ทดสอบความเชื่อ

ศบ.

 

           ฝ่ายพระองค์ไม่ทรงตอบเขาสักคำเดียว   มธ. 15:23

 

            เราเรียนรู้เสมอว่า พระเจ้าเป็นความรัก ทรงพระเมตตา ปรารถนาช่วยเราให้พ้นความทุกข์ พระองค์ไม่ทรงชักช้า พ่อในโลกนี้คนใดก็ไม่อาจเทียบเคียงพระบิดาโดยเฉพาะเมื่อเราพบความทุกข์  พระองค์ทรงว่องไวช่วยเรา  

 

             แต่วันนั้น มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่ง ร้องทูลพระองค์ว่า “พระองค์ผู้ทรงเป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด ลูกสาวของข้าพระองค์มีผีสิงอยู่ เป็นทุกข์ลำบากยิ่งนัก” แต่พระองค์กลับไม่ตอบเธอแม้แต่คำเดียว

 

             ถามว่า  ปัญหาที่เธอนำมาทูลขอความช่วยเหลือนั้นหนักไหม ตามความเห็นผม ความทุกข์เธอหนักเอาการอยู่  

 

            ลองคิดถึงหญิงคานาอันคนนี้ซิ ว่าเธอหนักใจแค่ไหน ลูกสาวคือคนที่เธอรักที่สุด ธรรมดาพ่อแม่ทุกคน ให้สิ่งดีที่สุดกับลูกเสมอ บ้านผมอยู่ในหมู่บ้านมิตรภาพ  เคยมี ศูนย์เลี้ยงเด็กปัญญาอ่อน  อยู่ติดกับบ้าน นานหลายปี  เป็นโครงการย่อย ของโรงพยาบาลปัญญาอ่อนที่ดินแดง (ทุกวันนี้ ศูนย์นี้ปิดไปแล้ว ) เราจึงมีประสบการณ์คุ้นเคยกับ พ่อแม่ที่พาลูกมาฝากเลี้ยงที่นี่พอสมควร  ลูกเกิดมาปัญญาอ่อน อายุ 15 ปี มีสมองเหมือนเด็ก 7 ขวบ น่าสงสารพ่อแม่แค่ไหน มีเงินมีทองจ่ายเพื่อช่วยลูกได้โดยวิธีใด  ทำทั้งนั้น  แต่หญิงคานาอันคนนี้มีลูกที่ผีเข้าสิงนั้น  หนักยิ่งกว่าปัญญาอ่อนเสียอีก ผมเคยมีสมาชิกที่ลูกชายโตเป็นหนุ่ม ผีเข้า วันดีคืนดี  แกออกมาบอกแม่ว่าแกเพิ่งกรีดแขนตัวเอง แม่เห็นเลือดในห้องน้ำ ก็แทบเป็นลม  ต้องรีบพาแกส่งโรงพยาบาล พาลูกขึ้นแท็กซี่ไป ก็ร้องไห้ไป  กลับมาบ้าน แต่ละคืนเธอนอนไม่เป็นสุข  ไม่รู้ว่าลูกจะทำอะไร พิเรน ๆ อีก  

 

                                          

 

           พระธรรม มาระโก บรรยายว่าผีที่เข้าสิงเด็กคนนี้  เป็น “ผีโสโครก” ผมพอจะเข้าใจว่า  ผีโสโครกเป็นอย่างไร  เราเคยนำนักศึกษา ผู้หญิงสาวสวยเรียนมหาวิทยาลัย เป็นคนจีน ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา หน้าตาดี มาหาพระเยซู  เธอต้องกลับไปบ้านต่างจังหวัด เพราะพ่อแม่ของเธอต้องการให้ลูกสาวแต่งงาน  เธอกลับไปบ้านหายหน้าไปเป็นปี  ตอนกลับมากรุงเทพ  เธอมาร่วมประชุมอธิษฐานคืนวันศุกร์กับเรา เธอไปทำอะไรที่ไหนมาไม่ทราบ  ผีเข้าสิงเธอ ตาขวาง มัดกันไม่อยู่  ตอนเธอเป็นปกติ เธอน่ารักน่าเอ็นดู  แต่พอผีออกฤทธิ์  พูดกันไม่รู้เรื่อง จากที่พูดจาไพเราะน่าฟัง  กลายเป็นพูดขึ้นเสียง ด่าหยาบคาย สกปรก น่าเกลียด  ครับ โสโครกแท้  ญาติเล่าให้ฟังว่า  ที่บ้านต่างจังหวัด พอกลางดึก ตีสองตีสามเธอลุกขึ้นมาหุงข้าวให้ผีกิน  สามีงงไปหมด  เธอกลับมาคราวนี้ โทรมลง น่าสงสารมาก ไม่เป็นอันกินอันนอน เราช่วยกันอธิษฐานขับผี ก่อนต้องส่งเธอกลับบ้านต่างจังหวัด ไม่แปลกหรอกที่เธอทูลพระองค์ว่า “เป็นทุกข์ลำบากยิ่งนัก”เธอคงหมายถึงทุกข์กันทั้งแม่ทั้งลูก 

