ผลแรกของการเป็นขึ้นจากความตาย


ศบ.

1 โครินธ์ 6:14 “พระ​เจ้า​ได้​ทรง​ชุบ​ให้​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​เป็น​ขึ้น​มา​ใหม่ และ​พระ​องค์​จะ​ทรง​ชุบ​ให้​เรา​ทั้ง​หลาย​เป็น​ขึ้น​มา​ใหม่​โดย​ฤทธิ์​เดช​ของ​พระ​องค์”


วันนี้เป็นวันอีสเตอร์ ผมขอพูดเรื่องการเป็นขึ้นจากตาย
ความเข้าใจของคนทั่วไป
ปกติ เรื่องความตายไม่มีใครอยากพูดถึง แต่ไม่พูดถึงก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่ดักหน้าเราทุกคน ไม่ว่าวันนี้ท่านจะอยู่ในวัยหนุ่ม หรือวัยชรา เราต่างรู้ดีว่าไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า วันหนึ่งเราต้องอำลาลับจากโลกนี้ ฟังดูแล้วเป็นเรื่องหดหู่ เศร้าสร้อย สิ้นหวัง คนไทยเรา ยอมรับว่าวันหนึ่ง เราจะไปไม่กลับ จะหลับไม่ตื่น แล้วก็เล้าโลมใจกันว่า ให้ “ปลงเสียเถิด ไม่มีอะไรเที่ยงแท้” ก็แค่นั้น สังขารนั้น เราต้องทิ้งไว้ในโลกทุกคน เราก็ปลอบใจกันว่าให้ทำดีเยอะ ๆ ทิ้งคุณงามความดีไว้ในโลก สิ่งดี ๆ นั้นจะได้ถูกจารึกไว้ให้คนรุ่นหลัง ผมจำโคลงโลกนิติได้ ท่านว่า “โคควายวายชีพยังได้ เขาหนัง เป็นสิ่งเป็นอันยัง อยู่ได้ คนเด็ดดับสูญสัง- ขารร่าง. เป็นชื่อเป็นเสียงได้ แต่ร้ายกับดี” ถึงว่าให้ทำชื่อเสียงทิ้งไว้ในโลก


ส่วนเราจากโลกนี้ไปแล้วไปไหน ไม่รู้ คงมีแต่คำบอกเล่าว่า “ไปตามบุญตามกรรม” หรือ “ไปตามยถากรรม” เราจะขึ้นสวรรค์ หรือ ลงนรก ก็ไม่รู้ คนไทยเราพูดอย่างนี้ ก็ทำให้ผมอ่านออกได้อย่างหนึ่ง คือ (1) เราต่างยอมรับว่า มีชีวิตหลังความตายจริง มันไม่ได้จบสิ้นกันที่หลุมฝังศพ และ (2) การใช้ชีวิตในโลกนี้ มีผลกับโลกหน้า ถือหลักว่า ทำดีย่อมได้ดี(รางวัล) ทำชั่วย่อมได้ชั่ว(โทษ) จึงว่าขอให้ทำดีกันเยอะๆ ทำบุญจะได้ล้างบาป ส่วนใครจะเป็นผู้ประสิทธิประสาท สิ่งดี(รางวัล)ให้ หรือใครจะเป็นผู้เอาสิ่งชั่ว(โทษ)ให้นั้น คนไทยเราไม่พูดถึง เพราะเราไม่ได้พูดถึงพระเจ้า กันเลย เราเชื่อ กลไกว่าจะเป็นไปทำนองนี้ เหมือนคนขับรถบนถนน เชื่อ เรื่อง กฎไฟเขียวไฟแดง ถ้าขับตามกฎจราจรจะปลอดภัย ถ้าฝ่าไฟแดงจะถูกโทษ แต่ไม่พูดเรื่อง ตำรวจจราจร ที่ควบคุมกฎหมายสักคำ เราจึงเป็นเหมือนคน คิดอะไรไว้แค่ครึ่งทาง ที่เหลือเราไม่รู้ เราจึงหวาดกลัว เรากลัวความตาย จับใจ


ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยยุคใหม่ ไม่เชื่อพระเจ้า คงไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ พวกเขาเชื่อว่า มนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์ สัตว์มาจากสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ก้อนหินก้อนกรวด ตายจากโลกนี้ไปแล้ว ก็เหมือนวัวควายตายไป จบกันแค่นั้น ชีวิตหลังความตายไม่มี ตาย ก็คือ ดับสูญกันไปเป็นจุล ไม่เหลือวิญญาณ ว่าจะต้องไปรับกรรมอะไรที่ไหน ความเชื่ออย่างนี้ฝืนความรู้สึกของการเป็นคน เพราะเราต่างตระหนักว่า เราไม่ใช่สัตว์ เราเป็นบุคคลที่รู้ดีรู้ชั่ว และเลือกดีเลือกชั่วได้ด้วย ตัวแท้ ๆของเราอยู่ในกายนี้ วันหนึ่งเราต้องไปเผชิญกับโลกหน้า แต่นักศึกษาสมัยใหม่บอกว่าโลกหน้าไม่มี รางวัลหรือโทษ ทั้งหมดเกิดในโลกนี้ทั้งสิ้น แต่มันก็แย้งสิ่งที่เราเห็นตำตา เพราะในโลกที่เราอยู่ คนฉ้อโกงกินบ้านกินเมือง ร่ำรวยล้นฟ้า มั่งคั่งจนตราบเท่าวันตายก็มีให้เห็นถมไป ส่วนคนสัตย์ซื่อ ยากจนข้นแค้นก็มีเยอะ จนมีคนพูดว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำดีได้ชั่วมีถมไป เหมือนเรื่องลาซารัสกับเศรษฐี ถ้าจบกันในชาตินี้ มันก็ไม่เป็นธรรม ความเชื่อเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนมุ่งกอบโกย ตักตวงความสุขเข้าหาตนในโลกนี้ ไม่แยแสคนอื่น ไม่กลัวกรรมในโลกหน้า เพราะตายไปก็ดับสูญกันไป เปาโลว่า คนพวกนี้จะถือมติ “ให้เรากินและดื่มเถิด เพราะว่าพรุ่งนี้ เราก็จะตาย” (1 คร 15:32) น่ากลัวแท้ เพราะเขาทำอะไรก็ได้ ขอให้รอดคุกรอดตาราง แล้วมุ่งต่อชีวิตตนให้ยาวนานที่สุดเท่านั้น
พระเจ้าทรงสร้างโลกและปกครองเรา


ทีนี้ผมขอพูดจากพระคัมภีร์ ก่อนอื่น เรารู้ว่าโลกนี้มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งต่าง ๆ เช่น ภูเขา แม่น้ำ ลำธาร พืชนานาชนิด นกในอากาศ ปลาในทะเล ทรงสร้างสัตว์บกสัตว์น้ำ แล้วที่สุดก์ทรงสร้างคนเราขึ้นตามอย่างพระเจ้า เป็นชายและหญิง เหมือนพ่อปลูกบ้านรื่นรมย์ให้ลูกอาศัยอยู่ เรื่องนี้ผมไม่ขอสาธยายมาก เรารู้อยู่เต็มอกว่า โลกมีระเบียบ ธรรมชาติ แฝงให้เห็นพระปัญญาพระผู้สร้าง ที่รักห่วงใยเราเต็มไปหมด นี่ไม่ต้องอ้างพระคัมภีร์นะครับ มองไปที่ไหนในโลก ก็เห็นฝีพระหัตถ์อันประเสริฐทั้งสิ้น ไม่ทิฐิ หลับหูหลับตา ยืนกระต่ายขาเดียว ปฏิเสธว่า “พระเจ้าไม่มี” (สดุดี 14:1)


มนุษย์อยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้า เหมือนรัฐบาลปกครองราษฎร เหมือนพ่อปกครองบ้าน คนเรามีศีลธรรม ไม่เหมือนสัตว์ การปกครองคนเรา ก็ใช้หลักที่คนไทยเราเข้าใจนี่แหละ คือ ทำดีได้รางวัล ทำชั่วถูกลงโทษ หว่านพืชอย่างไร จะเก็บเกี่ยวผลอย่างนั้น (กาลาเทีย 6:7) ทำผิด ถ้าในโลกนี้ ยังไม่ได้รับโทษอะไร โลกหน้าเจอแน่ “เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคน จะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์พระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับที่ได้ประพฤติในกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว” (2 โครินธ์ 5:10) พระเจ้าเป็นธรรมครับ เหมือนเรื่องเศรษฐี กับ ลาซารัส ไม่ได้จบแค่ในโลกนี้ มีโลกหน้าอีก (ลูกา 16:19-31) ทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้ ช่วยปะติดปะต่อ ความคิดเรื่องบาปบุญคุณโทษของคนไทย ว่า โลกเรามีพระผู้สร้าง ผู้ปกครอง ควบคุมดูแลโลกเราอยู่ โลกไม่ได้ขับเคลื่อนไปโดยกลไก ที่ไร้ผู้ปกครอง เหมือนขับรถบนถนน มิได้มีเพียงไฟเขียวไฟแดงเท่านั้น แต่มีตำรวจควบคุมอยู่ด้วยครับ ที่พูดมานี้ ก็แย้งความคิดของคนรุ่นใหม่ที่ถือตำราวิทยาศาสตร์ ว่าคนเรามาจากลิง ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ตายไปก็จบเห่กัน


