จอมกษัตริย์

ศบ.

 

“พระเจ้าทรงเป็นพระมหากษัตริย์อยู่เป็นนิจนิรันดร์ บรรดาประชาชาติจะพินาศไป  จากแผ่นดินของพระองค์” (สดุดี 10:16)

 

        ผู้คนอุ่นใจ เพราะผู้ใหญ่เที่ยงธรรม

 

        วันนี้เป็นวันอาทิตย์ใบปาล์ม พระเยซูทรงลาเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างกษัตริย์  ผู้คนแห่แหนพากันมาต้อนรับพระองค์อย่างเอิกเกริก  อย่างกษัตริย์ยิ่งใหญ่  พระองค์ทรงเป็นฮีโร่ ในดวงใจของประชาชนจริง ๆ 

 

        ทำไมคนถึงยกย่องพระเยซูปานนั้น 

 

     1.  ราษฎรไม่ได้ความเป็นธรรมจากผู้นำ

        ตอนนั้น คนยิวมีเฮโรดเป็นกษัตริย์  ถามว่าคนยิวเทิดทูนกษัตริย์เฮโรดไหม  คำตอบก็คือ ไม่มีเลย  ประชาชนไม่พอใจเฮโรดเสียด้วยซ้ำ  เฮโรด แอนทิพาส พระราชบิดา  ประหารเด็กในหมู่บ้านเบธเลเฮ็ม เพราะกลัวกษัตริย์องค์ใหม่มาแย่งบัลลังก์ ส่วนเฮโรด องค์ปัจจุบันสมัยนั้น ไปเอาภรรยาของฟิลิป น้องชายของตน มาเป็นมเหสี  เมื่อยอห์น ผู้ให้บัพติสมาซึ่งประชาชนนิยมชมชอบ ตักเตือน  เฮโรดก็จับยอห์นไปขังคุกที่วังมาเชอุส ริมทะเลตาย แล้วที่สุดก็ประหารชีวิตโดยการตัดศีรษะยอห์นตามใจนางเฮโรเดียส ภรรยาของตน ในงานเลี้ยง  กษัตริย์เฮโรดจึงไม่เป็นที่พึ่งของประชาชน 

 

     2. ศาสนาไม่ใช่ที่พึ่งพา 

 

        หันไปทางพระวิหาร อันเป็นสถาบันศาสนาที่ผูกใจผู้คนมานมนาน  เลวีทำหน้าที่ อ่าน แปล และสอนพระวจนะ รวมถึงการปฏิบัติศาสนกิจ ประจำวัน  เพื่อนำคนให้เข้าถึงพระเจ้า ก็กลายเป็นสถาบันที่ขูดรีดประชาชน  คายาฟาส มหาปุโรหิต และ อันนาท พ่อตา  เปิด บราซา ขายแพะแกะ นกพิราบ ที่ใช้ในการถวายสัตวบูชาในพระวิหาร  เอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง  อย่าว่าแต่จะเป็นที่พึงทางใจของประชาชน ประชาชนคับแค้นใจเสียด้วยซ้ำ พระเยซู ตรัสว่า พวกนี้มาทำให้พระนิเวศน์อธิษฐาน  กลายเป็นถ้าของพวกโจร

 

      3. ต่างชาติมีแต่ขูดรีด  


                

 

 แล้วพวกเขาจะหันไปพึ่งใคร  ตอนนั้น โรมปกครองยิวอยู่  จักรพรรดิซีซาร์ จากโรมส่ง ปีลาตมาเป็นข้าหลวงปกครองยิว  ที่เยรูซาเล็ม ไม่ต้องพูดถึงน่ะครับว่า  จะพึ่งโรมได้หรือไม่  คนยิวคับแค้นใจ ที่เป็นเมืองขึ้นของโรม โรมเรียกเก็บภาษีเหมือนรีดเลือดปู มีทหารและป้อมของโรมทุกหัวระแหง  คลื่นการรวมหัวกันต่อต้านโรม ของพรรคชาตินิยม ฮึ่ม ๆ อยู่ทุกขณะ  ขึ้นอยู่กับว่าจะรอจังหวะไหนก่อหวอดขบถขึ้นมาเท่านั้น  ปีลาตรู้รสชาติคนพวกนี้ดี  ปีลาตลงโทษคนทำผิดจะถูกลงโทษรุนแรง 

