จงถวายชีวิตจิตใจ ร่างกายเป็นของพระเจ้า

คุณ อรัญญา ศรีชอบธรรม

 

ก่อนเชื่อพระเจ้า  ฉันคิดเสมอว่า ชีวิต จิตใจ ความคิด เป็นของฉัน จะบงการให้ร่างกายทำอะไร ทำอย่างไร ดีหรือชั่วก็ได้ทุกอย่าง เพราะฉันเป็นเจ้าชีวิตของตัวฉันเอง

 

          แต่เมื่อรู้จักพระเจ้า เชื่อในพระองค์  โดยมีผู้เป็นกลางคือพระเยซูคริสต์ ทรงชำระบาปทุกอย่างในตัวฉัน  และจูงมือฉันเดินเข้าไปสู่แดนบรมสุขเกษมของพระเจ้าเป็นนิตย์นิรันดร์ ตั้งแต่ชีวิตปัจจุบันตลอดไปจนเข้าสู่ชีวิตหลังความตาย

 

ฉันจึงสำนึกได้ว่า ชีวิต จิตใจ ความคิด ไม่ใช่ของฉัน แต่เป็นของพระเจ้า รวมทั้งพฤติกรรม การกระทำทุกอย่าง พระเจ้าทรงมองทุกขณะจิต พระเจ้าดูเป็นสิ่งลี้ลับยากที่จะเข้าใจ ไม่เหมือนพระอื่น ๆ ที่ฉันเคยเชื่อมาก่อน

 

         ฉันจึงแสวงหาพระเจ้ามากยิ่งขึ้นทุกวัน อยากรู้จักพระองค์ อยากรู้น้ำพระทัย และพระประสงค์ของพระองค์  ทีมีต่อมนุษย์ทุกคน รวมทั้งตัวฉันว่า

 

        -ทำไมพระองค์รักมนุษย์ทุกคน และรักฉันด้วย

 

        -ทำไมพระองค์ตามหามนุษย์ทุกคน ที่หลงไปจากพระพักตร์ เพื่อนำพวกเขา รวมทั้งตัวฉันด้วย กลับยังบ้านอันเป็นดินแดนแห่งความสุขสงบ ชั่วนิรันดร์

 

        -แล้วทำไม พระองค์ตามหาฉันจนพบ

 

        -ทำไม ทำไม...

 

        มีอีกหลายเหตุผล ที่ฉันเฝ้าครุ่นคิด ค้นคว้า อธิษฐานขอความเข้าใจ ขอสติปัญญา โดยมีพระคัมภีร์เป็นเครื่องมือในการนำทาง จนฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า พระเจ้ารักฉัน (รวมทั้งมนุษย์ทุกคน)  เพราะฉันเป็นลูกที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น คือให้กำเนิดมานั้นเอง

 

       ฉันเป็นแม่ที่ต้องเลี้ยงลูก 3 คน รักพวกเขามาก ยอมสละทุกอย่างเพื่อพวกเขา ดูแลให้พวกเขาเติบโต เป็นคนดีมีความกตัญญูรู้คุณ  กับผู้มีพระคุณ และทำดี คิดดีกับทุกคนในสังคม  ซึ่งจะทำให้จิตใจของเขามีความสุข แม้ประสบความทุกข์ยากลำบากในปัญหาต่าง ๆ ที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นคนจน หรือคนรวย มั่งคั่งแค่ไหน ต่างก็หนีไม่พ้นทุกคน ฉันสอนพวกเขาพร้อมวางกฎลงโทษ ถ้าพวกเขาทำผิด ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงเข้าใจความรัก การอวยพร และการลงโทษของพระเจ้า


                                   

 

ฉันอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน  แม้จะอ่านจบไปหลายรอบ  ปัจจุบันก็ยังอ่านพร้อมขอสติปัญญา ซึ่งพระเจ้าประทานให้ และทรงนำฉันเข้าไปในความล้ำลึก ความเข้าใจชีวิตทั้งของตนเอง และผู้อื่น มากขึ้นทุกวัน เข้าใจถึงการลงโทษ และกฎเกณฑ์ของพระองค์ จนกล้าพูดหมดหัวใจว่า พระเจ้ารักฉัน และทรงปกป้อง รักษาฉันรวมทั้งบุคคลในครอบครัวของฉันทุกคน

