอยู่ข้างเตียงตัวเอง เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ ประกอบกับร่างกายฉันอ่อนแอมาก ไม่ควรเข้าใกล้คนไข้คนอื่น ๆ เพราะอาจติดเชื้อได้ง่าย คุณยายท่านหนึ่งป่วยหนักหมดหนทางรักษาจริง ๆ คืนหนึ่งท่านทุรนทุรายทรมานมาก ฉันเฝ้าแต่อธิษฐานให้ท่าน จนที่สุดอาการของท่านดีขึ้นกลับบ้านก่อนฉัน หลังจากกลับบ้านพักฟื้น ฉันต้องไปพบหมอตามนัด คราวนี้เจอผู้หญิงคนหนึ่งเป็นดีซ่าน และเนื้องอกที่ขั้วตับอ่อน อาการหนักมาก เธอต้องมีถุงระบายของเสียติดอยู่หน้าท้องและนอนหงายได้ท่าเดียวเท่านั้น เธอบอกว่าถุงนี้จะต้องอยู่อย่างไปตลอดชีวิต ซึ่งมีเวลาไม่มากประมาณ 6-7 เดือน และเล่าให้ฉันฟังว่า โรคที่เป็นผ่าตัดไม่ได้ เธอเป็นที่ขั้วตับอ่อน แต่ฉันเป็นที่ปลายตับอ่อนจึงผ่าได้

เธอชวนฉันคุยก่อน พร้อมกับเอาหลักธรรมมาหนุนใจให้ฉันทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเธอในเวลานั้น ฉันจึงพูดเรื่องพระเยซูให้เธอฟัง เธอสนใจฟังมากฉันขอให้เธออธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระเยซู เหมือนที่ฉันอธิษฐานอยู่ทุกวัน จากวันนั้นเวลาฉันไปโรงพยาบาลบางครั้งจะพบเธอห่าง ๆ ฉับตอบไม่ได้ว่าเธออธิษฐานต่อพระเยซูหรือไม่   แต่ที่แน่ ๆ คือฉันอธิษฐานให้เธอ และทุกคนที่ฉันอธิษฐานเผื่อ  ฉันไม่เคยบอกให้เขารับเชื่อเพื่อให้เขารับการรักษาโรคจากพระเจ้า ฉันไม่เคยคาดคั้นใครเลย ได้แต่เล่าเรื่องพระเยซูให้เขาฟัง ถ้าเธออยู่ในสถานที่มาสารถรับฟังได้ แต่ที่ฉันทำทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาลคืออธิษฐาน ขอพระเจ้ารักษาคนป่วยทุก ๆ คน พร้อมให้ทุกคนมีโอกาสได้ยินได้ฟังเรื่องของพระเจ้า เพื่อเขาจะได้กลับใจใหม่ฉันเชื่อเสมอว่า ถ้าผู้รับใช้ของพระเจ้ามีใจอธิษฐานด้วยความถ่อมใจ บริสุทธิ์ใจ โดยไม่มีสิ่งใดแอบแฝงอยู่ในส่วนลึกของใจแม้เพียงฝุ่นที่มองไม่เห็น พระเจ้าจะทรงให้เกิดผลดีในคำอธิษฐานนั้น ๆ แน่นอน (มธ.6:6) และฉันก็เชื่ออีกเหมือนกันว่า แม้จะยังไม่ยอมรับเชื่อให้พระเยซูคริสต์ แต่ในยามเข้าตาจน ร้องเรียกพระเยซูให้ช่วย พระองค์ก็ช่วยแน่นอน เพราะฉันผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาแล้ว (มลค.4:2) ฉันเชื่อในความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ทุกคน แม้เขาจะรู้เรื่องของพระองค์แต่ยังไม่เชื่อ หรือไม่เคยได้ยินเรื่องพระองค์เลยได้แต่แสวงหาสิ่งศักดิสิทธิ์มาช่วยในยามทุกข์ร้อน พระองค์จะยื่นมือมาช่วยพวกเขาและหาทางให้เขาได้รู้จักพระองค์แน่นอน (สดด.34:4-6,6,8 กจ.17:22-23,33-34) ความรักความเมตตาของพระเจ้าไม่มีเงื่อนไขเด็ดขาดว่า ต้องเชื่อเท่านั้นจึงรับได้ พระองค์หว่านความรักความเมตตาไปทั่วโลกทุกคนมีสิทธิ์รับได้ ถ้าร้องขอพร้อมเอื้อมมือไปรับ แม้จะยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นผู้ให้

