พระเจ้าสอนผม

  

ศบ.

 ปี 1986 เป็นปีที่สอง ที่เราจัดประกาศกลางสนาม ในวันคริสตมาส หลังจากเราประสบความสำเร็จอย่างงาม ในปี 1985 อันเป็นปีประวัติศาสตร์  ซึ่งมีคุณหมอปรีดา  โมทนาพระคุณ  มาเทศนา  มีผู้มาร่วมงาน 650 คน มีผู้คนออกมาต้อนรับเชื่อ  80 คน  ซึ่งไม่เคยปรากฏเช่นนี้ ในคริสตจักรของเรามาก่อน  พอถึง 1986 ปีถัดมา  เราก็คาดหวังว่าจะเกิดผลมากเช่นเดียวกัน ซึ่งก็ได้ผลดีไม่แพ้ปี 1985 แต่ผมเองซิ รู้สึกหงุดหงิด ในเรื่องละครคริสตมาส หงุดหงิดถึงขั้นกลับบ้านคอตก 

ปกติ การจัดละครในวันคริสตมาสนั้น  คริสตจักรของเรา จัดมาเป็นปี ๆ เรื่องโน้นบ้าง  เรื่องนี้บ้างสะเปะสะปะ  แต่ในช่วงนั้น  มีทีมวายแวมจากฮ่องกง  มาเยี่ยม และบางครั้งก็พักอยู่กับเรา  เขามีชื่อว่า FEET  (Far East Evangelistic team)  เป็นคนหนุ่มสาว ประมาณ 40 คน  ส่วนมากเป็นฝรั่ง  เราทำจดหมายติดต่อ มหาวิทยาลัย  เพื่อพาทีมเหล่านี้ไปแสดง  ผมพาพวกเขาไปแสดงที่ ม. รามฯ 1,  ม. รามฯ  2,  โรงเรียนคริสตธรรมศึกษา  โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย  ม.เกริก  วิทยาเขตเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง ละครที่โดดเด่นมากของทีมนี้ คือเรื่อง “สองแผ่นดิน” ( The Tale of Two Kingdoms)   เป็นละครใบ้  คือตัวแสดงไม่ต้องพูดเลย  มีแต่เสียงเพลงบรรเลง และตัวแสดงก็แสดงไปตามเสียงดนตรี   ผมเป็นล่ามพากย์ให้กับละครเรื่องนี้  ตามที่ต่าง ๆ จนช่ำชอง      

เป็นปกติ ที่ทีมนี้ไม่อยู่เมืองไทยในช่วงคริสตมาส  เราจึงมิอาจวานใช้ พวกเขามาเล่นช่วง เทศกาลคริสตมาส   

          เราจะทำยังดีล่ะ   

               

ผมเกิดความคิด  “ถ้าเราเล่นละครเรื่องนี้เสียเอง โดยใช้คนของเรา  ไม่เลวเลย  น้อง ๆ อนุชนของคริสตจักรก็รู้จักละครเรื่องนี้อย่างดี  เพราะเห็น ทีม FEET แสดงหลายครั้งเหลือเกิน”  ความคิดนี้โผล่เข้ามาในใจผม ประมาณเดือนพฤศจิกายน   ผมรีบติดต่อไปยังวายแวมทีมฮ่องกง  เขาอนุญาตให้เราแสดงเรื่องนี้ได้  แต่ไม่ให้เทป ดนตรีมา  ผมเข้าใจว่าผู้ผลิตต้นฉบับอาจมีลิขสิทธิ์ เราเหลือเวลาอีกเพียง เดือนครึ่งก่อนถึงคริสตมาส  ผมตัดสินใจประกอบดนตรีด้วยตนเอง   การทำดนตรีให้ละครใบ้  เราต้องนำดนตรีตอนต่าง ๆ มาผสมผสานกัน ให้ได้ความยาว 25 นาทีตามท้องเรื่อง  ผมมีวิดีโอ เรื่องสองแผ่นดิน ของวายแวม ที่เคยถ่ายไว้เมื่อตอนที่ทีมนี้มาแสดงที่ซอยพระพินิจ เป็นแบบ  ผมจะหาเสียงดนตรีมาแต่ไหน   ผมตัดสินใจ วิ่งร่ายหาดนตรีมาประกอบจากเทปดนตรีที่วางขายเป็นแผงทั่วไป  ซึ่งน่าจะทำได้   แต่ผมไม่รู้จักวงการเพลงในเมืองไทยเลย  ผมไม่รู้แม้แต่น้อย  จึงเที่ยวเดินตามร้านที่เขาขายเทปดนตรี  แถวสยาม  ประตูน้ำ  พระโขนง ฯลฯ  ผมจำไม่ได้ว่าไปที่ร้านไหนบ้าง  เพื่อหาซื้อเทปดนตรี แล้วผมก็พบว่าเทปดนตรีต่าง ๆ ที่เป็นไตเติ้ลของหนัง เรื่องต่าง ๆ  และ เพลงร้องต่าง ๆ นั้น เมืองไทยเป็นแหล่งหาง่ายที่สุด  คงจะหาง่ายที่สุดในโลกหรือเปล่าก็ไม่รู้  ราคาก็ถูก  เช่นม้วนละ 20-30 บาท   ผมก็กวาดซื้อมันมาอย่างคนไม่รู้  เห็นปกเทปอะไรดูเข้าท่าก็ซื้อมา  เพราะดนตรีเหล่านี้ผมก็ไม่เคยฟัง และหนังส่วนมาก ผมก็ไม่เคยดู  

