อาจารย์ สุข พงศ์น้อย(1)

ศบ.

 

ตอนผมเป็นเด็กอยู่ที่นคร ฯ คุณพ่อคุณแม่ท่าน ต้อนรับนักเทศน์ให้มาพักที่บ้านเสมอ ผมยังจำได้ว่า อาจารย์สุข  พงศ์น้อย และคุณป้าธรรมดา ภรรยาของท่านเคยมาพักอยู่ที่บ้านของเรา แล้วผมก็ไม่ได้เห็นท่านเป็นเวลาช้านาน 

 

       หยุย  ภรรยาของผมเล่าให้ฟังว่า สมัยเป็นเด็ก เธอเคยเรียนโรง เรียนกิตติคุณวิทยา ของอาจารย์บุญมาก กิตติสาร ที่ถนนศรีอยุธยา ขณะเข้าแถวหลังเคารพธงชาติ อาจารย์สุข พงศ์น้อย จะมาสอนเพลงจากหนัง สือชีวิตคริสเตียนให้นักเรียนเป็นประจำ ยังจำเพลงเหล่านั้นบางเพลงได้   

 

        ตอนผมมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ผมได้พบ อาจารย์สุข อีกหลายครั้ง  เมื่ออาจารย์บอบบี้และอาจารย์ เออบาน วอง   เปิดบ้านเช่าของท่านที่ปากซอย สุขุมวิท 59 หน้าท้องฟ้าจำลอง เป็นคริสตจักรสามัคคีธรรมกรุงเทพ ในปี 1969  ท่านยังมาเทศนาที่คริสตจักร  ผมไม่ลืมเสียงเพลงที่ท่านร้อง ไม่เหมือนใครไม่มีใครเหมือน  ท่านจากไปอยู่กับพระเจ้าในปี 1971 ในงานแต่งงานของเราในปี 1976 คุณป้าธรรมดา ภรรยาของท่าน ยังได้ให้เกียรติมาร่วมงานด้วย  อาจารย์สุข  เป็นนักเทศน์ประกาศ  ท่านออกรายการวิทยุด้วย ท่านเป็นคนเรียบง่าย  เป็นแบบอย่างผู้รับใช้คนไทยที่คนรุ่นนั้นรู้จักดี  ซึ่งสมควรถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์คริสเตียนไทย

 

  วันนี้ผมขอนำคำพยานของท่านมาเล่าให้ฟัง ผมคัดมาจาก หนังสือ ประสบการณ์คริสเตียนคนสำคัญ โดย เจ กิลคริสต์  ลอร์สัน

  

        พยานของ ศาสนาจารย์สุข พงศ์น้อย ซึ่งท่านได้อัดเทปไว้  เพียง 2-3 สัปดาห์ ก่อนที่พระเจ้าทรงเรียกท่าน ไห้ "กลับบ้าน" ใน 1 มิถุนายน  1972 ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1918-18) ข้าพเจ้าอาศัยอยู่กับญาติในเมืองเพชรบุรี ข้าพเจ้าเกิดในชนบทของจังหวัดนี้ ญาติของ

 

       ข้าพเจ้า ได้ส่งข้าพเจ้าเข้าโรงเรียนของ เพรสไบทีเรียนมิชชั่นในเมืองเพชรบุรี เขาได้ย้ำเตือนข้าพเจ้าว่า ให้ข้าพเจ้ารับเอาภาษาอังกฤษ เรียนภาษาอังกฤษให้แตกฉาน แต่อย่ารับเอาพระเยซูคริสต์ของพวกมิชชันนารี อย่างเด็ดขาด ข้าพเจ้าตอบรับ และให้คำมั่นสัญญาว่า จะเรียนภาษาอังกฤษให้ดีที่สุด ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงไม่ค่อยใส่ใจต่อเรื่องราวของพระเยซูคริสต์

                                        

 

