ร้องโฮซันนาจากใจ    

บทความวันปาล์ม ซันเดย์

     

ศบ.

“​พระ​องค์​ตรัส​ตอบ​เขา​ว่า “เรา​บอก​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า ถึง​คน​เหล่า​นี้​จะ​นิ่ง​เสีย ศิลา​ทั้ง​หลาย​ก็​ยัง​จะ​ส่ง​เสียง​ร้อง” (ลูกา 19:40)

           สามปีที่ผ่านมา พระเยซูทรงประกาศพระกิตติคุณ  ช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากมาย ในแคว้นกาลีเป็นส่วนมาก  พระองค์ทรงเปิดตาคนตาบอด เปิดหูคนหูหนวก เปิดปากคนใบ้  รักษาคนง่อยให้เดินได้  คนโรคเรื้อนหายสะอาด ทรงเปลี่ยนน้ำเป็นน้ำองุ่นในงานเลี้ยงสมรส  ทรงเลี้ยงผู้คนนับหมื่นอย่างอัศจรรย์ด้วยขนมปัง 5 ก้อนปลา 2 ตัว     ล่าสุดที่บ้านเบธานี  ทรงเรียกลาซารัส  ซึ่งเสียชีวิตไป 4 วันแล้ว ให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากความตาย ในอดีตผู้เผยพระวจนะเคยทำการอัศจรรย์ เช่น เอลียาห์  อาลีชา   แต่การอัศจรรย์ของผู้เผยพระวจนะทั้งหลายมิอาจนำมาเทียบเคียงกับการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงกระทำ  “เมื่อคนทั้งหลายได้เห็นหมายสำคัญซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ เขาจึงพูดกันว่า “แท้จริงท่านผู้นี้  เป็นผู้เผยพระวจนะนั้น ที่ทรงกำหนดให้มาในโลก” (ยอห์น 6:14)   แล้วพวกเขาก็จะมาจับพระองค์มาตั้งให้เป็นกษัตริย์   

                         

แต่ก่อน     เมื่อพระเยซูเสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลสำคัญ ๆ ครั้งก่อน ๆ   พระองค์จะเสด็จเข้ามาอย่างเงียบ ๆ ไม่เอิกเกริก  ทรงปรากฏตัวกับผู้คนในบางช่วง  บางกลุ่ม (ยอห์น  5:1;7:37) ในกาลิลี เมื่อพระองค์ประกาศแผ่นดินของพระเจ้า  พระองค์เสด็จไปที่ไหน ๆ ผู้คนจำนวนมาก  จะแห่แหนติดตามพระองค์  จนพระองค์หาเวลาพักผ่อนได้ยากยิ่ง  “พระอาจารย์เจ้าข้า  ท่านมาที่นี่เมื่อไร” (ยอห์น 6:25) นี่คือเสียงเรียกหาพระองค์   แต่คราวนี้ไม่เหมือนครั้งใด ๆ  คือพระองค์เสด็จะเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างเปิดเผย  ทรงลูกลา  จากหมู่บ้านเบธานี  ลงเนินลาดลงของภูเขามะกอกเทศ  และค่อย ๆ ลาดชันขึ้นสู่ประตูกรุงเยรูซาเล็ม  

           มันเป็นวาระของการเปิดพระองค์แก่โลกทั้งโลก  ช่วงนั้นเป็นเทศกาลปัศคา  เป็นเทศกาลที่ชาวยิวจากทั่วโลกพากันมานมัสการพระเจ้าที่นี่   พวกเขาปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยโมเสส  ระลึกถึงคืนที่ ชาวยยิวในอียิปต์พ้นภัย  คือ รอดตายจากทูตมรณะที่ ผ่านบ้านพวกเขาไป โดยมิได้ทำอันตรายสิ่งใด  ขณะที่พวกเขาเฝ้าสงบเงียบ  รับประเทานปัศคาภายในบ้านที่มีเลือดของลูกแกะทาไว้ที่ประตูหน้าบ้าน  ความหมายที่พวกเขาคิดถึงก็คือ  วันหนึ่งลูกแกะของพระเจ้าตัวจริง  จะมาไถ่โทษบาปพวกเขา  รอมาเป็นพันปี  รออย่างเคร่งขรึม รอจนเคยชินกับการรอคอย   ในเทศกาลปัศคา บริเวณรอบกรุงเยรูซาเล็มจึงมีกระโจมของชาวยิว ตั้งไว้โดยทั่วไป         