 ตอนนั้น  การอัดทำเพลงใหม่  ผมไปใช้บริการห้องอัดเสียงของ สื่อมวลชน “ทางชีวิต” ที่น้องเฮ็นรี่  ทำหน้าที่ในห้องอัดเสียงอยู่   น้องเขายังใช้เครื่องอัดเสียง เทป Reel เป็นเทปยาวต่อเนื่องม้วนโต ๆ   การอัดเสียงลงในคอมพิวเตอร์  ใส่ฮาร์ดดิสค์  อัดลงแผ่น ซีดี  หรือ ลงแฟลชไดรท์  อย่างทุกวันนี้ยังไม่มี โปรแกรมส์การตัดต่อเพลงในคอมพิวเตอร์ยังไม่มี   ที่หนักหน่วงไปยิ่งกว่านั้น  ก็คือ ผมต้องหาเสียงดนตรีจากม้วนเพลงต่าง ๆที่ ผมกว้านซื้อมา    เป็นดนตรีที่เหมาะสม มาตัดลงในตอนต่าง ๆ ให้ตรงกับเรื่อง  เช่น ฉากพระเจ้าสร้างโลก ฉากพระเจ้าเต้นรำกับมนุษย์  ฉากมารออกมา  ฉากพระเยซูถูกตรึงที่กางเขน  จากม้วนเทปที่ผมยังไม่เคยฟังมันมาก่อน  ทำไปก็อธิษฐานไป  นั่งในรถก็ฟังเพลง  ว่างก็คัดเพลง   พอเห็นว่าเสียงดนตรีอะไรเข้าท่า  ผมก็ใช้ปากกาเขียนไว้ว่ามันอยู่ตรงไหน เช่น อยู่ในหน้า A หรือ B ตรงประมาณตำแหน่งต้น ๆ หรือกลาง ๆ ของเทปเพลงม้วนนั้น ๆ  พร้อมกับระบุว่าเป็น “เสียงนุ่ม ๆ”เหมือนพระเจ้าสร้างโลก  หรือเป็น “เสียงดุดัน”เหมือนมาร  หรือ “เสียงเศร้า” เหมือนตอน มนุษย์ทุกข์ยาก ฯลฯ   แล้วก็นำเทปทั้งกองที่คัดมานั้น  เข้าไปประกอบให้เป็นดนตรีในห้องอัดเสียง   เมื่อเข้าไปที่ห้องอัด ก็ต้องทำให้เสร็จในคืนเดียว  น้องเขาก็ดีเหลือหลาย  ช่วยผมอย่างดียิ่ง  ไม่ต้องสงสัยละครับ  งานเสร็จก็สว่างคาตา    

                   


       

เมื่อเทปดนตรีเสร็จ  ก็เข้ามาต้นเดือนคริสตมาสแล้ว   น้อง ๆ มีโอกาสซ้อมละคร เรื่องนี้กัน ไม่ถึง 20 วัน แต่ทุกคนก็ทุ่มเทซ้อมอย่างจริงจัง พร้อม ๆ กับการตั้งเวทีที่สนาม  เพื่อรองรับผู้คนจำนวนมากในวันนั้น  

         ละครเรื่องนี้ ใช้เวลา 25  นาที ใช้ผู้แสดง 10 คน แสดงเป็นพระบิดา 1 คน เป็นพระบุตร 1 คน  เป็นทูตสวรรค์ที่ดี 2 คน     และเป็นทูสวรรค์ขบถ (มาร)  1 คน  เป็นมนุษย์ชาติต่าง ๆ  4 คน   วันซ้อมใหญ่  คือคืนก่อนที่เราจะจัดงานคริสตมาส  ผมเฝ้าดูและคอยพากย์   อย่างที่ไปพากย์ เรื่องนี้ให้ทีม FEET  ตามมหาวิทยาลัย   “สุดยอด  ไม่น่าเชื่อว่าพระเจ้าให้ดนตรี และอนุชนมาแสดงละครเรื่องนี้ได้อย่างไร  อัศจรรย์แท้”   ผมคิดรำพึง อย่างพออกพอใจ 

