เหมือนยกภูเขา ออกจากอก

    

ศบ.

“บุคคลผู้ได้รับอภัยการละเมิดแล้ว  ก็เป็นสุข  คือผู้ทรงกลบเกลื่อนบาปให้นั้น” 

         เมื่อคราวเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในบ้านเราเมื่อปี 1997 รัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาทจากเงินดอลลา ของสหรัฐฯ ส่งผลทำให้ค่าเงินบาทลดลงอย่างมาก   บริษัทเอกชน จำนวนมากในบ้านเรามีหนี้สินทวีขึ้นมากในชั่วข้ามคืน  ธุรกิจเล็กใหญ่ ล้มละลาย มีหลายคนหาทางออกไม่ได้ ฆ่าตัวตายก็มี  ช่วงนั้นผมเดินทางลงไปภาคใต้ นั่งรถไฟคุยกับนักธุรกิจคนหนึ่ง  หน้าตาเศร้าสร้อย เขาบอกผมว่า “เศรษฐกิจถดถอยคราวนี้  เขาเป็นหนี้หลายสิบล้าน คงใช้เวลานานกว่าจะหลุดหนี้สินก้อนโต “จากวันนี้ผม และครอบครัวคงสุขใจไม่ได้ไปอีกนาน” ชายคนนี้ปรารภ ผมก็ได้แต่ปลอบใจให้สู้ชีวิตต่อไป

         แค่หนี้สินค้างคาที่เป็นเงินตรา  คนเรายังหาความสุขไม่ได้อย่างนี้ แล้วหนี้ความผิดบาป ที่วันหนึ่งเราต้องชำระมันจะเป็นภาระบนบ่าเราสักแค่ไหน มันโตเป็นภูเขาเลากา เกินแบกแท้ ๆ  

         คนไทยเราว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เปาโลกล่าวว่า “หว่านพืชอะไรลง ก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น”(กาลาเทีย 6:7) 

ทีนี้เราเองได้ทำผิดเอาไว้มากมาย จะเป็นอย่างไร

         ความผิดภายใต้การปกครองของพระเจ้า เราต่างต้องรับโทษทั้งสิ้น  เราจึงเป็นเหมือนดั่งนักโทษ รอวันพิพากษา ไม่เว้นใคร ผมก็เช่นเดียวกัน

(1) ในโลกเราขาดสันติสุข

“ใจที่กล่าวโทษตัวเรา  ย่อมกังวล  ไม่มันใจที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า”(1 ยอห์น 3:19-20) เราเดินไปไหน  ทำอะไร สั่งสมทรัพย์ไว้แค่ไหน  จะกิน จะดื่ม จะทำอะไร  จะหาความสำราญให้ตนเอง อย่างคนไม่แยแสกฎหมาย  แต่ลึก ๆในใจ จิตสำนึกมันฟ้องร้องเราว่า เราทำผิดต่อพระผู้สร้าง พระผู้ปกครองเรา เราไม่มีสันติสุข  ยิ้มไม่ออก  แต่ละวันก็ หัวเราะแกนๆไปอย่าง คนมีชนักติดหลังอยู่ ไร้ความสุข เหมือนนักธุรกิจติดหนี้คนนั้น ดาวิดบรรยาย ใจของพระองค์ที่ทำผิดว่า “ร่างกายของข้าพระองค์ร่วงโรยไป  โดยการคร่ำครวญวันยังค่ำของข้าพระองค์   พระหัตถ์ของพระองค์หนักอยู่บนข้าพระองค์  ทั้งวันทั้งคืน กำลังของข้าพระองค์ก็เหี่ยวแห้ง  อย่างความร้อนในหน้าแล้ง” ( สดุดี 32:3-4)

                                 

