กำหนดวัน รับเสด็จ


ศบ.


“ด้วยว่าวันเวลาจะมาถึงเจ้า เมื่อศัตรูของเจ้าจะก่อเชิงเทินต่อสู้เจ้า และล้อมขังเจ้าไว้ทุกด้าน แล้วจะเหวี่ยงเจ้าลงให้ราบบนพื้นดิน กับทั้งลูกหลานของเจ้า ซึ่งอยู่ในเจ้า และจะไม่ปล่อยให้ศิลาซ้อนทับภายในเจ้าเลย เพราะเจ้าไม่ได้รู้เวลาที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมเจ้า” (ลูกา 19:43-44)


“เพราะเจ้าไม่รู้เวลาที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมเจ้า”
พระคัมภีร์ที่ถืออยู่ในมือของเรา มิได้น่าอ่าน เพราะเป็นสัจธรรมวิเศษ ที่ไม่เหมือนตำราศีลธรรมเล่มใดในโลกเท่านั้น แต่เป็นหนังสือที่เขียนคำพยากรณ์ไว้มากมายด้วย และคำพยากรณ์ หรือ การเผยพระวจะในพระคัมภีร์ ต่างจากคำทำนายของโหร หรือ หมอดูทั้งหลาย แต่เป็นการสำแดงวันเวลา สถานที่ ของเหตุการณ์ล่วงหน้าของพระเจ้า ที่แม่นยำที่สุดผมจะบอกให้ คำทำนายที่พระเจ้าตรัสผ่านผู้เผยวจนะไว้เป็นร้อย เป็นพันปี พระองค์จะทรงควบคุมให้เกิดขึ้นตามนั้นเป๊ะ


เมื่อพระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มในวันอาทิตย์ใบปาล์ม ผู้คนแห่แหน ตัดทางตาลมาโบก เอาผ้ามาปูให้ลาตัวที่พระองค์ทรงประทับนั่งเดินเข้ากรุง พร้อมกับโห่ร้องต้อนรับว่า “โฮซันนา โฮซันนา ขอให้พระมหากษัตริย์ ผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเจริญ” นี่ไม่ใช่การต้อนรับคนใหญ่คนโตบ้านเรา ที่บางยุคสมัย มักต้องเกณฑ์คนมารับไปกว้านซื้อดอกกุหลาบ จากปากคลองตลาดมาแจกให้ผู้ต้อนรับถือไว้ในมือ โชว์ตากล้องลงหนังสือพิมพ์ หรือเฟสบุ๊ค แต่เป็นการยกย่องพระองค์ออกมาจากใจของประชาชน อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งคนส่วนใหญ่อาจมาจากกาลิลี ส่วนพวกธรรมาจารย์ ฟาริสี กลับไม่พอใจ ทูลพระองค์ว่า “จงห้ามเหล่าสาวกของท่าน” พวกเขาคงคิดว่า พระองค์และประชาชนเหล่านี้ เวอร์เกิน คงคิดว่าพระเยซูเป็นนักธรรม ลูกช่างไม้ ถึงได้เบรกพระองค์และชาวบ้าน แต่พระเยซูตรัสว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถึงคนเหล่านี้จะนิ่งเสีย ศิลาทั้งหลายก็จะยังส่งเสียงร้อง” (ลูกา 19:38-40) แปลความก็คือ ห้ามไม่ได้หรอก ที่จะไม่ให้คนเหล่านี้ดีอกดีใจ แท้จริง คนทั้งกรุง คนทุกระดับชั้น โดยเฉพาะบรรดาธรรมาจารย์ น่าจะดีใจ และเตรียมต้อนรับพระองค์ให้สมพระเกียรติเป็นที่สุดเสียด้วยซ้ำ แต่แปลก นอกจากไม่ยินดีแล้ว ยังขัดขวาง ยับยั้ง ต่อต้าน ทั้งเตรียมจะฆ่าพระองค์เสียด้วย