        ปกติแล้ว  การจัดงานคริสตมาส  เราจะมีการแยกแผนกกันทำ  เช่น  ประชาสัมพันธ์  อาหาร ไฟฟ้า เวที   ตกแต่ง  รถรับส่ง  รายการและละคร  แต่ละแผนกจะมีหัวหน้า   ปีนั้นอาจารย์บอบบี้ท่าน  อยู่ฝ่ายรายการ

        หลังเทศนา และมีคนออกมารับเชื่อแล้ว   ก็ถึงรายการละคร   ผมเตรียมทำหน้าที่พากย์ละครเรื่องนี้  ด้วยความมั่นใจ 

        แต่ด้วยเหตุผลขัดข้องประการใดผมไม่ทราบ ไมโครโฟนเกิดใช้ไม่ได้   ดนตรีบรรเลงเริ่มขึ้นแล้ว นักแสดงบนเวทีก็เริ่มแสดงแล้ว แต่

                     

ไมโครโฟนที่ผมใช้พากย์ไม่มีเสียง ผมคิดว่าละครใบ้ไม่เหมาะกับชาวบ้านจริง ๆ หากไม่พากย์บรรยาย  ว่าใครเป็นใคร เช่น  พระบิดามีความสุขใจอย่างไรเมื่อสร้างคนเรา  และเศร้าพระทัยแค่ไหนเวลาคนเราทำบาป   ผมคิดว่าชาวบ้านคนไทยจะรู้เรื่องได้ยากมาก  ผมอึดอัดอยากสั่งให้หยุดเล่น  และเริ่มแสดงละครใหม่อีกที  ความจริง ไม่มีใครในที่ประชุมรู้สึกอะไรเพราะ การที่ละครใบ้ ไม่มีเสียงพากย์ ก็เป็นเรื่องธรรมดา  คนส่วนมาก ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามันต้องพากย์ด้วย  อาจารย์ในฐานะเป็นผู้ควบคุมรายการ และเวลาตัดสินใจ ให้ละครเล่นต่อไปจนจบ  โดยไม่มีเสียงพากย์  ครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี และผมก็คิดว่าอาจารย์ท่านตัดสินใจถูกต้องแล้ว  แต่ผมเองค่อนข้างหงุดหงิดมาก  รู้สึกเหมือนคนที่ล้มเหลว พ่ายแพ้  ผิดหวัง เหมือนคนสอบตก  ผมใช้เวลากว่าจะทำใจได้อยู่หลายวัน   ในขณะที่ผมสังเกตว่าคนอื่น ๆในโบสถ์ไม่ได้รู้สึกอะไร ทุกคนแฮปปี้ดี   

 นี่เป็นเรื่องความผิดหวังเล็ก ๆ เรื่องหนึ่งเมื่อทำงาน  ผมได้บทเรียนมากจากเรื่องนี้  

1. ถ้าเราคิดว่าเราจะทำอะไรเพื่อพระเจ้า   และเห็นว่ามันดี  พระเจ้าจะช่วยให้เราทำได้   เทปเพลง 2 แผ่นดินที่ทำคราวนั้น  เรายังนำมาใช้อีกหลายต่อหลายครั้งมาก  ทั้งให้ใครต่อใครยืมใช้กว้างขวาง รวมทั้งพี่น้องวายแวมรุ่นหลัง ยังเคยมาขอจากเรา   น้อง ๆที่เล่นละคร เรื่องนี้ก็เก่งขึ้นอย่างมาก  เป็นประโยชน์ในการประกาศพระกิตติคุณ

2. การมีเวลาจำกัด เพื่อทำอะไรในงานพระเจ้า  ทำให้เราขยัน  ไม่เอ้อระเหย ลอยชาย  ไปเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ยามต้องนอนดึกเพื่อให้งานเสร็จ  ก็ต้องดึก 

3. จะทำอะไรเพื่อพระเจ้า ต้องทำให้เกิดงาน  ทำให้ได้งานได้การ  เปาโลว่า  “ข้าพเจ้ามิได้เป็นนักมวยที่ชกลม”  ชกวืด ๆ วาดๆ ไม่ได้น็อคใครสักคน  เป็นพยานเพ้อไปตามลม  ไม่นำใครมาหาพระเจ้าได้สักคน  ก็ไร้ประโยชน์