(2) โลกหน้าเราเข้าสู่การพิพากษา  

         ผู้เขียนฮีบรูกล่าวว่า “มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์แล้วว่า  จะตายครั้งเดียว  และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษา” (ฮีบรู 9:27)  เปาโลกล่าวว่า “จำเป็นที่เราทุกคน  จะต้องปรากฏตัวหน้าบัลลังก์พระคริสต์  เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้  แล้วแต่จะดีหรือชั่ว” ( 2 โครินธ์ 5:10) 

         จึงมีคำถามว่า  “แล้วเราจะพ้นโทษทัณฑ์ได้อย่างไร?”  นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมแต่งขึ้นมาขู่ ไม่ใช่เรื่องการเขียนเสือให้วัวกลัว แต่มันเป็นเรื่องจริง  เอ้า!  ลองตอบคำถามตัวเองอีกที (1) จริงไหมที่โลกอันมีระเบียบใบนี้ ต้องมีพระผู้สร้าง  (2) จริงไหม ที่ทรงปกครองคนเราอยู่  (3) จริงไหม  ที่ตัวแท้ ๆ ไม่ได้ดับสูญ  แต่เรายังจะก้าวไปสู่โลกหน้า ความตายจึงน่ากลัวเหลือเกิน เพราะเราเข้าสู่การพิพากษาเมือ่ใด เราพินาศเมื่อนั้น

                                       

วันก่อนผมไปปั่นจักรยานที่สวนหลวง ร.9 ผมเอาใบปลิวไปแจกอาซิ้มคนหนึ่งรับใบปลิวไป ใบปลิวใบนั้น เขียนว่า “หว่านอะไร เกี่ยวสิ่งนั้น” ผมอธิบาย ว่านี่คือหลักการปกครองของพระเจ้า “ทำดี ย่อมได้ดี ทำชั่ว ย่อมได้ชั่ว” แกสวนผมมาทันทีว่า “ไม่จริงเลย คนที่โกงแก วันนี้แก่จะเข้าโลงแล้ว ไม่เห็นว่ามันจะล่มจมลงที่ไหน ส่วนแกถูกเขาโกง มีแต่ตกต่ำลง” แกพูดอย่างขมขื่น ขึงขัง จริงจังมาก ผมหยุดฟังด้วยเห็นอกเห็นใจ และบอกอาซิ้มว่า เพราะโลกนี้มีพระเจ้า  พระองค์ทรงปกครองโลกอยู่  ชีวิตคนเราไม่ได้สิ้นสุดที่ความตาย เราจะต้องไปปรากฏตัวหน้าบัลลังก์พระคริสต์   ตอนนั้นแหละ คนทำดีจะได้ดี  และคนทำชั่วจะได้ชั่ว อย่างแน่นอน อาซิ้มเชื่อผมหรือไม่ ผมไม่ทราบ  แต่นี่คือความจริง

          กลับมาสู่คำถามเดิม  “แล้วเราเองจะพ้นโทษได้อย่างไร” นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนไทย 

 (1) เราปล่อยไปตามเวรตามกรรม 

           แต่เราก็ยอมรับอย่างทอดอาลัยตายอยากว่า  ให้เป็นไปตามเวรตามกรรม แปลกันง่าย ๆ ก็คือ โทษบาปจะเกิดอย่างไร ก็ให้มันเกิด  แต่พระเจ้าตรัสว่า “เราพอใจในความตายของคนอธรรมหรือ แต่เราพอใจให้เขากลับจากความชั่วของเขา และมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ” (เอเสเคียล 18:23) ครับ  พระเจ้าผู้รักเราไม่เห็นด้วย ให้เรารับเวรรับกรรม แต่อยากให้เรากลับใจใหม่ต่างหาก

                                     

