“ทำไมจึงปรากฏแก่คนเลี้ยงแกะ”


ศบ.


ตอนพระเยซูประสูตินั้น คนในกรุงเยรูซาเล็ม กษัตริย์เฮโรดในพระราชวัง ปุโรหิตในพระวิหาร พ่อค้าแม่ขายในตลาด หรือแม้แต่ชาวยิวพงศ์พันธุ์ดาวิด ผู้มาพักในโรงแรมที่เบธเลเฮม เพื่อจดทะเบียนสำมะโนครัว ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่มีใครรู้ แม้ปุโรหิตถวายบูชาอยู่ทุกวี่ทุกวันก็ยังไม่รู้เรื่องเลย
ต่างจากในสวรรค์ บรรดาทูตสวรรค์ตื่นเต้นกันใหญ่ พระเยซู บุตรของพระเจ้าสูงสุด เสด็จเข้ามาในโลกที่พระองค์ได้ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง เพื่อช่วยมนุษย์ทั้งหลายให้รอดพ้นความพินาศ นี่คือการตัดสินพระทัยครั้งสำคัญ ที่สุดในประวัติศาสตร์ บัดนี้วาระนั้นมาถึงแล้ว พระองค์ประสูติจากครรภ์ของมารีย์ หญิงสาวพรหมจารีย์ เพราะไม่มีที่พักในโรงแรม โยเซฟจึงไปขอใช้คอกวัว ให้มารีย์ได้คลอด บัดนี้ พระกุมารเยซูคลอดแล้ว นอนพันผ้าอ้อมอยู่ในรางหญ้า
เรื่องสำคัญอย่างนี้จะบอกเล่าเก้าสิบใครดี

ณ ตอนนั้น ในช่วงนั้นพระเจ้าทรงเลือกให้ทูตสวรรค์ บอกข่าวดีนี้แก่คนเลี้ยงแกะที่เฝ้าแกะอยู่กลางทุ่งนาในเวลากลางคืน การเลือกคนเลี้ยงแกะ บ่งชี้อะไร

 

(1) พระเจ้าไม่ได้คำนึงเรื่องฐานะ อาชีพคนเลี้ยงแพะแกะ ก็เหมือนคนเลี้ยงวัวเลี้ยงแพะบ้านเรา ถ้าจะจัดลำดับความมั่งคั่งของคนในชาติ ก็คงอยู่ท้ายแถว


(2) พระเจ้าไม่ได้คำนึงเรื่องการมีชื่อเสียงเรียงนาม ถ้าเลือกชื่อเสียงเป็นหลัก ก็ต้องไปดู พระราชวงค์ของกษัตริย์เฮโรด หรือ เฟ้นคนสำคัญท่ามกลาง พวกสะดูสี เพราะคนกลุ่มนี้นั่งในสภาสูง เล่นการเมือง มีการต่อรองกับโรม โรมส่งข้าหลวงมาปกครองคราวใด ก่อนทำราชการก็ต้องมาเยี่ยมเยียน คนกลุ่มนี้ก่อนเสมอ แต่คนเลี้ยงแกะเป็นคนโนเนม ไม่มีใครรู้จักมักจี่ สังคมดูถูกคนกลุ่มนี้เสียด้วยซ้ำไป ตอนโยเซฟพายาโคบ และครอบครัวไปอยู่ที่อียิปต์ ฟาโรห์แยกคนยิวไว้ ให้อยู่ที่เมืองโกเชน “เพราะว่าชาวอียิปต์เกียดชังคนที่เลี้ยงแพะแกะยิ่งนัก” ( ปฐมกาล 46:34)


(3) พระเจ้าไม่ได้คำนึงว่าเป็นชาวกรุง ทันสมัย แม้ เบธเลเฮม จะอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็ม แค่ 9 กม. เอง แต่เมื่อเปรียบเทียบ ความยิ่งใหญ่ของเมือง เทียบความเจริญกันแล้ว เบธเลเฮม ก็ถือเป็นเมืองเล็ก นอกสายตา เป็นบ้านนอกคอกนา ในขณะที่เยรูซาเล็ม ในสมัยพระเยซู มีประชากรมากเป็นแสน เบธเลเฮม มีประชากรแค่ประมาณ พันคนเท่านั้น มีคาห์ได้ทำนายว่าพระเยซูจะประสูติที่เบธเลเฮม ท่านเรียกเมืองนี้ว่า “เป็นหน่วยเล็กในบรรดาตระกูลยูดาห์” (มีคาห์ 5:2)