 ความจริงแล้วเงื่อนไขเด็ดขาด ต้องเชื่อเท่านั้นจึงรับได้ คือ ความรอด และจะเมงวดมากแม้ผู้เชื่อแล้ว หากทำตัวเหลวไหลก็ไม่สามารถรับพระคุณอันเป็นสุดยอดพระคุณแห่งจักรวาลที่มีผู้ใดให้ได้นี้ หากไม่สำนึกก่อนลมหายใจสุดท้ายจะขาดไป (มธ.7:21-23,25:1-13) 

 ความสัตย์ซื่อเป็นอีกหนึ่งหลักการท่าสำคัญมากของงานรับใช้ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เข้าใจได้ยาก ฉันอยากเป็นผู้รับใช้นั้นถูกต้อง พระเจ้าต้องการให้ผู้เชื่อทุกคนคิดอย่างนั้น แต่ลึกลงไปของการเป็นผู้รับใช้นั้นคืออะไร ทุกครั้งที่ออกไปประกาศฯ พูดความจริงถูกต้องครบถ้วน ผู้ฟังเข้าใจอย่างไร และความเข้าใจนั้นใครได้ประโยชน์ ตัวเรา พระเจ้า หรือทั้งตัวเราและพระเจ้า ทุกครั้งที่ช่วยกิจกรมใด ๆ ของโบสถ์แม้เพียงเล็กน้อย เคยคิดหรือไม่ว่าตัวเองสมควรได้สิ่งตอบแทน ทุกครั้งที่มีใครมาขอให้อธิษฐานเผื่อ มาปรับทุกข์ เคยคิดหรือไม่ว่าตัวเองดีกว่าเขามีพลังพระวิญญาณเต็มล้นกว่าคนอื่น ทุกครั้งวางมือรักษาคนป่วย เคยคิดหรือไม่ว่าตัวเองทำให้เกิดผล ใครไม่หายคือคนบาป ทุกครั้งที่ประกาศฯกับใครแล้วเขาไม่ฟัง ไม่เชื่อทันที เคยคิดหรือไม่ว่าปล่อยมันอย่าไปเสียเวลากับ

 คนบาปพวกนั้น ทุกครั้งที่เห็นคนป่วยหนักดูหมดหวัง เคยคิดหรือไม่ว่าอย่าไปเสียเวลากับคนนั้น ปล่อยเขาตายไป เพราะขืนอธิษฐานแล้วไม่เกิดผล ตัวเองจะถูกมองว่าไร้ซึ่งฤทธิอำนาจ ฯลฯ ยังมีงานรับใช้อีกมากมาย ที่แอบซ่อนอะไรไว้เบื้องหลังแอบแฝงอยู่จึงเกิดผลบางครั้งบางเรื่องกับบางคน มนุษย์ไม่อาจเข้าใจถ้าพระเจ้าไม่บอกให้รู้และสิ่งแอบแฝงนั้น คือความไม่ซื่อสัตย์ในงานรับใช้ ซึ่งผู้นั้นต้องรับผิดชอบเอง 

                            

ฉันเคยถูกพระเจ้าแฉสิ่งแอบแฝงของฉันมาแล้ว จนฉันรู้สึกเจ็บปวดละอายใจมาก เมื่อหลายปีมาแล้ว วันเสาร์นั้นฉันไปซื้อของเตรียมทำ ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าไปโบสถ์วันอาทิตย์ ถุงผักและของอื่น ๆ มาวางบนโซฟาทุกอย่ารวมอยู่ในถุงเดียวใบใหญ่ เมื่อจะผักมาล้างเก็บเข้าตู้เย็น ฉันหาผักคะน้า 3 กำที่เตรียมไว้สำหรับครอบครัวไม่เจอ ค้นจนถึงกันถุงก็ไม่มี คิดว่ามาค้าคงไม่ได้ยิบใส่มา ฉันเดินออกไปซื้อที่ตลาดอีกครั้งพร้อมซื้อหมูหยองถุงละ 30 บาทมา 1 ถุง เหลือเศษสตางค์ในมือ 2 บาท ขณะเดินถึงถนนทางออกตลาด เห็นผู้ชายแต่งตัวปอน ๆ พร้อมถุงใบใหญ่นั่งอยู่ริมถนนเปิดถุงข้าวเปล่ากินไม่มีกับข้าว ทีแรกคิดว่าเป็นขอทานจะให้เศษเหรียญในมือกับเขา แล้วฉุกคิดขึ้นมาว่า ถ้าไม่ใช่ขอทานเขาจะโกรธมาก เลยเดินผ่านหน้าเขาไป 2-3 ก้าว แล้วต้องหยุดกึก แล้วมีเสียงในใจว่า “หมูหยองในมือของเจ้าไงละ” ฉันคิดท้วงทันที “30บาทนะพระเจ้า” (เวลานั้นสภาพเศรษฐกิจในบ้านฉันย่ำแย่มาก) “หมูหยองในมือเจ้าไงละ” เสียงสะท้อนขึ้นมาอีก ฉันเดินย้อนกลับไปหาผู้ชายคนนั้น ถามว่ากินหมูหยองกับข้าวไหม ท่าทีเขาดีใจมาก ยื่นมือมารับทันที ไม่พูดอะไรสักคำ ฉันเดินร้องเพลงกลับบ้านอย่างมีความสุข พลางคิดอธิษฐานขอพรเจ้าอวยพรผู้ชายคนนี้ ฉันช่างเป็นผู้รับใช้ที่ดีจริง ๆ ชั่วอึดใจ เกิดเสียงสะท้อนข้นมาในใจอีก “ทำไมไม่อธิษฐานให้เขาได้รับความรอดพร้อมครอบครัวของเขาด้วยละ” ฉันจึงอธิษฐานตามการทรงนำนั้น มีความสุขใจอิ่มเอมจริง ๆ ฉันเป็นคนดีพระเจ้าใช้ฉัน