 เมื่อพระเยซู ทรงลา เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มวันนั้น  ผู้คนจึงแห่แหนต้อนรับพระองค์อย่างพระราชา อย่างผู้พิชิต  อย่างฮีโร่  อย่างผู้ปลดแอก  อย่างบุคคลที่จะมาปลดปล่อยพวกเขาจากการเป็นทาส    ยิวสมัยนั้นอยู่ใต้อำนาจปกครองของโรม  โรมส่งข้าหลวง  ส่งทหารมาดูแล  ยิวเกลียดโรม  ครับ  ไม่มีประเทศใด  ที่เป็นเมืองขึ้นประเทศอื่นชอบ “การสูญเสียอธิปไตย”  นี่เป็นเหตุที่ยิวก่อการจลาจล ให้โรมปวดหัวอยู่เนือง ๆ พวกเขาจึงคาดหวังว่า พระเยซูน่าจะเป็นบุคคลนั้น ที่ช่วยไถ่ พวกเขาให้หลุดพ้นจากการตกเป็นทาสโรม  ทั้งหมดนี้  ทำให้พวกเขาต้อนรับพระองค์โดยมิต้องนัดหมายกัน  นี่ไม่ใช่ม็อบจัดตั้ง  ไม่ใช่ กระบวนของประชาชนที่มาตั้งแถวรอรับ  แต่เป็นการออกกันมาสรรเสริญพระเยซู  มืดฟ้ามัวดิน พวกเขาตัดใบปาล์มที่หาได้ง่าย ในปาเลสไตน์  มาโบกต้อนรับพระองค์  

 “โฮซันนา  โฮซันนา  ขอให้พระมหากษัตริย์  ผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเจริญ” ไม่มีต้นเสียง   ไม่มีกองดุริยางค์   ไม่มีการไปเหมาดอกกุหลาบมาจากปากคลองตลาด  มาแจกอย่างการต้อนรับนักการเมืองบางคน  ไม่มีการนัดแนะ  แต่เป็นการพร้อมใจกันสรรเสริญพระเยซูจากใจ  มันเกิดขึ้นอย่างธรรมชาติ  

            ปกติใครทำอะไรให้เรา  เราจะขอบคุณคนคนนั้น  

           แต่การสำแดงออกของเรา  แตกต่างกัน  มากน้อยขึ้นอยู่กับ สิ่งที่เราได้รับ  และความรู้สึกสำนึกในพระคุณ  เมื่อหญิงผิดประเวณีเอาน้ำหอมอย่างดี  ราคาแพงลิ่ว มาชโลมพระบาทพระองค์  ใช้ผมของเธอเช็ดพระบาท  ซีโมน ฟาริสีนึกตำหนิพระเยซู     แต่พระองค์เล่าอุปมาให้ซีโมนฟังว่า  “เจ้าหนี้คนหนึ่ง  มีลูกหนี้สองคน  คนหนึ่งเป็นหนี้ 5,000 บาท  อีกคนเป็นหนี้ 500,000 บาท  เมื่อไม่มีอะไรจะใช้หนี้แล้ว ท่านจึงยกหนี้ให้ทั้งสองคน  พระองค์ตรัสถามว่า  ในสองคนนั้น ใครจะรักนายมากกว่ากัน” ใครก็ตอบได้  ซีโมนจึงตอบว่า “คนที่นายได้โปรดยกหนี้ให้มาก  ก็เป็นคนที่รักนายมาก”  หญิงที่มีอดีตเป็นหญิงชั่วคนนี้  สำแดงออกให้เห็นว่า  เธอได้รับพระกรุณาจากพระเยซูมากมายล้นพ้นอย่างไร