(4) พระเจ้ามิได้เลือก ตำแหน่งหน้าที่ทางศาสนา สมัยนั้นปุโรหิต และเลวี คือ ผู้มีตำแหน่งสูงสุดที่ประกอบศาสนกิจ ในพระวิหาร พวกเขา ผลัดเวรกันเข้าไปถวายเครื่องบูชาทุกวัน ตอนโยเซฟมารีย์ พาพระกุมารไปเข้าสุหนัตที่พระวิหาร 8 วันหลังประสูติ ไม่มีใครในพระวิหารรู้ สิเมโอนที่มาอวยพระพระกุมาร ก็มิได้เป็นเลวี ที่มีตำแหน่งอะไร ทั้งสิ้น


(5) พระเจ้ามิได้คำนึงเรื่องการศึกษา ความรู้ทางวิชาการมากมาย คนมักพูดกันว่า การเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ไม่ต้องใช้มันสมอง เช้ามาก็ต้อนฝูงสัตว์ออกไปกินหญ้าในทุ่ง ตกเย็นก็พามันกลับเข้าคอก ตอนผมเป็นเด็ก เวลาใครเรียนหนังสือไม่เข้าหัว คิดเลขถูก ๆ ผิด ๆ อ่านหนังสือไม่ออก ท่องหนังสือไม่จำ เรามักจะแซวกันว่า “สงสัยต้องให้ไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายเสียแล้วละมั๊ง” นี่แสดงว่า คนเลี้ยงสัตว์เป็นคนสมองทึบ สมองขี้เลื่อย อันที่จริง ผมยังเห็นต่าง อยู่มาก เพราะวันนี้เด็กคิดเลขเร็ว เป็นอัจฉริยะในการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ เป็นเด็กไม่เอาถ่านเยอะแยะ สู้เด็กเลี้ยงแพะแกะไม่ได้ก็มี
ถ้าเช่นนั้น ทำไมพระเจ้าเลือกบอกข่าวดีแก่คนเลี้ยงแกะ


(1) พวกเขาเป็นคนรับผิดชอบงานของตน “เขาเฝ้าฝูงแกะของพวกเขาในเวลากลางคืน“ (ลก 2:8) สุนัขป่า อาจมาขโมยแกะของเขา ถ้าเขาหลับปุ๋ย ไม่รู้เรื่อง แกะเขาอาจถูกขโมย แต่พวกเขาผลัดเวร อยู่ยาม เพื่อระมัดระวัง รักษาลูกแกะของเขา การเป็นคนรับผิดชอบ เป็นคุณสมบัติที่พระเจ้าโปรดปราน กษัตริย์ดาวิด เป็นเด็กเลี้ยงแกะมาก่อน พระเยซูตรัสว่าคนที่สัตย์ซื่อในของเล็กน้อย จะสัตย์ซื่อในสิ่งมากด้วย


(2) พวกเขาสนใจ การเสด็จมาช่วยเหลือของพระเจ้า “เพราะว่าในวันนี้ พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย คือพระคริสต์เจ้า มาบังเกิดที่เมืองดาวิด (ลูกา 2:11) ถ้าพวกเขาไม่สนใจ มิได้รอคอยการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ พระผู้ไถ่โทษบาป การที่ทูตสวรรค์บอกกล่าวอย่างนี้ จะไร้ประโยชน์ พวกเขาจะงงเป็นไก่ตาแตก การแจ้งข่าวของทูตสวรรค์จะเหมือนสีซอให้ควายฟัง นี่เป็นเหตุผลที่ ทูตสวรรค์ไม่ได้กล่าวกล่าวแก่คนเก่ง คนฉลาด เศรษฐีหลายคนสมัยนั้น เพราะพวกเขาจะฟังอย่างเอาหูทวนลม เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไร้ความสนอกสนใจใด ๆ ซึ่งแตกต่างจากคนเลี้ยงแกะเหล่าที่ใส่ใจ กับคำบอกเล่า