 แต่เมื่อฉันเข้าบ้าน เอาผักที่ซื้อไปวางในถุงเดิม ทันทีที่เปิดถุง ฉันทรุดฮวบลงที่ข้างโซฟาน้ำตาเอ่อท้น “พระเจ้าลูกรู้แล้ว ลูกขอโทษที่คิดผิดมาตลอด” เพราะคะน้า 3 กำที่ฉันหาไม่เจอวางอยู่ตรงหน้าฉัน พระเจ้าสอนให้ฉันสำนกได้ทันทีว่า พระองค์รักผู้ชายคนนั้นมากไม่ยอมให้กินข้าวเปล่า ๆ ฉันซึ่งทาสแต่พระองค์รักเสมือนลูก อยู่ใกล้ชายคนนั้นที่สุด พระองค์จึงทรงใช้ฉันไปไม่ใช่เพราะฉันเป็นคนดี เพราะพระเจ้าสามารถใช้ใครก็ได้ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดีหรือเลวให้ไปทำสิ่งที่พระองค์ต้องการได้ ซึ่งเราสามารถศึกษาเรื่องเหล่านี้ได้จากพระคัมภีร์ และเรื่องสำคัญที่สุดที่พระองค์ต้องการให้ทำ คือการประกาศข่าวประเสริฐ งานอย่างอื่น ๆ คือส่วนที่จะตามมาตามความเหมาะสมเท่านั้น 

                                     

ตามมาตามความเหมาะสมเท่านั้น 

ฉับขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์นำฉันทะลุไปสัมผัสบางส่วนของแก่นแท้ความรัก และความจริงของชีวิต ฉันเคยอ่านหนังสือมากพอสมควร ทั้งปราชญ์โบราณ เช่นโสกราตีส เพลโต้ ซุนวู สามก๊ก กระทั้งนักบริหารยุคใหม่ ๆ เช่น เดล คาร์เนกี ซิกล่าห์ จอร์น ซี แมกเวล ฯลฯ ฉันศึกษาหลักการของทุก ๆ คน ล้วนมีจุดเป้าหมายสุดท้ายจริง ๆ คือผลประโยชน์ของตัวเองเป็นสำคัญ

แต่จากประสบการณ์ครั้งนี้ พระเจ้าสอนให้ฉันสำนึกตลอดเวลาว่า ทุกงานรับใช้คือการทรงนำของพระเจ้า ฉันซึ่งเป็นผู้รับใช้ ต้อง ถ่อมใจ ซื่อสัตย์ มีความรักที่บริสุทธิ์ใจ ในทุกคนที่พระองค์นำไปให้พบเห็น ให้มองพระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่าง รูปแบบการรับใช้ของพระเยซูไม่เหมือนปราชญ์ทั้งหลายในโลก แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่คิดว่ามีมาตั้งแต่โบราณกาล เป็นความแตกต่างเห็นได้ชัดเจนระหว่าง ความสว่างกับความมืดมิด พระเยซูคือความสว่าง พระองค์ยอมเป็นทาสรับใช้พระเจ้าพระบิดา ยอมทำทุกอย่างตามคำสั่งของพระบิดา และยอมสละชีวิตของตนเองเพราะมวลมนุษยชาติด้วยความรักอันเปี่ยมด้วยพระเมตตาคุณจริง ๆ พระองค์ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย !

ณ วันนี้เส้นทางความเชื่อของฉันจะทอดยาวไปอีกไกลแค่ไหน ฉันไม่อาจรู้ได้ ฉันเดินกับพระเจ้าวันต่อวัน และหวังว่าคำพยานของฉันจะทำให้พี่น้องรู้จักพระเจ้ามากขึ้น และหากท่านร้องขอพระเจ้า ท่านจะได้พบพระองค์แน่นอน ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ (สดุดี34:5-6)

 



Visitor 125

 อ่านบทความย้อนหลัง