 

            ถามว่า “เธอไม่มีความเชื่อหรือ”ผมก็คิดว่าไม่ใช่อีก ในพระธรรมมาระโกว่า “เธอได้ยินข่าวถึงพระองค์” ข่าวเรื่องอะไร   ก็เรื่องพระเยซูทรงฤทธานุภาพ รักษาคนง่อย เปิดตาคนตาบอด เปิดหูคนหูหนวก เปิดปากคนใบ้  รักษาคนโรคเรื้อน  เรียกคนให้ฟื้นจากตาย  เลี้ยงคน 5,000 คน (นับแต่ผู้ชาย) ด้วยขนมปังเพียง 5 ก้อน และปลา 2 ตัว  

 


                                         

 

         ขับผีออกจาก คนที่ถูกผีสิง ครับนี่คือ ข่าวคราวเรื่องพระเยซู เธอย่อมมั่นใจว่าพระเยซูทรงอิทธิฤทธิ์ขับผีออกจากลูกสาวเธอได้  นี่คือ เรื่องที่คนไม่น้อยสอบตก ปัญหาเล็ก ๆ คิดว่าพระเจ้าช่วยได้ พบปัญหาใหญ่ขึ้นมาคราใด ความเชื่อเราหดหาย คิดว่าเกินพระกำลัง แทนที่จะมุ่งมั่นพึ่งพระองค์ต่อไป เรากลับทอดอาลัยตายอยาก   สิ้นหวัง   

 

           นอกเหนือจาก ความเชื่อว่า พระเยซูมีอิทธิฤทธิ์เหนือผีแล้ว เธอเชื่อไหมว่า พระองค์จะทรงมีพระเมตตาต่อเธอ จะทรงยินดีช่วยลูกของเธอ เพราะเธอเป็นหญิงคานาอัน เป็นคนต่างชาติ ไม่ใช่ยิว นี่คือเงื่อนไขอันเป็นที่รู้กันอยู่ว่า พระเยซูทรงมุ่งมั่นให้สาวกไปช่วย คนยิว ไม่ใช่คนต่างชาติ เพราะพระองค์เคยบัญชาบรรดาสาวกว่า “อย่าไปทางที่ไปสู่พวกต่างชาติ และอย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่จงไปหาแกะหลง ของวงศ์วานอิสราเอลนั้นดีกว่า” (มัทธิว 10:5-6)  แน่นอน  คนต่างชาติ  ตอนนั้น  แม้มีทุกข์เพียงไร ก็ย่อมไม่กล้า เสนอหน้าเข้ามาขอความช่วยเหลือใด ๆ หญิงคานาอันคนนี้มิอาจปิดซ่อนความเป็นคนต่างชาติของเธอเสียด้วย “หญิงนี้มีเชื้อชาติซีเรีย-ฟินิเซีย พูดภาษา

 

       กรีก”(มาระโก 7:26)  พูดฮีบรูไม่เป็น ว่างั้นเถอะ  เพราะรู้ว่ามันไม่เข้าข่ายกติกา ที่เขาวางไว้ ใคร ๆ ก็ใจฝ่อที่จะเข้าไปขอ   ผมคุ้นกับเรื่องอย่างนี้มาตลอดชีวิต “ผมเคยเดินทางเข้าประเทศกรีซ ถือพาสปอร์ตไทย ไม่มีวีซ่า ต.ม. เขากักตัวผมไว้ที่ด่าน  เป็นวัน เข้าประเทศไม่ได้  ทั้ง ๆ ที่เพื่อนๆ อเมริกัน อังกฤษ หรือ แคนาดา ไม่ประทับวีซาสักคน เข้าประเทศกรีซ สบาย” “อายุเกินไป กู้เงินไม่ได้” “ไม่มีบัตร วี ไอ พี เข้าไปนั่งพักในห้องนั้นไม่ได้” “เป็นคริสตจักรอิสระ ไม่มีทุน ไม่มีโควตา ไปประชุมใหญ่ต่างประเทศ” “ไม่มีป้ายชื่อติดที่หน้าอก เข้ามาอยู่ในงานนิทรรศการนี้ไม่ได้” แล้วยามก็มาเชิญให้ออกไปอย่างสุภาพ แม้เรื่องเล็ก ๆ  “เพราะกำลังซื้อของในห้างไม่สูงพอ ไม่มีสติกเกอร์ติดที่หน้ารถ เข้ามาจอดบริเวณนี้ไม่ได้” ครับ รู้แค่นี้ ก็หมดอยากไปแล้ว  