        ครูรวีวารศึกษา และครูประจำชั้นของข้าพเจ้า พยายามเคี่ยวเข็ญให้ข้าพเจ้าไปเรียนรวีวารศึกษา เข้าร่วมประชุมกับคณะ ซี.อี (คณะเยาวชน) ร่วมงานฉลองคริสต์มาส และเข้าพิธีอีสเตอร์ ( วันระลึกถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์) แต่ข้าพเจ้าไม่สนใจ เพราะข้าพเจ้าระลึกถึงคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับญาติของข้าพเจ้าอยู่เสมอ ข้าพเจ้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนมิชชั่น ในจังหวัดเพชรบุรีเป็นเวลา 5 ปี เมื่อจบชั้นมัธยมปีที่ 3 (ป.7) ที่โรงเรียนนี้แล้ว ข้าพเจ้าจึงย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนกรุงเทพ คริสเตียน

 

     วันหนึ่งเพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่ง ได้ถามข้าพเจ้าว่า "คุณต้องการเป็นคริสเตียนไหม?" ข้าพเจ้าตอบว่า "การเป็นคริสเตียนเป็นอย่างไร ผมจะลองเป็นดู.." เพราะความอยากรู้อยากเห็น  ข้าพเจ้าจึงได้รับศีลบัพติศมา และไปโบสถ์ ที่ประชุมของคริสตจักร เพรสไบทีเรียน ในสมัยนั้น ได้ถามคำถามมากมาย แต่ข้าพเจ้าก็ตอบได้ทั้งหมด ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้าได้รับความรู้เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าเป็นอย่างดีจากโรงเรียน แต่อย่างไรก็ตาม  ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดเป็นส่วนตัว และก็ไม่เคยคิดว่าพระเจ้ามีจริง เมื่อข้าพเจ้าเรียนพระคัมภีร์ตามกฎข้อบังคับของโรงเรียน ข้าพเจ้าเรียนเหมือนกับพระคัมภีร์เป็นนิยาย หรือเรื่องโบราณคร่ำครึ  ข้าพเจ้าไม่เคยเชื่อเลยว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า เมื่อข้าพเจ้าไปโบสถ์ ก็ไปพอเป็นพิธีและไม่เคยรู้เลยว่าการกลับใจใหม่หรือการเกิดใหม่เป็นอย่างไร

 

 ข้าพเจ้ารับศีลบัพติศมาก็เหมือนไม่ได้รับ  แม้ว่าข้าพเจ้าจะรับศีลบัพติศมา เป็นเวลา 4 ปีแล้วข้าพเจ้าก็ยังไม่เป็นคริสเตียน ชื่อของข้าพเจ้ามีอยู่ก็แต่เฉพาะ ในสมุดบัญชีรายชื่อของโบสถ์  แต่หามีอยู่ในบัญชีของพระเจ้าไม่  ข้าพเจ้าไม่เคยคิดเลยว่า ข้าพเจ้าจะได้รับความรอดบาปหรือไม่   และ คิดไม่ออกว่าการเกิดใหม่การกลับใจใหม่หรือการเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้าเป็นอย่างไร  ข้าพเจ้าไม่เคยคิดถึงสิ่งเหล่านี้เลยข้าพเจ้าคิดว่า ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ดีศาสนาหนึ่งที่ควรลิ้มลอง ข้าพเจ้ารู้เพียงแค่นี้แหละ แต่... วันหนึ่ง  พระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เสด็จเข้าสู่จิตใจของข้าพเจ้าซึ่งเป็นผลจากการอธิษฐานของหญิงชราผู้รักพระเจ้า 4 คนซึ่ง เขาอธิษฐานเผื่อข้าพเจ้าด้วยใจร้อนรนว่า  “ข้าแต่พระบิดาเจ้า ขอพระองค์ทรงโปรดให้นายสุข รู้จักกับพระเยซูคริสต์ขอพระองค์ทรงช่วยให้เขากลับใจ และเกิดใหม่”  และแล้ว พระเจ้าก็ทรงตอบคำอธิษฐานของเขา

 

     ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณของหญิงชราเหล่านี้มาก ที่ได้อธิษฐานเผื่อข้าพเจ้าอย่างเอาจริงเอาจัง เขารักข้าพเจ้า รักดวงวิญญาณของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดเลยว่าพระเจ้าทรงรักข้าพเจ้าและมีคนอื่นๆอีกหลายๆคนที่รักข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาหาแต่ความสนุกสนานใส่ตัว เหมือนกับเด็กหนุ่มทั่วไป

 

    ข้าพเจ้าได้กลับใจใหม่จริงๆก็เมื่ออายุได้ 18 ปี ขอพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงฉุดรั้งข้าพเจ้าในวัยรุ่น  ข้าพเจ้ารับศีลบัพติศมา ก่อนที่ข้าพเจ้าจะกลับใจใหม่ 4 ปี แม่ข้าพเจ้าจะรับศีลบัพติศมามาแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน เมื่อข้าพเจ้ากลับไปเพชรบุรี ตอนโรงเรียนปิดภาคมีหลายคนรวมทั้งญาติพี่น้องได้ถามข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียนหรือเปล่าข้าพเจ้าตอบว่า “เป็น”  พวกเขาไม่พอใจมาก เพราะเขาไม่ต้องการให้ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียน

                                      

 

      ข้าพเจ้าตอบรับข้าพเจ้าเป็นคริสเตียนทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคริสเตียนเลย แต่แล้วในวันหนึ่งข้าพเจ้าก็ตระหนักได้ว่าข้าพเจ้าเป็นคนบาป บาป 15 ชนิด บาปอันใหญ่หลวง ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยในชีวิต ข้าพเจ้าหลงกระทำบาปเหล่านั้นวันแล้ววันเล่า เป็นบาปที่ไม่น่าพึงใจ ที่จะให้เกิดขึ้นในใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าข้าพเจ้าเป็นคนบาปมาก่อน แต่เมื่อผู้ที่มีความศรัทธาในพระเจ้า 4 คนนั้น ได้เปิดตาใจของข้าพเจ้า ให้เห็นถึงความจริงอันนิรันดร์ เป็นครั้งแรกในชีวิตข้าพเจ้าถึงกับร้องไห้สารภาพความผิดบาปของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าเริ่มตระหนักว่า พระเยซูคริสต์ทรงชำระบาปทั้งหมดของข้าพเจ้า พระเยซูคริสต์ ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าและทุกคน จะเป็นคนใหม่ในสายพระเนตรของพระเจ้า

 

      ข้าพเจ้าตระหนักว่าข้าพเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงรักข้าพเจ้า พระองค์ทรงชำระข้าพเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์ พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อข้าพเจ้า แต่ โอ้พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระเจ้าไม่เคยคำนึงถึง เรื่องการรับใช้พระองค์เลย จนกระทั่ง ในเช้าตรู่วันหนึ่ง ประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนวันคริสต์มาส ในปี ค.ศ 1925 พระเยซูคริสต์ได้ทรงปรากฏพระวรกายแก่ข้าพเจ้า และพระองค์ทรงขอให้ข้าพเจ้าปรนนิบัติรับใช้พระองค์

 

     อาจารย์ใหญ่ถามข้าพเจ้าว่า "เออ .. สุข.. เมื่อเธอจบฉันเตรียมอุดมศึกษา เธอจะไปประกอบอาชีพอะไร?" ข้าพเจ้าบอกกับอาจารย์ใหญ่ว่า "ผมต้องการเป็นหมอครับ" 

 