 

        เป็นอันว่าประชาชนหมดที่พึ่งโดยสิ้นเชิง 

 

     1. ทุกวันฝันถึง พระสัญญา 

 

       ประชาชนอยู่กับ การถูกรังแก ไม่เป็นธรรม การฉ้อราษฎร์บังหลวงของผู้นำ  ทั้งเจ็บทั้งขุ่น โหยหาว่าจะมีใครสักคนหนึ่งมาช่วย  ในพระธรรมอิสยาห์ พระเจ้าทรงสัญญาว่า  พระเจ้าจะส่งพระบุตรของพระองค์  พระเมสสิยาห์มาช่วย  พระองค์ผู้ชอบธรรม เป็นธรรม ยุติธรรม กอปรด้วยความรัก ความเมตตา มาช่วยพลิกสถานการณ์ที่ตนกำลังเผชิญ

 

     2. นึกย้อน ตอนดาวิดครองราษฎร์

 

       อาทิตย์ที่แล้ว  ผมเขียนเรื่องดาวิดถูกซาอูลรังแก  ตามเข่นฆ่า แต่ดาวิดพึ่งพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ประกันชีวิตให้ดาวิด 14 ปีดาวิดหมิ่นเหม่กับความตาย  แต่รอดปลอดภัยตลอด  ดาวิดกล่าวได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นป้อมปราการอันมั่นคงของท่าน 

 

       ในสดุดีบทนี้  ดาวิด มีประสบการณ์เหมือนประชาชนในสมัยพระเยซู  ผู้น้อยถูกรังแก ไร้ที่พึ่ง แต่พระเจ้าทรงช่วยเขา “คนอธรรมไล่กวดคนยากจนอย่างทะนงองอาจ  ขอให้เขาติดกับคือบ่วงแร้ว  แห่งอุบายที่เขาคิดขึ้นนั้น ..เพราะความทะนงตัว  คนอธรรมกล่าวว่า “พระเจ้าไม่ทรงลงโทษ  ความคิด

 

ทั้งสิ้นของเขาคือ ไม่มีพระเจ้า.. คนไร้ที่พึ่งถูกกดให้จมลง  และล้มลงด้วยกำลังของคนอธรรมนั้น  คนอธรรมนั้นคิดในใจว่า “พระเจ้าลืมแล้ว” ( สดุดี 10:2,5,10-11) 

 

       นี่คือความรู้สึกของคนยิวในยุคนั้น  และคงเป็นความรู้สึกของเราเช่นเดียวกัน  ดาวิด กล่าวว่า “คนไร้ที่พึ่งมอบตัวไว้กับพระองค์  พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยคนกำพร้าพ่อ แล้วพระองค์ทรงหักแขนคนอธรรม และคนกระทำชั่ว” (สดุดี 10:14-15)   สะใจไหมล่ะ  เมื่อเราจนแต้ม  ขาดที่พึ่งพา  พระเจ้าเองทรงจัดการ ประทานความเป็นธรรมให้ ดาวิดก็ กล่าวต่อไปว่า “พระเจ้าทรงเป็นพระมหากษัตริย์อยู่เป็นนิจนิรันดร์  บรรดาประชาชาติจะพินาศไปจากแผ่นดินของพระองค์” (สดุดี 10:16)  แล้ว ดาวิดก็ปกครองด้วยพระลักษณะของพระเจ้า  คือให้ความเป็นธรรมกับประชาชน

 

      ปาล์ม ซันเดย์  บ่งบอกว่า 

 

1.  พระเจ้าไม่ทอดทิ้งเรา

 