(2) เราทำบุญล้างบาป 

     ลางคนคิดว่า  ถ้าตนเองทำบุญก็คงแก้บาปได้ ถ้าเขาไปผิดกับภรรยาคนอื่น  วิธีแก้ก็คือ ไปช่วยสงเคราะห์คนจนมาก ๆ แล้วความผิดนั้นจะถูกหักล้างกันไป  ใครตั้งทฤษฎีนี้ให้ก็ไม่ทราบ  ความดีอย่างนี้เอง ที่พระธรรมอิสยาห์ เรียกว่า เหมือนเสื้อผ้าที่สกปรก (อิสยาห์ 64:6) มันไม่เกี่ยวกันเลย เราต้องสำนึกผิด เลิกทำบาป และขอการอภัยต่างหาก

                                   

เรารอดโดยการไถ่โทษที่ไม้กางเขน

       ข่าวดีที่ผมอยากบอกก็คือ   ในสภาพเช่นนี้  พระเจ้าทรงส่งพระเยซู  พระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เข้ามาในโลก  ทรงสอนให้เรารู้ว่าอระไรถูกอะไรผิด  พระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจ  สามารถบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บของคนที่มีความทุกข์  พระองค์รัก สงสาร เห็นใจเราที่ป่วยไข้  และถูกมารเบียดเบียน 

        สำคัญที่สุด  พระองค์ทรงไถ่โทษบาป

        พระองค์มิได้ทำผิดสิ่งใดที่จะต้องโทษ แต่พระองค์ยอมวายพระชนม์ที่ไม้กางเขน รับโทษแทนผู้ที่กลับใจใหม่และวางใจพระองค์ 

                                              

ปกติโทษของบาป ไม่อาจมีการยกกันดื้อๆ โดยไม่มีการชำระหนี้ความผิด  ด้วยเหตุนี้  พระองค์จึงทรงพลีพระชนม์เป็นการชำระหนี้ความผิดแทนเรา  ดังนั้น หนทางที่มนุษย์เราจะรอดพ้นจากการพิพากษา  คือ โดยการไว้วางใจในการไถ่โทษที่ไม้กางเขน เพื่อเรา (1) เมื่อเรากลับใจใหม่  สำนึกในความผิด สารภาพบาป เลิกทำบาปที่เรารู้   ออกจากการใช้ชีวิตอย่างเห็นแก่ตัว  หันมารักพระองค์เป็นที่หนึ่ง รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง  (2) วางใจในการไถ่โทษบาปที่ทรงจัดเตรียมไว้ให้ และ(3) พร้อมก้าวเดินกับพระเจ้าต่อไป 

        พระเยซูมีอำนาจสามารถยกความผิดบาปได้ ครับ เมื่อพระองค์ผู้ซึ่งวันหนึ่งจะพิพากษาตัวเราทรงอภัยโทษให้เรา เราก็เป็นอิสระที่ใช้ชีวิตใหม่  เรามีสันติสุข ความชื่นชมยินดี นี่เป็นเหตุผลที่ดาวิดกล่าวว่า “บุคคลผู้ได้รับอภัยการละเมิดแล้ว  ก็เป็นสุข  คือผู้ทรงกลบเกลื่อนบาปให้นั้น” เปาโลกกล่าวว่า “พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว  ใครเล่าจะปรับโทษอีก” (โรม 8:33-34)

                                      

เหมือนยกภูเขาออกจากอก

       ผมจะบอกให้ สิ่งที่เคยหนักอึ้งอยู่นั้นจะมลายหายไป เหมือนยกภูเขาออกจากอก ท่านจะมีสันติสุข มีความยินดี  ไร้กังวล มั่นใจก้าวหน้าไปในชีวิตคริสเตียน ให้เราทำดีตามพระดำริของพระองค์ (เอเฟซัส 2:9)   และมั่นใจที่จะก้าวสู่โลกหน้า เหมือนที่เปาโลกกล่าวว่า “เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์” (โรม 8:1) ส่วนพระพรอื่น ๆ เช่น สุขภาพ ความแข็งแรง  พระองค์จะทรงประทานให้ตามมาอย่างแน่นอน 

        ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ 

 



Visitor 153

 อ่านบทความย้อนหลัง