 

 


แล้วพระองค์เสด็จมาใกล้เห็นกรุงแล้ว ก็ทรงกันแสงสงสารกรุงนั้น ว่า “โอ อยากให้เจ้า คือเจ้าเองรู้ในกาลวันนี้ว่า สิ่งอะไรจะให้สันติสุข แต่เดี๋ยวนี้ สิ่งนั้นบังซ่อนไว้จากตาของเจ้าแล้ว” (ลูกา 19:41-42)
ผมสนใจ พระดำรัสที่ว่า “กาลวันนี้ เป็นเวลาที่ทรงเสด็จมาเยี่ยมเจ้า” พระเยซูทรงหมายความว่าอย่างไร ความจริง เรื่องนี้มีการทำทายไว้ล่วงหน้าเรื่องวันเวลา ของการเสด็จมาของพระองค์ ไม่น้อยกว่า 500 ปี
ผมเล่าเรื่องย้อนหลังให้ฟังก่อน
ตอนที่กรุงเยรูซาเล็มแตก ในปี กคศ 586 นั้น พระวิหารถูกทำลาย กษัตริย์เนบูคัดเนสซา กวาดต้อนชาวยิว ส่วนมากเป็นเผ่ายูดาห์ ไปเป็นเชลยที่บาบิโลน (ประเทศอีรัก ทุกวันนี้) ดาเนียล และพวกเพื่อน ๆ ก็ถูกกวาดต้อนไปด้วย เนบูคัดเนสซา นิยมเอาเชลยหัวดี ฉลาด เก่งมีความรู้ไว้ใช้งาน คล้าย ๆ บุเรงนองของพม่า เก็บคนดีไว้ใช้ ไม่เหมือนเขมรแดง ปัญญาชนฆ่าทิ้งหมด ผมอยากให้เราเห็นภาพน่ะครับ ในปาเลสไตน์ แผ่นดินยิวนั้นเหลือแต่ซาก และคนยากจนข้นแค้นที่สุด (2 พกษ 24:12-16) กรุงสะมาเรียนั้น ถูกตีแตกโดย อัสซีเรีย ไปตั้งแต่ปี กคศ 722 ไปก่อนแล้ว ส่วนเยรูซาเล็มนั้นเพิ่งแตก วิหารก็ถูกเผาวอดวาย ก่อนกรุงแตก พระเจ้าทรงใช้ทั้งเยเรมีย์ เอเสเคียล และดาเนียล เตือนผู้นำให้กลับใจ แต่พวกเขาไม่ฟัง จนบ้านแตกสาแหรกขาดอย่างว่า
เอาละ เล่าต่อ
ดาเนียล และเพื่อน ๆ รับใช้กษัตริย์ของบาบิโลนอยู่ประมาณ 70 ปี จนถึงกษัตริย์เบลชัสซาร์ ตามคำทำนายของเยเรมีย์ ว่าพระเจ้าจะนำยิวกลับบ้าน (เยเรมีย์ 29:10) “เพราะ​พระ​เจ้า​ตรัส​ดังนี้​ว่า เมื่อ​เจ็ด​สิบ​ปี แห่ง​บาบิโลน​ครบ​แล้ว เรา​จะ​เยี่ยม​เยียน​เจ้า​และ​จะ​ให้​คำ​สัญญา​ของ​เรา​สำเร็จ​เพื่อ​เจ้า​และ​จะ​นำ​เจ้า​กลับมา​สู่​สถาน​ที่นี้” ​