     "ถูกต้องทีเดียว ถ้าหากท่านคิดว่าพระเจ้าเจ้าต้องการให้ท่านเป็นเช่นนั้น ท่านก็เป็นได้" แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยคิดว่าพระเจ้าทรงต้องการให้ข้าพเจ้าเป็นหมอ เมื่อสี่ห้าสิบปีก่อนโน้น หมอรวยเร็วทุกคน ข้าพเจ้าต้องการเป็นเช่นนั้นบ้าง แม้ว่าข้าพเจ้าเกิดใหม่กลับใจใหม่มีชีวิตใหม่แล้วแต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยอุทิศชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อปฏิบัติรับใช้พระเจ้าเลย จนกระทั่งในเช้าตรู่วันหนึ่ง หลังจากที่ข้าพเจ้าหลับอย่างมีความสุขเป็นเวลายาวนาน ข้าพเจ้าก็ได้ตื่นขึ้น และอธิษฐานเหมือนเช่นเคย ขณะที่ข้าพเจ้าคุกเข่าลงอธิษฐาน ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีมือมาแตะที่ไหล่ขวาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดว่าเพื่อนล้อเล่น เพราะว่านักเรียนที่ไม่เป็นคริสเตียน มักจะล้อนักเรียนคริสเตียน ในขณะอธิษฐานเสมอๆ ข้าพเจ้าจึงบอกว่า "อย่าล้อเล่น ผมต้องการเข้าเฝ้า

 

 พระเจ้าอย่างเงียบๆ" แต่มือนั้นก็ไม่ขยับเขยื้อนข้าพเจ้าเกิดความฉุนเฉียว กระโดดยืนขึ้นแล้วตะโกนว่า "ออกไป" 

 

      พระเยซูซึ่งมีพระพักตร์เปล่งปลั่ง อยู่ในฉลองพระองค์สีขาวเป็นประกาย ส่งยิ้มอย่างมีเมตตา ประทับยืน ณ ที่นั่นและทอดพระเนตรมายังข้าพเจ้าพระองค์ตรัสว่า "ลูกเอ๋ยเจ้ารักเราหรือ" เมื่อข้าพเจ้าได้ยินพระดำรัสของพระองค์และรู้ว่าพระองค์เป็นผู้ที่แต่ไหล่ขวาของข้าพเจ้าข้าพเจ้ารู้สึกครึ่งตกใจครึ่งดีใจข้าพเจ้าพูดไม่ออกข้าพเจ้าตกใจจนไม่กล้ามองพระองค์ และเมื่อพระองค์ถามข้าพเจ้าอีกว่า "ลูกเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ"

 

     ข้าพเจ้าจึงตอบว่า ข้าพเจ้ารักพระองค์ 

 

     "ลูกเอ๋ยถ้าหากเจ้ารักเราเจ้าจงไปทุกภาคของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเหนือ ใต้ ออกตก แล้วบอกพี่น้องร่วมชาติของเจ้าว่าเรายังมีชีวิตอยู่เราเป็นพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดที่ได้ตายเพื่อเขาทุกคน และมวลมนุษย์ทั่วโลก เจ้าจะปฏิบัติตามคำบัญชา ของเราหรือไม่"

 

       ข้าพเจ้ารับปากกับพระองค์ว่า ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์

 

         ข้าพเจ้าได้รักษาคำมั่นสัญญาที่มีต่อพระองค์  เป็นเวลากว่า 42 ปีแล้ว ณ บัดนี้ ภารกิจของข้าพเจ้า ก็ใกล้สำเร็จลงแล้ว ข้าพเจ้าได้ เดินทางขึ้นเหนือ ล่องใต้ตะวันออก จรดตะวันตก เกือบทุกจังหวัดของประเทศไทย เป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตร เพื่อป่าวประกาศว่า พระเยซูยังทรงพระชนม์อยู่

 

         บางคนไม่จำเป็นต้องเห็นพระคริสต์ด้วยตา แต่สำหรับข้าพเจ้าข้าพเจ้าดื้อดึง ไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์มีจริง ไม่มั่นใจพระองค์ จนกว่าข้าพเจ้าจะเห็นพระองค์ด้วยตาของข้าพเจ้าได้ยินพระดำรัสของพระองค์ด้วยหูของข้าพเจ้า และพระองค์ได้ทรงใช้พระหัตถ์ของพระองค์ แต่ที่ไหล่ขวาของข้าพเจ้า ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกล้ายืนยัน กับคนทั่วโลกว่าพระเยซูคริสต์ยังทรง พระชนม์อยู่  ซึ่งไม่เพียงแต่พระคัมภีร์บอกเราไว้เท่านั้น แต่พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่มีชีวิต เป็นบุคคลที่ประสาทสัมผัส ของเรา สามารถรับรู้ได้ 