(3) พวกเขาเก็บรายละเอียดทุกอย่าง ทูตสวรรค์บอกพวกเขาว่า เมื่อไปยังเมืองดาวิด จะพบเด็กคลอดใหม่ รู้ได้อย่างไร ก็จะรู้ได้จาก “เด็กนั้นพันผ้าอ้อม นอนอยู่ในรางหญ้า” ผมคิดว่า เพลงที่ทูตสวรรค์ ร้อง เป็นคอนเสิร์ต กลางหาว กลางทุ่ง เนื้อความว่า “พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนแผ่นดินโลก สันติสุข จงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น” ( ลูกา2: 14 ) ที่พวกเขาได้ฟังคืนนั้น มัทธิวไปหาข้อมูลนี้มาจากไหน ก็ต้องมาจากพวกเขา เพราะคนอื่นไม่ได้ยิน ถ้ามาเล่าให้มารีย์โยเซฟฟัง และทั้งสองจำได้ ก็แสดงว่า พวกคนเลี้ยงแกะเก็บข้อมูลเนื้อเพลงไว้ได้หมด ข่าวประเสริฐของพระเยซู พระเจ้าสำแดงแก่คนที่สนใจอยากรู้จริงเท่านั้น ไม่ใช่ คนที่ ทำทีเป็นรู้ แต่ไม่ใส่ใจ


(4) พวกเขาตื่นเต้น การประสูติของพระคริสต์ การที่พระเจ้าจำกัดพระองค์มาบังเกิดเป็นคนอย่างเรา ๆท่าน ๆ เพื่อไถ่โทษบาปของคนที่กลับใจ เชื่อพระองค์ มิใช่เรื่องสามัญธรรมดา นี่ไม่ใช่ข่าวดีระดับชาวบ้าน ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ระดับประเทศ หรือโลก แต่เป็นเรื่องสำคัญระดับจักรวาลเชียว ไม่ใช่เฉพาะคนยุคนั้น แต่สำหรับคนทุกยุคสมัย “เพราะเรานำข่าวดีมายังคนทั้งหลาย คือความปรีดียิ่งซึ่งมาถึงคนทั้งปวง” ( ลูกา 2:10) ฟังแล้ว เฉย ๆ ก็ต้องถือว่าแปลก แสดงว่า ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร วันนี้ ยังมีคน “เป็นงง”อย่างนี้อยู่เยอะ แต่คนเลี้ยงแกะตื่นเต้น ดีใจจนเนื้อเต้น พวกเขายกย่องสรรเสริญพระเจ้าเพราะเหตุการณ์ที่ได้ยินและได้เห็น (ลูกา 2:20)


(5) พวกเขา รีบลงมือทำ
พอทูตสวรรค์จากไปแล้ว พวกเขาพูดกันว่า “ให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮม ดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงแจ้งแก่เรา เขาก็รีบไปแล้วพบนางมารีโยเซฟนอนอยู่ในรางหญ้า” (ลูกา 2:15-16)
พวกเขาเป็นคนประเภท รับปากแล้ว ทำจริง ”ผมเคยนัดแนะให้ผู้สนใจบางคน เมื่อออกไปประกาศ ชวน เขามาโบสถ์ ผมนัดพบเขาในวันอาทิตย์ และผมก็ผิดหวังบ่อยมาก เพราะเขารับปากส่ง ๆ เมื่อมารอพบกัน ผมรอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รอ ไม่เห็นเขาโผล่มาตามนัด จนผมไม่ค่อยเชื่อถือการนัดเสียแล้ว วันนี้ผมฉลาดขึ้นเยอะ ผมอ่านออกตั้งแต่นัดกัน คนไทยมีมารยาทดี ไม่หักหาญใจใคร รับปากคนส่ง ๆ ถ้าคนเลี้ยงแกะมีนิสัยอย่างนี้ การแจ้งข่าวของทูตสวรรค์คงจะเสียของ ไร้ประโยชน์ พวกเขาไม่เพียงแต่ลงมือทำ เท่านั้น แต่พวกเขารีบลงมือทำทันที นี่ซิ คนจริง ฟลอย แมค คลังพูด ว่า “การชักช้าที่จะเชื่อฟัง คือการดื้อดึง” ถ้าพวกเขารอไปอีก 2 วัน ค่อยไปเฝ้าพระกุมาร เขาก็คงเห็นแต่คอกวัว หรือ รางหญ้า คงไม่เห็น พระกุมารพันผ้าอ้อมอยู่ในรางหญ้า เพราะโยเซฟ และมารีต้องไปหาบ้านเช่าที่อื่นไปแล้ว ผมเคยเจอคริสเตียน ที่รับปากพระเจ้าว่าจะรับใช้ จะรับใช้ จะ จะ จะ มาตั้งแต่เรียนจบ ไปต่อปริญญาโท เลื่อนตำแหน่งในหน้าที่การงาน จนเกษียณอายุ จนภรรยาจากไป ผมก็เห็นเขา รออยู่อย่างนั้น เขาคงไม่เห็นร่องรอยของพระกุมารแม้แต่น้อย