พระเยซูทรงไถ่โทษบาปของเรา
ภายใต้การปกครองของพระเจ้า เมื่อเราทำผิด เราก็ต้องรับโทษ และนี่คือ ชนักติดหลังเราแต่ละคน “ค่าจ้างของความบาปคือความตาย” เราถูกแยกออกมาจากพระเจ้า ขาดจากพระเจ้า เหมือนกิ่งขาดจากต้น เราจึงไม่มีสันติสุข ว้าเหว่ ไร้พลัง วันหนึ่งเราจากโลกนี้ไป เราต้องเข้าสู่การพิพากษา และแยกจากพระเจ้านิรันดร นี่คือเหตุผลที่พระองค์ประสงค์จะช่วยกอบกู้เรา โดยส่งพระเยซู พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เข้ามาในโลก วายพระชนม์ที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่โทษบาปเรา หากเรากลับใจใหม่จากบาป วางใจในการไถ่โทษ เราก็รอดได้ “เพราะ​ว่า​พระ​เจ้า​ทรง​รัก​โลก จน​ได้​ทรง​ประทาน​พระ​บุตร​องค์​เดียว​ของ​พระ​องค์ เพื่อ​ทุก​คน​ที่​วางใจ​ใน​พระ​บุตร​นั้น​จะ​ไม่​พินาศ แต่​มี​ชีวิต​นิรันดร์” (ยอห์น 3:16) ​พวกยิวอิจฉาพระเยซู แต่เพราะกลัวประชาชน จึงยืมมือโรม ประหารพระเยซูที่ไม้กางเขน สำเร็จ พระเยซูวายพระชนม์ที่ไม้กางเขนสมใจ แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่า การวายพระชนม์ของพระเยซู เป็นแผนการของพระเจ้า เพื่อเป็นค่าไถ่โทษผู้เชื่อทั้งปวง เมื่อพระองค์วายพระชนม์แล้ว วันศุกร์นั้น เขาก็ฝังพระศพของพระเยซูไว้ในอุโมงค์ ใคร ๆก็คิดว่า มันจบกันแค่นี้ คุณความดีอะไรของพระองค์ เช่น การรักษาโรค ก็คงแค่ความทรงจำ ของนักธรรมใจดีคนหนึ่งที่พระเจ้าใช้ บัดนี้ เมื่อพระองค์วายพระชนม์ที่ไม้กางเขน ทุกอย่างที่ผ่านมามันก็เหลืออยู่แค่เรื่องเล่าให้ได้ปลื้ม ในอดีต เท่านั้น

การฟื้นคืนพระชนม์ ในวันอีสเตอร์ เป็นคำตอบ
พอวันที่สาม พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์จากความตาย และเสด็จไปพบกับสาวก คนเดียวบ้าง สองคนบ้าง 7 คน 10 คน 11 คน 120 คน และ 500 คน ในคราวเดียวที่กาลิลี ในช่วง 40 วันก่อนเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ต่อหน้าต่อตาพวกสาวก ในช่วง 40 วัน ไม่มีใครกังขา สงสัยการฟื้นคืนพระชนม์ ยิ่งทำให้ทุกคนตระหนักว่า พระองค์คือพระบุตร พระผู้ไถ่ ที่เสด็จมาช่วยปลดหนี้บาป แล้วพระองค์ก็เสด็จสู่สวรรค์ต่อหน้าต่อตาสาวก 120 คน ทรงสัญญาว่าจะอยู่กับผู้เชื่อ ทุก ๆที่ที่สาวกออกไประกาศ
ลองนั่งลงคิดซิ ตั้งแต่พระเจ้าสร้างอาดัม อาวา มนุษย์สืบพืชขยายพันธุ์ จนมีประชากรโลก หลายพันล้านคน ยังไม่เคยมีใคร คืนชีพจากความตาย เราต่างสิ้นหวังที่ความตายด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าเขาจะเป็นเศรษฐี หรือยาจก ไม่ว่าเขาจะเป็นคนมีการศึกษา หรือไร้การศึกษา ความตายคร่าชีวิตเราทุกคน ไม่เว้นใคร ไม่เคยมีใครฟื้นคืนชีพได้อีกเลย คนที่ฟื้นจากตายอย่างอัศจรรย์ ที่พระเจ้าต่ออายุให้ อย่างลาซารัส ก็เกิดในระยะเวลาสั้น ๆ แล้วที่สุดก็ตายจากไป แตกต่างจากการฟื้นคืนชีพของพระเยซู ที่ทรงเป็นอยู่วันนี้ เมื่อพระเจ้าชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากตาย ประทานกายใหม่ให้พระองค์ เป็นความจริงที่บรรดาสาวกได้รู้ได้เห็น จึงเป็นความหวังใหม่อันเจิดจ้า ที่ไม่เคยมีมา เปาโลกล่าวชัดเจนว่า นี่คือผลแรก ที่จะเกิดขึ้นกับบรรดาผู้เชื่อจริงทุกคน “พระเจ้าได้ทรงชุบให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นขึ้นมาใหม่ และพระองค์จะทรงชุบให้เราทั้งหลายเป็นขึ้นมาใหม่โดยฤทธิ์เดชของพระองค์” (1 โครินธ์ 6:14)