 

             แต่ความเชื่อในพระเยซู  ของหญิงคนนี้สูงกว่าเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด

 

             มาระโก เล่าว่า “นางมากราบที่พระบาทของพระองค์....ทูลอ้อนวอน” กติกา ก็ กติกา ซิ สิ่งที่เธอรู้ และเชื่ออยู่อย่างหนึ่ง คือ  พระทัยพระเยซูนั้นเมตตา  ด้วยใจอ่อนน้อมของเธอ ด้วยความตั้งใจจริง ด้วยความทุกข์ยากที่เผชิญ ด้วยความรักลูกสาว ด้วยรู้ว่า ลึก ๆ พระองค์ทรงรักที่จะช่วยคนทุกข์ เธอจึงมีความเชื่อ  มีใจกล้า 

 

            แต่สิ่งที่เธอได้รับการตอบสนอง คือ  

 

           “พระองค์ไม่ทรงตอบเขาสักคำเดียว”

 

            พระองค์ไม่สงสารเธอหรือ ไม่รู้ว่าเธอทุกข์หนักหรือ แน่นอน ทรงล่วงรู้ยิ่งกว่าใครในโลกนี้ แต่ทำไมพระองค์ทรงเงียบอยู่ อ่านเรื่องทั้งหมดแล้ว เราจะรู้ว่าพระองค์ทรงมีเหตุผล  เพื่อทดสอบความเชื่อของเธอยังไงล่ะ  ท่านที่รัก  วันนี้เราบางคน อาจอยู่ในสภาพของหญิงคนนี้  ทูลพระเจ้าแล้ว อ้อนวอนแล้วขอแล้ว แต่พระเจ้ายังเงียบอยู่  “ไม่ทรงตอบสักคำเดียว” แล้วเราก็หมดกำลังใจ ท้อถอย เลิกขอ เช็คบิลตัวเอง ว่า “พอแล้ว  จบกันแค่นี้” ริชาร์ด เชชิล  กล่าวว่า “วิธีการของพระเจ้า ในการตอบคำอธิษฐานของคริสเตียน  เพื่อให้เขามีความอดทน เข้มแข็งขึ้น  มีประสบการณ์มากขึ้น มีความหวังสูงขึ้น และมีความรักทวีขึ้น  คือการนำเขาเข้าไปสู่เตาไฟแห่งความเจ็บปวด” เมื่อพระเยซูเล่าเรื่องแม่ม่ายไปขอความ

 


                             

 

            เป็นธรรมจากผู้พิพากษา  พระองค์สรุปว่า “เมื่ออธิษฐาน อย่าอ่อนระอาใจ”   

 

            ผมคิดว่า พอพระองค์เงียบ เธอก็คงได้ยินเสียงเพื่อน ๆ ชาวคานาอันด้วยกัน ที่เคยทักท้วงว่า “ไม่ได้หรอก  เธอไม่ใช่ยิว  พระองค์ไม่ช่วยเธอหรอก” ชัดขึ้น แต่เธอยังไม่หยุดเดินตามพระเยซูไปพลาง อ้อนวอนไปพลาง นั่นคือเสียงในสมอง แต่ที่เธอได้ยินชัดเจน คือ เสียงสาวกพระเยซู “ไล่เขาไปเสียเถิด เพราะเขาร้องตามเรามา” (มัทธิว 15:23) เวลาท่านอธิษฐาน  และยังไม่ได้รับคำตอบ แปลกแต่จริง แทนที่เราจะได้ยินใครมาหนุนเราว่า “อย่าท้อ  อย่าท้อ ทูลต่อไป” หรือบอกเราว่า “ฉันจะช่วยทูลพระองค์ให้อีกแรงหนึ่ง” เรากลับได้ยิน  สาวกที่อ่านใจพระเยซูไม่ออก ช่วยเป็นปากเสียง แบบเจ้านายว่า ขี้ข้าพลอย “พอแค่นี้เหอะ พระเจ้าคงไม่ให้หรอก เพราะแกมันไม่เหมาะสม”  

 