          แน่นอนสิ่งที่ปรากฏให้เห็น  ในวันปาล์มซันเดย์  คือ  การแสดงออกของประชาชน ว่าพวกเขาโมทนาพระคุณ     ซาบซึ้งในสิ่งที่พระเยซู   ผู้ทรงมีพระเมตตาต่อพวกเขาแค่ไหน     เมื่อเรามานมัสการพระเจ้า  บ่อยครั้ง รูปแบบการนมัสการมักนำหน้า ความรู้สึกในจิตใจของเรา   เรามีดนตรี  มีนักร้อง มีผู้นำนมัสการ  มีรูปแบบ  ตลอดจนมีเนื้อเพลงที่ถูกประพันธ์ไว้อย่างไพเราะ  งดงาม  โดยที่จิตใจของเราอาจยังไม่รู้สึกสัมผัส   เราจึงอาจไม่ถึงขั้นเหมือนซีโมนที่ไม่เข้าใจหญิงคนนั้น   หรือเราอาจไม่ถึงขั้น ฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชน ที่ไม่เข้าใจฝูงชน  จนเขาลั่นปากออกมาบอกกับพระเยซูว่า  “อาจารย์เจ้าข้า  จงห้ามสาวกของท่าน”   ความรู้สึกของเราอาจไปไม่ไกลสุดกู่อย่างฟาริสีคนนั้น   แต่เราอาจไม่ใช่คนที่ร่วมร้อง “โฮซันนา โฮซันนา”  จากใจร่วมกับฝูงชน จะทำอย่างไร  พระเยซูตรัสว่า  ผู้นมัสการ  ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง  แสดงว่านมัสการจากใจ  เกิดขึ้นเมื่อเราอยู่บนความจริง  คิดถึงความจริง  พระเยซูเป็นใคร  เราเป็นใคร  พระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อเราแค่ไหน  อย่างไร   


                                          

ถ้าเราได้ทราบว่าพระเยซูเสด็จสู่กรุงเยรูซาเล็มคราวนี้เพื่ออะไร  เรายิ่งต้องลิงโลดมากยิ่งกว่านั้นขึ้นไปอีก    เมื่อคนเราทำความผิดบาป  สิ่งที่เป็นผลพวงสำหรับเราคือ  การพิพากษา  และความพินาศที่รอเราอยู่   “ค่าจ้างของความบาปคือความตาย”  เราถูกตัดขาดจากพระผู้สร้าง เพราะบาป  และหนทางเดียวเท่านั้นที่นำเรา  กลับไปสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้า คือการไถ่โทษบาปที่ไม้กางเขนของพระองค์  

              วันอาทิตย์ใบปาล์ม  คือวันที่มาถึงก่อนวันศุกร์ประเสริฐ    พูดอีกอย่างหนึ่งคือ การเสด็จสู่กรุงเยรูซาเล็มครั้งนี้  คือเส้นทางสู่การวายพระชนม์ที่ไม้กางเขนเพื่อไถ่โทษเรา  นี่คือเส้นทางสู่สิ่งที่มวลมนุษย์ทั้งหลายปรารถนา  นี่คือเส้นทางที่นำเราไปสู่การปลดหนี้ความผิด  นำเราไปสู่ชีวิตใหม่  ผมไม่คิดว่าคนในวันนั้นที่เยรูซาเล็มจะอ่านออกอย่างนี้    แต่ผมเชื่อว่า เราทั้งหลายในวันนี้  เห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง   ว่าพระองค์คือพระผู้ไถ่เรา   ทั้งทรงเป็นกษัตริย์  หรือเป็นเจ้านายในดวงใจของเราด้วย  

              พระเยซูตรัสกับฟาริสีว่า   “ถ้าคนเหล่านี้จะนิ่งเสีย ศิลาทั้งหลาย ก็ยังจะส่งเสียงร้อง”