“แต่ความจริงพระคริสต์ทรงถูกชุบขึ้นมาจากความตายแล้ว และทรงเป็นผลแรกในพวกคนทั้งหลายที่ได้ล่วงหลับไปแล้วนั้น” (1 โครินธ์ 15:20) เปาโลขยายความเรื่องนี้ต่อไปอีกว่า “เพราะ​ใน​เมื่อ​เรา​เชื่อ​ว่า​พระ​เยซู​ทรง​สิ้น​พระ​ชนม์ และ​ทรง​คืน​พระ​ชนม์​แล้ว โดย​พระ​เยซู​นั้น ​พระ​เจ้า​จะ​ทรง​นำ​บรรดา​คน​ที่​ล่วง​หลับ​ไป​แล้ว​นั้น มา​กับ​พระ​องค์​” ( 1 เธสะโลนิกา 4:14) เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาครั้งสอง “ด้วย​ว่า​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​จะ​เสด็จ​มา​จาก​สวรรค์​ด้วย​พระ​ดำรัส​สั่ง ด้วย​สำเนียง​เรียก​ของ​เทพบดี​และ​ด้วย​เสียง​แตร​ของ​พระ​เจ้า และ​คน​ทั้ง​ปวง​ใน​พระ​คริสต์​ที่​ตาย​แล้ว​จะ​เป็น​ขึ้น​มา​ก่อน​ หลังจาก​นั้น​เรา​ทั้ง​หลาย​ซึ่ง​ยัง​เป็นอยู่ จะ​ถูก​รับ​ขึ้น​ไป​ใน​เมฆ​พร้อม​กับ​คน​เหล่า​นั้น และ​จะ​ได้​พบ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ใน​ฟ้า​อากาศ อย่าง​นั้น​แหละ เรา​ก็​จะ​อยู่​กับ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​เป็น​นิตย์” (1 เธสะโลนิกา 4:16-17)


เราจะได้กายใหม่อย่างพระคริสต์
พระองค์เป็นผลแรกของการเป็นขึ้นจากตาย และผู้เชื่อก็จะเป็นขึ้นด้วย เราจะได้กายใหม่ เป็นกายทิพย์อย่างพระกายของพระเยซูหลังการฟื้นคืนพระชนม์ในวันอีสเตอร์ จับต้องได้ กินอาหารได้ เดินทะลุห้องได้ เหินอากาศได้ สนทนาได้ นี่ไม่ใช่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แต่เป็นความจริง การคืนพระชนม์ของพระเยซูในวันอีสเตอร์ ไม่ใช่เรื่องประสาทหลอน คนเราคิดถึงใครมาก ๆ อาจเกิดประสาทหลอน แต่หลอน 2 คน พร้อมกันนี่เกิดได้ยากยิ่ง ถ้าจะเกิดอาการหลอน 500 คนพร้อมกัน มันเป็นไปไม่ได้เอาเลย พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว แน่แท้ แล้วพระดำรัสของพระองค์ ทุกเรื่องจึงเป็นจริงทั้งสิ้น มีชีวิต น่าตื่นเต้น รวมทั้งเรื่องโลกหน้า ที่ไม่มีใครในโลกเคยสัมผัส เราจึ่งมีชีวิตใหม่ ที่สัมพันธ์กับพระองค์ ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่มืดมนอีกต่อไป
ฮาเลลูยา ฮาเลลูยา
ปัม ปัม ปั๊ม ปั๊ม ปัม ปัม ฮา เล ลูยา .....
สุขสันต์วันอีสเตอร์ครับ



Visitor 256

 อ่านบทความย้อนหลัง