ถามว่าคำทำนายที่ยิวต้องไปเป็นเชลยต่างแดน นาน 70 ปี แล้วจะพาพวกเขากลับบ้านนั้นสำเร็จได้อย่างไร ผมจะบอกให้ วิธีของพระเจ้านั้น เกินความคิดมนุษย์ เพราะบาบิโลนมีกำแพงเมืองแข็งแกร่ง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำยูเฟรติส โจมตีให้แตกได้ยากยิ่ง ไซรัส พระราชาเปอร์เซีย (อิหร่าน ทุกวันนี้) หลังจากรบชนะเมืองต่าง มาเกือบหมด ยังคงเหลือแต่บาบิโลน พระองค์ทรงดำริวิธีเด็ด คือ ใช้ วิศวกร กั้นเส้นทางของแม่น้ำยูเฟรติส ให้เบี่ยงไปทางอื่น เท่านั้นแหละ ร่องแม่น้ำเดิมที่เคยมีกระแสน้ำไหล ก็แห้งแก๊ก กลายเป็นเส้นทางเดินทัพเปอร์เซีย ยกเข้ากรุง อย่างสะดวกโยธิน กรุงบาบิโลนแตกโดยไม่ต้องรบให้เสียเลือดเนื้อ เบลชัสซาร์ กษัตริย์จอมทะนง ก็ถูกประหาร แล้วดาเนียลก็ถูกแต่งตั้งให้รับใช้ พระราชาไซรัส กษัตริย์ของเปอร์เซียต่อมา นี่คือวันสิ้นสุดของบาบิโลน และเป็นวันครบกำหนด 70 ปีของการที่ยิวจะกลับบ้านเสียด้วย ดูซิ เมื่อพระเจ้ากำหนดอะไร พระองค์มีวิธีทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ง่ายเสมอ ผมเห็นว่า เราต้องเป็นหนอนพระคัมภีร์ ดูเวลา วาระของพระเจ้าให้ดี เราจะได้ฉลาดไง
ทีนี้ คนยิวกลับประเทศได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นเชลยมาในบาบิโลนถึง 70 ปี


ในปีแรกของพระราชาไซรัสนั้นเอง พระเจ้าได้ทรงดลพระทัยพระองค์ ให้มีพระบัญชาออกคำสั่งให้คนยิวกลับบ้านไปสร้าง พระนิเวศน์ ที่เยรูซาเล็ม ไซรัส มิได้เชื่อพระเจ้าอย่างยิวน่ะครับ แต่พระเจ้าก็ใช้พระองค์ รายละเอียด ไปอ่านพระคัมภีร์เอาเอง (เอสรา 1:1-11) แถมภาชนะมีราคาทั้งหลายที่เนบูคัดเนสซาร์ ขนมาจากพระวิหาร พระองค์ทรงสั่งให้ขนกลับคืนไปทั้งหมด เยี่ยมไหมล่ะ วิหารสร้างเสร็จไม่เร็วนัก แต่กำแพงเมืองยังไม่มี เหมือนมีบ้าน แต่ยังไม่ล้อมรั้ว พระเจ้าก็นำพาให้ เนหะมีย์ ยิวซึ่งเป็นพนักงานเครื่องเสวยฉลาด ของ พระราชาอาทาเซอร์ซีส มีภาระใจกราบทูลกษัตริย์ขออนุญาตกลับบ้านไปสร้างกำแพงเมือง แล้ว เนหมีย์ ก็ได้รับพระราชานุญาต ทั้งการสนับสนุนให้กลับไปสร้างกำแพงเมือง ในวันที่ 14 เดือน มีนาคม กคศ 445 (นหม 2:1) เนหมีย์เป็นคนมีนิมิต ทำงานจริง บริหารเก่ง เชื่อพระเจ้า สร้างกำแพง จนสำเร็จในเวลาอันสั้น (นหม 6:15)
ผมเล่ามาเสียยืดยาว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับวันปาล์มซันเดย์


ขณะที่ดาเนียล เป็นอยู่ภายใต้การปกครองของเปอร์เซียนั้น พระเจ้าได้ให้ดาเนียลเผยพระวจนะว่า
จาก “วันมีคำบัญชาให้สร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นมาใหม่” จนถึง “สมัยผู้ถูกเจิมไว้” ผู้เป็นประมุข จะเป็นเวลานาน 69 สัปตะ( weeks of the year) ผมคัดพระคัมภีร์มาให้อ่านชัด ๆ 