      คลื่นความนิยมชมชอบจากประชาชนทวีขึ้นตามลำดับ  คู่ควบกับคลื่นการต่อต้านพระองค์จากพวกยิวด้วย  พระองค์รักษาคนเจ็บไข้  เปิดตาคนตาบอด เปิดปากคนใบ้ รักษาคนโรคเรื้อน คนง่อย เรียกคนตายให้ฟื้น เลี้ยงคน 5000 คน  (นับแต่ผู้ชาย)  ด้วยขนมปัง 5 ก้อนปลา  2 ตัว  ประชาชนเคยแห่กันมาต้องการตั้งพระเยซูเป็นกษัตริย์ 

 

       ทำไมประชาชนในวันปาล์มซันเดย์ จะไม่ไชโยโห่หิ้วล่ะ  กษัตริย์ผู้ชอบธรรม ผู้ยุติธรรม  ผู้ไม่เห็นแก่หน้าใคร ผู้มีเมตตา ผู้มาปราบคนรังแกคนอื่น เสด็จมาแล้ว  นี่ซิ  ที่เรารอคอย  นี่ซิ  พระเอกขี่ม้าขาว ความจริง พระองค์ขี่ลา ไม่ใช่ขี่ม้า  ซึ่งแสดงถึงความอ่อนสุภาพ  แต่ สำหรับประชาชน พระองค์คือพระเอกตัวจริง  ประชาชนจึงโห่ร้องสุดจิตสุดใจ  ฟังเสียงฝูงชนร้อง  ในวันปาล์ม ซันเดย์สิ  “โฮซันนา ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเจริญ  ความสุขสวัสดิมงคล  จงมีแก่แผ่นดินของดาวิด  บรรพบุรุษของเรา ที่จะมาตั้งอยู่ โฮซันนา ในที่สูงสุด” (มาระโก 11:9-10) 

 

        “ความสุขความยินดี  จงมีแก่แผ่นดินของดาวิด บรรพบุรุษของเรา ที่จะมาตั้งอยู่” 

 

    2. พระเจ้ายังคง  ปกครองอย่างเที่ยงธรรมเสมอ 

 

ดาวิตใช้คำว่า “พระเจ้าทรงเป็นพระมหากษัตริย์อยู่เป็นนิจนิรันดร์”  “นิจนิรันดร์” แปลว่า ตลอดกาล  เสมอไป   ความไม่เป็นธรรมเกิดกับคนทุกยุค  ทุกสังคม  คนมีอำนาจกดขี่คนไร้อำนาจ นายใช้คนเยี่ยงทาส  คนมั่งมีเอาเปรียบคนยากจน คนเข้มแข็งกดขี่คนอ่อนแอ ฯลฯ  พระเจ้าผู้ทรงครอบครองโลก ทอดพระเนตร แล้วพระองค์ทำอย่างไร  ผมมองดูภาพกว้าง ๆ  เห็นว่า พระเจ้าไม่เคยนิ่งเฉย  ช้าหรือเร็ว พระองค์ทรงเป็นผู้วินิจฉัย  และตัดสินพระทัย

 

       โรมันซึ่งเรืองอำนาจมากในสมัยพระเยซู  ค่อย ๆ ล่มสลาย เพราะแย่งชิงอำนาจกันภายใน 

 

                   

 

 พระวิหารที่ปฏิเสธพระเยซู นำพระองค์ไปสู่ไม้กางเขน ไม่เหลือซากให้เห็นเมื่อ โรมยกทัพมาตีกรุงแตกในปี คศ. 70 คนยิวต้องกระจายไปอยู่ในหลายประเทศทั้งยุโรป และอเมริกา

 

       พระเยซูที่พวกเขาตรึงถึงตาย  กลับฟื้นคืนพระชนม์  สาวกเริ่มก่อตั้งคริสตจักรรุ่งเรืองจนทุกวันนี้

 

        ลองอ่านประวัติศาสตร์  แล้วเราจะพบว่า  อำนาจชั่วไม่เคยยั่งยืนอยู่ได้  ความไม่เป็นธรรมไม่เคยผงาดขึ้นถาวร   ยากอบกล่าวว่า  “พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง  แต่ทรงประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจลง”  (ยากอบ 4:6)  พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ชั่วนิจนิรันดร์ 