 

        บางคนไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์เช่นนี้ เขาเพียงแต่อ่านพระคัมภีร์ ก็สามารถเห็นพระพักตร์ของพระเยซูคริสต์ เขาเพียงแต่ไปโบสถ์ ก็สามารถเห็นพระวิหารของพระองค์ คริสเตียนสามารถมองเห็นพระเยซูได้ในธรรมชาติ 

 

       แต่สำหรับข้าพเจ้า นายสุข ข้าพเจ้าเชื่อถือพระเจ้าได้ยาก เว้นเสียแต่ว่าข้าพเจ้า ได้ยินได้สัมผัสแตะต้อง ได้เห็นด้วยตาของข้าพเจ้าเองดังนั้นข้าพเจ้าต้องแน่ใจว่ามีพระเจ้าจริง และพระองค์ ได้ปรากฏพระวรกายให้ข้าพเจ้าเห็นจริง ข้าพเจ้าจึงจะเชื่อ มีคนจำนวนมากกลับใจใหม่มาเป็นคริสเตียนที่ร้อนรน ทั้งทั้งที่เขาไม่เคยเห็นพระเยซูคริสต์เลย

                                                 

 

        ขอบคุณพระเจ้าตั้งแต่ปี 1925 เป็นต้นมาข้าพเจ้าได้อุทิศชีวิตของข้าพเจ้าถวายแด่พระองค์ ข้าพเจ้าได้เข้าศึกษาในโรงเรียนพระคริสตธรรม ของคณะเพรสไบทีเรียน เป็นเวลา 4 ปี เมื่อจบแล้วก็เป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรเป็นเวลา 7 ปี ภายหลังจากที่ข้าพเจ้า ได้รับการสถาปนาเป็นศาสนาจารย์แล้ว ข้าพเจ้าได้ย้ายไปประจำคริสตจักรในจังหวัดภาคใต้  ข้าพเจ้าเป็นศิษยาภิบาลอยู่ที่นั่น เป็นเวลา 7 ปี ข้าพเจ้ารู้สึกปวดร้าวใจมาก เพราะแม้ข้าพเจ้าทำงานหนัก แต่ก็เกิดผลน้อยเหลือเกิน ข้าพเจ้ารู้สึกท้อถอย และไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดีข้าพเจ้าไปโบสถ์ทุกๆ 3 วัน ข้าพเจ้าตระเตรียมคำเทศนา อธิษฐานก่อนเทศนาเสมอ แต่มีน้อยที่กลับใจใหม่ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นความสำคัญของการรับศีลบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าไม่เคยคิด ไม่เคยรู้ว่าจะต้องรับศีลบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างเดียวกับ  ในพระธรรมมัทธิว 3:11  "เราให้เจ้ารับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระองค์ผู้ที่จะมาภายหลังเรา จะส่งให้เจ้าทั้งหลาย รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยไฟ"

 

      ข้าพเจ้าอ่านพระธรรมข้อนี้แล้วเลยไป โดยไม่คิดว่า จะเป็นความจริง ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงท้อถอยต่องานที่ทำอย่างมากดังนั้นวันหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงบอกกับพระเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะเลิกทำงานของพระองค์ ไม่มีประโยชน์อันใด    ที่จะทำงานซึ่งได้ผลน้อยอีกต่อไปข้าพเจ้าต้องทำงานหนัก   อาบเหงื่อต่างน้ำจนสุขภาพทรุดโทรม   และแทบจะหมดกำลังใจแต่ก็ไม่เกิดผล เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะให้ข้าพเจ้าทำงานเช่นนี้ต่อไปอีกทำไม?

 

     (อ่านต่อฉบับหน้า  น่ะครับ )



Visitor 416

 อ่านบทความย้อนหลัง