“มี​เจ็ด​สิบ สัป​ตะ(70 weeks of the year )​ แห่ง​ปี​กำหนด​ไว้​สำหรับ​ชน​ชาติ​ของ​ท่าน​และ​นคร​บริสุทธิ์​ของ​ท่าน เพื่อให้​เสร็จ​สิ้น​การ​ทรยศ ให้​บาป​จบ​สิ้น และ​ให้​ลบ​มลทิน เพื่อ​นำ​ความ​ชอบธรรม​นิรันดร์​เข้า​มา เพื่อ​ประทับตรา​ทั้ง​นิมิต​และ​คำ​ของ​ผู้เผย​พระ​วจนะ​ไว้ และ​เพื่อ​จะ​เจิม​สถาน​ศักดิ์สิทธิ์​ที่สุด​ เพราะ​ฉะนั้น​จง​ทราบ​และ​เข้าใจ​ว่า นับตั้งแต่​การ​ที่​ถ้อยคำ​นั้น​ออกไป ให้​สร้าง​กรุง​เยรูซาเล็ม​ขึ้น​ใหม่​จนถึง​สมัย​ผู้​ถูก​เจิม​ไว้1 ผู้​เป็น​ประมุข​ก็​เป็น​เวลา​เจ็ดสัป​ตะ(7 weeks of the year ) และ​เยรูซาเล็ม​จะ​ถูก​สร้าง​ขึ้น​พร้อม​ด้วย​ลาน​เมือง​และ​คู​เป็น​เวลา​หก​สิบ​สองสัป​ตะ( 62 weeks of the year )​แต่​ใน​ยุค​ลำบาก”​ (ดาเนียล 9:24-25)
ผู้ถูกเจิมไว้ คือ พระเยซู นั่นเอง จะเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม ที่สร้างขึ้นใหม่มานาน 69 สัปตะ คือ 62+7 สัปตะ อัลวา แมคเคลน ได้คำนวณให้ดูว่า

ปกติ 1 ปีของคำพยากรณ์ ถือกันว่า = 360 วัน 

1 สัปตะ (Weeks of the year) = 7 x360 วัน
69 สัปตะ (Weeks of the year) = 69x 7x 360 = 173,880 วัน
เมื่อนับกันตั้งแต่วันที่เนหมีย์ได้รับพระราชานุญาตให้กลับสร้างกำแพงเมือง คือวันที่ 14 เดือน มีนาคม กคศ 445 ไปอีก 173,880 วัน ก็จะไปตรงกับวันที่ 6 เดือนเมษายน ปี คศ 32 คือวันที่พระเยซูเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม ใน วันปาล์ม ซันเดย์
ตรงเป๊ะ