(6) เขาเป็นพยาน
“ครั้นเขาได้เห็นแล้ว จึงเล่าเรื่องซึ่งเขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจ ด้วยเนื้อความที่คนเลี้ยงแกะได้บอกเขา” (ลูกา 2:17-18) พระกิตติคุณคงจะบอด ข่าวดีคงถูกงุบไว้ เหมือนจุดตะเกียงแล้วเอาถังไปครอบ รู้กันแค่ไม่กี่คน วันนั้น แต่พวกเขามิได้ปิดปากเงียบ ข่าวประเสริฐถูกถ่ายทอดไปสู่คนทั้งหลาย เพราะพวกเขาตื่นเต้น ตระหนักว่าสำคัญ เห็นว่าคนอื่นควรได้รับพร เหมือนอย่างคนเลี้ยงแกะเหล่านั้น ตัวผู้ถ่ายทอดไม่สำคัญอะไรหรอก เรายังไม่รู้ชื่อพวกเขาเลยสักคน แต่พระกิตติคุณสำคัญ พระเยซูสำคัญ ผู้คนต้องได้ยินได้ฟังเพื่อเขาจะได้รับความรอด

(7) หนุนจิตใจผู้เชื่อ
“ฝ่ายนางมารีย์ก็เก็บบรรดาสิ่งเหล่านั้นไว้ในใจ และรำพึงอยู่” (ลูกา 2:19) มารีย์ และโยเซฟ ทราบดีถึงการตั้งครรภ์พระกุมาร กระทั่งถึงการคลอด ทุก ๆ เหตุการณที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องเงียบ ๆ ไม่เอิกเกริก เกรียวกราว ไม่มีใครประโคมข่าว รู้กันอยู่แค่ไม่กี่คน จากนี้ทั้งสองจะเลี้ยงดูพระกุมารให้จำเริญขึ้น เข้าโรงเรียน วิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ เหมือนเด็กทั่วไป มีไม่กี่เรื่องที่ไม่ธรรมดา ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เรื่องการพบกับทูตสวรรค์กาเบรียล เรื่องความฝันของโยเซฟ เรื่องพบกับสิเมโอน นางอันนา เรื่องนักปราชญ์ตามดาวมาพบภายหลัง เรื่องพระเยซูโต้ตอบกับพวกธรรมาจารย์ที่เยรูซาเล็ม เมื่อ 12 พรรษา เรื่องเหล่านี้ เสริมสร้างกำลังใจให้มารีย์ทั้งสิ้น ถ้าขาดเรื่องคนเลี้ยงแกะรับข่าวจากทูตสวรรค์ไป ดูมันจะจืดลงไปแค่ไหน ใครจะรู้ว่า ในสวรรค์ตื่นเต้นกันได้อย่างไร อย่าลืมนะครับ สิ่งที่พระเจ้าประทานให้ท่านอาจเป็นจิกซอร์ สำคัญ ที่ขาดไปไม่ได้
สวรรค์ตื่นเต้น และพระเจ้าทรงใฝ่หาคนตื่นเต้น เพื่อฟังข่าวดีอันน่าตื่นเต้น ไปเล่าเรื่องให้คนอื่นฟังอย่างตื่นเต้นด้วย
ขอพระเจ้าอวยพร ในเทศกาลคริสตมาสครับ


















Visitor 456

 อ่านบทความย้อนหลัง