           เมื่อเธอเซ้าซี้มาก พระองค์ทรงหยุดยืน ตอบเธอว่า “เรามิได้รับใช้มาหาผู้ใด เว้นแต่แกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล”  คราวนี้ ชัดเจน จากพระโอษฐ์พระองค์เอง “เรามาเพื่อยิว ไม่ใช่คนต่างชาติ” แปลว่า “เธอไม่อยู่ในข่าย  เธอหมดสิทธิ์  เธอไม่อยู่ในกติกา”แล้วเธอจะไปหาใครที่ไหน  สำหรับเธอ ไม่มีใครอีกแล้ว เว้นแต่พระองค์ เธอกราบทูลต่อไป “พระองค์เจ้าข้า  ขอโปรดช่วยข้าพระองค์เถิด” (มธ .15:25)  อับราฮาม ลินคอล์น กล่าวว่า “ผมต้องคุกเข่าลงบ่อยครั้ง  ด้วยตระหนักว่า  ผมไม่รู้ว่าจะไปพึ่ง

         ใคร ที่ไหนอีกแล้ว” ท่านเคยรู้สึกเช่นนี้ไหม สำหรับปัญหาของท่าน พระเยซูผู้เดียวเท่านั้น ช่วยท่านได้ แล้วท่านก็ไม่หยุดทูลขอ  

          พระองค์จึงตรัสตอบเธอว่า “ซึ่งจะเอาอาหารของลูกโยนให้สุนัขก็ไม่ควร” ยิวเปรียบคนต่างชาติ กับสุนัข เธอเข้าใจดี  เธอเข้าใจด้วยว่า พระองค์มุ่งช่วยคนยิวเป็นหลัก  แต่ด้วยพระเมตตา  เป็นไปได้ไหมที่ เธอจะได้รับเศษแห่งพระพรนี้ “จริงเจ้าข้า   แต่สุนัขนั้นย่อมกินเดน ที่ตกจากโต๊ะนายของมัน” (มัทธิว 15:27)   เศษเดนแห่งพระพรจากพระเยซูผู้มีพระเมตตา  ก็เหลือเฟือสำหรับลูกของเธอ ความจริง  คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกใช้ชีวิตได้  เธอไม่ได้เกิดมาเป็นยิว  หลายคนที่มาหาพระเจ้าวันนี้  ไม่มีพื้นเพ การเป็นคริสเตียนมาก่อน ไม่เคยมีใครเล่าเรื่องพระเจ้าให้ฟัง ไม่เคยเข้าโบสถ์ ไม่เคยอ่านพระคัมภีร์  แต่วันนี้  เรามารู้เรื่องพระองค์  ยินแล้ว แม้ช้ากว่าหลายคน  แต่เราก็มีสิทธิ เลือกเชื่อพระองค์  วางใจพระองค์   ทูลขอพระองค์  อย่างหญิงคานาอันคนนี้  พระเยซูกลับชมเชยเธอ  ที่พระองค์มิได้พบในยิวจำนวนมาก  คือ ความเชื่อในพระองค์อย่างสุดใจ  ความเชื่อในพระเมตตา  ยิ่งกว่า กติกาที่กำหนด  ยิ่งกว่าเงื่อนไข ที่ขีดเส้นปิดกั้นเอาไว้   

 

           “หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าก็มาก ให้เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าเถิด” และลูกสาวของเขาก็หายเป็นปกติ ตั้งแต่ขณะนั้น  

 

             ขอปั๊บ ได้ปุ๊บ  เป็นความเชื่อธรรมดา ๆ  เงื่อนไขก็รองรับ อะไรก็พร้อม แล้วจะทดสอบอะไรได้ บ่อยครั้ง กำแพงที่ขวางกั้น การประวิงเวลา  ทำให้พระเจ้าทรงรู้ใจ  รู้รัก รู้ศรัทธาในใจเราได้ดีขึ้น  ทั้งเป็นฐานให้เราเข้มแข็งในพระองค์ต่อไป  ผมเคยดูหนังเรื่อง เจ้าชายผู้ปลอมตัวไปรักสาวชาวบ้าน  พระองค์รู้ดีว่า  ประเพณีปิดกั้น  แต่ก็ทรงประวิงเวลาไว้นานวัน  ทำความรู้จักเธอ ไปมาหาสู่ โดยไม่ได้แสดงตัวให้เธอรู้ว่า  พระองค์เป็นใคร   ยิ่งนาน  พระองค์ยิ่งรู้จักใจเธอมากยิ่งขึ้น  ที่สำคัญคือ พระองค์สามารถอ่านได้ว่า เธอรัก ศรัทธาในพระองค์  เพราะอะไรกันแน่  สำหรับหญิงคานาอันคนนี้  พระเยซูคือพระเจ้า ผู้กอปรด้วยพระเมตตา ที่ไม่มีกำแพงใด ๆ ทั้งสิ้นมาปิดกั้นพระพรสำหรับเธอได้

 

            ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ    

 

 



Visitor 159

 อ่านบทความย้อนหลัง