นี่ยังไงละที่ ผมบอกว่า พระเจ้าทรงมีตารางเวลาของพระองค์ ที่วันนั้นผู้นำยิว ปุโรหิต เลวี ธรรมาจารย์น่าจะรู้ น่าจะตื่นเต้น พระเยซูทรงเป็นกษัตริย์ของเยรูซาเล็ม เมืองแห่งสันติสุข ทรงเป็นปุโรหิตแห่งพระวิหาร ในวันนั้น พระราชาทรงเสด็จกลับมายังเมืองของพระองค์ หลังจากเมืองเริดร้างไปนาน เป็นพระดำริของพระเจ้าให้พระวิหารและเมืองแห่งสันติภาพถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ทั้งให้จอมกษัตริย์กลับมายังเมืองของพระองค์ แล้วพระเยซูก็เสด็จกลับสู่กรุงเยรูซาเล็มตามคำทำนาย ในวันปาล์มซันเดย์ มันน่าตื่นเต้น และต้อนรับพระองค์ด้วยพิณ รำมานา และการเต้นรำ แต่นี่คือวันที่ ผู้นำยิวเตรียมสังหารพระเยซู รอมานานเป็นร้อย ๆ ปี ถึงวันจริง นอกจากไม่รู้เรื่องรู้ราว ไปงมโข่งอยู่ที่ไหนแล้ว ยังคิดฆ่ากษัตริย์ของตนเองยอห์นกล่าวว่า ​“พระ​องค์​ได้​เสด็จ​มายัง​บ้าน​เมือง​ของ​พระ​องค์ และ​ชาว​บ้าน​ชาว​เมือง​ของ​พระ​องค์​ไม่ได้​ต้อนรับ​พระ​องค์​ แต่​ส่วน​บรรดา​ผู้​ที่​ต้อนรับ​พระ​องค์ ผู้​ที่​เชื่อ​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์ ​พระ​องค์​ก็​ทรง​ประทาน​สิทธิ​ให้​เป็น​บุตร​ของ​พระ​เจ้า”​ (ยน 1:11-12)


วันนั้น พระเยซูทรงกันแสง ตรัสว่า “โอ อยากให้เจ้า คือเจ้าเองรู้ในกาลวันนี้ว่า สิ่งอะไรจะให้สันติสุข แต่เดี๋ยวนี้ สิ่งนั้นบังซ่อนไว้จากตาของเจ้าแล้ว” แล้วพระองค์ทรงทำนาย หายนะที่จะเกิดขึ้น ว่า จะมีข้าศึกมาล้อมกรุง ทำลายพระวิหาร และเผากรุงเสีย เพราะใจอันมืดบอด ทิฐิ เย่อหยิ่งจองหอง เราทราบดีว่า ในปี คศ 70 โรมยกทัพมาตีเยรูซาเล็มแตก และยิว กระจัดกระจายไปต่างประเทศ ตามคำทำนายของพระเยซูทุกอย่าง


แม้พระวิหาร และกรุงเยรูซาเล็ม เป็นพระดำริให้เป็นที่รวมใจของคนยิวเพื่อนำชาวโลกมาหาพระเจ้า เมื่อไม่สำเร็จ พระเจ้าทรงมีพันธสัญญาใหม่ กับผู้เชื่อ ให้สามัคคีธรรมในคริสตจักร ไม่ติดอยู่กับพระวิหาร แต่ให้ผูกพันกับพระเจ้าในจิตใจ พระวิหารไม่มีมาตั้งแต่ศตวรรษแรก จนตราบเท่าวันนี้ ผ่านมา 2,000 ปี ความผูกพัน และความเชื่อในพระเยซู ยิ่งเติบโตเพิ่มพูนขึ้นไม่หยุดยั้ง เวลาของพระเจ้ายังเดินหน้าต่อไป ดาเนียล 9:24 กล่าวถึง 70 สัปตะ ผมเล่ามาให้ฟังแล้ว 69 สัปตะ ยังเหลืออีก 1 สัปตะ เป็นสัปตะสุดท้ายที่ยังมาไม่ถึง แต่จะมีแน่ เป๊ะเหมือน 69 สัปตะที่ผ่านมา น่าตื่นเต้นแท้ เพราะยังเป็นอนาคต เหมือนภาพยนตร์ มีพักเบรก หรือเป็นช่วงเวลาของคริสตจักร ที่พระเจ้าให้เราลุยประกาศ นำคนมาเชื่อพระเยซู ก่อนสัปตะสุดท้าย จะปิดฉากหนังม้วนนี้ เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาครั้งที่สอง อย่างกษัตริย์ เอาไว้วันดีคืนดีจะเล่าเรื่องสัปตะสุดท้ายให้ฟัง
สุขสันต์วันปาล์มซันเดย์

ขอพระเจ้าทรงอวยพรครับ

 



Visitor 119

 อ่านบทความย้อนหลัง