 4. หากทำดีที่สุดแล้ว  ผิดพลาดไปจากที่คิด  ก็ยังดีกว่าที่เราไม่ได้ทำอะไร  ดร. โรเบิร์ท ชูเล่อร์ ท่านว่า “การพยายามทำอะไรเพื่อพระเจ้า  และล้มเหลว  หรือไม่สมบูรณ์แบบ  ดีกว่า ไม่เสี่ยงทำอะไรเพื่อพระองค์และสมบูรณ์อยู่ในตัว  ( It’s better to do somethings imperfectly  than to do nothing perfectly.)  อีกตอนหนึ่งท่านว่า “ผมเลือกพยายามทำอะไรยิ่งใหญ่  และล้มเหลว  มากกว่า ไม่พยายามทำอะไร และสำเร็จ” (I’d rather attempt something Great and fail, than attempt nothing and succeed!) 

 5. ผิดเป็นครู   ในชีวิตการรับใช้  ผมผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วน  แต่ผมเรียนรู้สิ่งหนึ่ง    ความผิดที่เกิดขึ้นทุกครั้ง  สอนให้เราทำอะไร ๆ ดีขึ้น  การทำผิดซ้ำในสิ่งที่เราผิดแล้ว  ซ้ำ ๆ ซากๆ แสดงว่าเรามิใส่ใจ  แต่ถ้าเราค้นหาที่ผิด  เราจะได้รับบทเรียนสำหรับงานในอนาคต  ช่วงนี้  ทุกวันศุกร์ผมมาช่วยวิเคราะห์งานของเขต  เราพบจุดอ่อนในงานเสมอ  คนฉลาดคือคนที่ยอมให้สอน  และคนที่มีปัญญาคือ คนที่จับที่ผิดของตนได้ และแก้ไข  ไม่เคยมีงานใดสมบูรณ์แบบตั้งแต่การทำครั้งแรก  แต่มันดีขึ้น เมื่อเราแก้ไข   

6.  ความผิดพลาดเป็นเพียงส่วนหนึ่งสู่อนาคต  วันนั้น ผมกลับบ้านหงุดหงิด   พระวิญญาณก็ถามผมในใจว่า  “ผมเสียอะไรไป”  แค่คน ในคืนนั้นไม่ได้ยินเสียงพากย์   ความเข้าใจในบทละครของเขา    อาจได้ 50-60 เปอร์เซ็นต์     ถ้าได้ยินเสียงพากย์ของผม ก็แค่เพิ่มความเข้าใจเป็น 70-80 เปอร์เซ็นต์  ก็เท่านั้น   ผมยังเป็นผมคนเดิม มีความรู้เท่าเดิม  ละครเรื่องนี้ คนเหล่านั้นยังมีโอกาสดูอีก  อย่าเพิ่งเช็คบิลตัวเอง โรเบิร์ท ชูเลอร์ ท่านว่า  “ความสำเร็จไม่ยั่งยืน  และความล้มเหลว ก็ยังไม่เบ็ดเสร็จ” (Success is never certain  and failure is never final.) อย่าเพิ่งสรุปว่าชนะ และอย่าเพิ่งปิดบัญชีตัวเองว่าพ่ายแพ้

7.  มองภาพรวม  อย่ามองอะไรแคบ ๆ   เราจัดคริสตมาสเสียดิบดี  มาคนมาฟังเยอะ อาหารก็ดี รายการก็ดี  ละครก็ดี คำเทศน์ก็เยี่ยม  อะไรๆ ดีหมด  แล้วเรากลับนอนยิ้มกริ่มอยู่ที่บ้าน  “ว่าได้รับใช้พระเจ้าแล้ว”  แค่นั้นหรือ  พอรุ่งขึ้นวันอาทิตย์ คนที่ออกมารับเชื่อ ไม่มาโบสถ์สักคน  ไม่มีใครติดตามพระเจ้าสักราย  “แล้วเราก็ไม่สนอะไร”  “เอ๊า! อย่างนี้เรารบเป็นหรือเปล่า”  ชาวสวนทำสวน เป็นริ้วงดงาม แต่ไม่ผลไปขายที่ตลาด จะมีประโยชน์อะไร พระเยซูเสด็จไปยังต้นมะเดื่อ  มีแต่ใบ  ไม่มีผล  พระองค์ไม่ทรงพอพระทัย  กิจกรรม คือใบเท่านั้น  อย่าพอใจแค่ใบเต็มต้น เราต้องมุ่งที่ผล เป้าหมายของการประกาศ  กลุ่มเซลล์ งานคริสตมาส การสอนพระคัมภีร์  คือ มีคนรับเชื่อ เป็นสาวกติดตามพระองค์จนตราบเท่าวันตายนะครับ

ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ           


                    



Visitor 80

 อ่านบทความย้อนหลัง