 

          ในโลกของเราล่ะ  ใครคือผู้รักษาความเป็นธรรม  คนไทยเรามักไม่คิดในเรื่องนี้  และยกให้กับคำกล่าวลอย ๆ ว่า “ทำดี ย่อมได้ดี” ราวกับไม่มีใครควบคุม  ผมจะบอกให้ โลกเราก็เหมือนกับชั้นเรียนที่มีครู บริษัทที่มีผู้จัดการ  และประเทศที่มีศาลสถิตยุติธรรมนั่นแหละครับ  คือ มีพระเจ้าเป็นพระมหากษัตริย์ทรงธรรมปกครองอยู่   พระองค์ทรงตัดสินให้คุณให้โทษแม่นยำเสียด้วย  อยากรู้ว่าพระองค์เป็นอย่างไร  ให้ดูพระเยซู  มารีย์เคยแต่งบทกลอน  ยกย่องความเป็นธรรมของพระองค์ว่า “พระองค์ทรงถอดเจ้านายจากพระที่นั่ง  และทรงยกผู้น้อยขึ้น  พระองค์โปรดให้คนอดอยากอิ่มด้วยสิ่งดี  และกระทำให้คนมั่งมีไปมือเปล่า” (ลูกา 1:52-53) 

 

          บางครั้ง  เมื่อเราต้องอดทน เมื่อถูกรังแก  ถูกคนใส่ร้าย  เข้าใจผิด  เรามักโอดครวญเหมือนฮาบากุก  “ไฉนพระองค์ทอดพระเนตรคนทรยศ  และทรงเงียบอยู่  เมื่อคนอธรรมกลืนคนชอบธรรมเกินกว่าตัวเขาเสีย” (ฮาบากุก 1:13) แต่พระเจ้าตรัสว่า “มันยังรอเวลาของมันอยู่  ..มันไม่มุสา  ถ้าดูช้าไป จงคอยสักหน่อย มันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่  คงไม่ล่าช้านัก” (ฮาบากุก 2:3)  ในโลกใบนี้  พระเจ้าตอบสนองด้วยความเป็นธรรมถ้ายังไม่จบในโลกนี้  ในโลกหน้า  พระองค์ยัง พิพากษาอย่างเป็นธรรมให้ เหมือนเศรษฐี กับลาซารัส (ลูกา 16:19-31) 


                                 

 

  3. สรรเสริญพระมหกิจจากใจ  เป็นสิ่งที่พอพระทัย

 

       “เหล่าสาวกทุกคนเปรมปรีด์  เพราะบรรดา มหกิจที่เขาได้เห็นนั้น  จึงเริ่มสรรเสริญเสียงดัง” พวกฟาริสีมาทูลพระเยซู  ให้ห้ามสาวก ไม่ให้สรรเสริญพระเจ้า  แต่พระเยซูตรัสว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า  ถึงคนเหล่านี้จะนิ่งเสีย ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง”(ลูกา 19:37-40)

 

        การสรรเสริญพระเจ้าจากใจของเรา  เป็นที่พอพระทัย  กษัตริย์ดาวิด ได้สรรเสริญพระเจ้าในบทถัดไปว่า “เพราพระเจ้าทรงชอบธรรม  จึงทรงรักกิจการที่ชอบธรรม คนเที่ยงตรงจะเห็นพระพักตร์ของพระเจ้าได้” (สดุดี 11:7) เมื่อตอนที่ดาวิด นำหีบพันธสัญญาไมตรี ไปยังเยรูซาเล็ม  ดาวิดชื่นชมยินดี ลิงโลด กระโดดโลดเต้น  รำถวายพระเจ้าด้วยสุดกำลัง  (2 ซามูเอล 6:14)เป็นการสรรเสริญพระเจ้าจากใจ เหมือนวันปาล์มซันเดย์  พระเจ้าพอพระทัยครับ

 

         สุขสันต์วันอาทิตย์ใบปาล์ม     



Visitor 207

 อ่านบทความย้อนหลัง