  ศิลา  ก้อนหิน เป็นวัตถุ  เป็นสิ่งทรงสร้างที่ไม่มีชีวิตจิตใจ  มันไม่มีสมอง ไม่มีอารมณ์  ไม่มีความคิด ไม่มีปากที่จะร้อง “โฮซันนา”  ได้  มันไม่มีมือมีแขน ที่จะไปตัดใบปาล์มมาโบกได้  แต่ถ้ามันพูดได้  มันก็จะดีใจ  มันจะเปรมปรีด์จนเนื้อเต้น  ตั้งแต่อาดัมทำบาปในสวนเอเดน  วัตถุธาตุทั้งหลายไม่เหมือนเดิม  พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจึงถูกสาปเพราะตัวเจ้า” (ปฐมกาล 3:17)  เราทุกข์ยากและขาดพระพร เพราะการดื้อดึง  เปาโลกล่าวว่า “สรรพสิ่งเหล่านั้น  ต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง “(โรม 8:20)  วันที่พระเยซูวายที่ไม้กางเขน  พระเจ้าโปรดให้ เมฆ ฟ้ามืดครึ้ม แม้เป็นเวลาเที่ยงวัน  เพื่อสำแดงให้เห็นถึงการแบกความทุกข์ในพระทัยของพระเยซู  เมื่อพระเยซูฟื้นคืนพระชนม์   ชัยชนะเหนือความตายของพระองค์ ท้องฟ้าสดใส  เมื่อพระเยซูเสด็จสู่กรุงเยรูซาเล็มในวันอาทิตย์ใบปาล์ม  ถ้าศิลาร้องได้ มันต้องสรรเสริญพระเจ้าอย่างแน่นอน  เราผู้มีชีวิตจิตใจ  มีปาก มีมือมีแขนจะปิดปากเงียบ  เพราะไม่รู้ ไม่คิด ไม่ตระหนักว่า นี่คือวาระอันสำคัญที่ชาวโลกกำลังรอคอยหรือ  เราจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลยหรือ  เราจะไม่สำนึกถึงพระคุณ  ตระหนักถึง สิ่งใหญ่โตมหึมาที่พระเจ้าทรงมีพระเมตตาต่อเรายิ่งกว่าศิลาไร้ชีวิตหรือ

 ผมขอแนะนำการนมัสการจากใจดังนี้

(1) ลองนั่งลงคิด  ทบทวนชีวิตในอดีตว่าเราอยู่ใน หายนะและหมิ่นเหม่กับ ความตายนิรันดร์แค่ไหน หากเราจากโลกนี้ไปตั้งแต่เรายังไม่รู้จักพระองค์ 

(2) ลองคิดว่า  หากพระเยซูมิได้ตัดสินพระทัย  เสด็จสู่กรุงเยรูซาเล็ม  และก้าวไปสู่ไม้กางเขน และถ้าการไถ่โทษบาปไม่มี  วันนี้เราจะอยู่ในสภาพอย่างไร  เมื่อเข้าสู่การพิพากษาเราจะรอดได้อย่างไร

                             

 

(3) ลองคิดว่า เป็นพระคุณแค่ไหน  ที่พระองค์ทรงโปรดให้เราได้มารู้จักพระองค์เป็นส่วนตัว

(4) ลองทบทวนดูว่า  พระองค์ได้เมตตาช่วยเราในเรื่องอะไรบ้าง  ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้  ถ้าพระองค์มิช่วยเรา เราจะอยู่ในสภาพอย่างไร

(5) ลองพินิจพิจารณาดูว่า  วันนี้  เราได้ยกให้พระองค์เป็นพระผู้ไถ่ และเป็นกษัตริย์  เป็นเจ้านายในชีวิตเราหรือไม่  อย่างไร

(6) ครับ  จากความรู้สึกทั้งหมด คิดว่าเราควรจะบอกรัก  และแสดงการโมทนาพระคุณอย่างไร

           สุขสันต์ วันปาล์ม ซันเดย์ ครับ


                                             



Visitor 306

 อ่านบทความย้อนหลัง