 

         และฉันก็เข้าใจว่า ทำไมพระเจ้าโปรดปราน “เครื่องบูชาเผาทั้งตัว”  และให้คอยระวัง “ไฟที่เผานั้นให้ติดอยู่ตลอดเวลา ห้ามให้ไฟดับเด็ดขาด” (เลวีนิติ 1:4,6:12-13)

 

        ณ วันที่คำพยานนี้สู่สายตาพี่น้อง ฉันไม่ได้มานมัสการพระเจ้านานปีกว่าแล้ว  เนื่องจากความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกระทันหัน ฉันไม่เคยต่อว่าพระเจ้า ไม่เคยท้อใจ อดทนต่อความเจ็บปวด (คืออาการปวดหัวอย่างหนักแม้กินยาแก้ปวดก็ไม่หาย) ด้วยกำลังของพระเจ้า ฉันอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐานคุยกับพระเจ้าทุกวัน แลเห็นพระคุณพระเจ้ามากท่วมท้นชีวิตฉันทุกวัน

 

        ถ้าพระเจ้าไม่ดูแลรักษาฉันคงตายไปแล้ว และพระองค์นำฉันไปพบคุณหมอที่เก่ง และดูแลคนไข้ได้ดีมาก ๆ  ในทุกแผนกที่ฉันต้องเข้ารับการรักษา 5-6 แผนก ผลการตรวจดูอาการจึงรู้ว่า กายวิภาคของฉันมีความผิดปกติมาตั้งแต่เกิด เช่น ต่อมใต้สมอง แฟบ ก้อนเนื้อกระจายอยู่ทั่งร่างกาย และพร้อมจะกลายเป็นเนื้อร้าย เส้นเลือดบนสมองบางช่วงตีบเล็กผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ฉันปวดหัว มาตั้งแต่เด็ก อาการปวดหัวจนต้องกินยาแทบทุกวัน  มาหายขาดตอนฉันเข้าโบสถ์รับเชื่อพระเยซูคริสต์ แต่กลับมาเป็นอีกประมาณปีเศษ ซึ่งครั้งนี้หนักมาก ทนเสียงดังไม่ได้ ยิ่งเสียงดนตรี เสียงกลอง ฉันจะปวดจนแทบอาเจียน ยาแก้ปวดไม่ช่วยอะไรเลย หมอให้ยามาหลายตัว ฉันกินไม่ได้แพ้หมด จนที่สุดต้องให้ยาที่อ่อนมาก ซึ่งฉันกินอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งพอช่วยได้บ้าง

 

พออาการปวดหัวค่อยทุเลา ฉันก็มีอาการเพิ่มมากขึ้น จากการปวดท้องจนหมอต้องสั่ง เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ด่วน หมอบอกว่าฉันมีความผิดปกติในร่างกายมาก จึงสั่งด่วน เพื่อดูว่า ปวดและอวัยวะส่วนหน้าทั้งหมดเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ในชีวิตที่ผ่านมาฉันผ่านการผ่าตัด เล็ก-ใหญ่ มาแล้ว 6 ครั้ง เมื่อโรคหนึ่งทุเลา โรคใหม่ก็มา ซึ่งแต่ละโรค ไม่ใช่เพิ่งเกิด  มันมีอยู่แล้ว รอวันปะทุขึ้นมา ฉันจึงขอบพระคุณพระเจ้าที่สุด เพราะถ้าทุกโรคมันปะทุขึ้นมาพร้อม ๆ กันคงเหมือนภูเขาไฟระเบิด และฉันคงทนไม่ไหว คงต้องตายไปหลายปีแล้ว


                                    

 

ฉันไม่รู้ว่า พรุ่งนี้จะเผชิญความเจ็บปวดอะไรอีก แต่วันนี้จิตใจฉันมีความสุขสงบนิ่งอยู่ในร่มพรคุณพระเจ้า ฉันอายุ 74 ปีแล้ว มีแต่คนในครอบครัวเท่านั้นที่รู้ว่าฉันเจ็บป่วยมากเพียงไร คนไม่รู้จักเห็นฉันมักจะพูดว่า ฉันแข็งแรง เพราะยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุข แต่เมื่อฉันพูดถึงพระคุณพระเจ้า บอกให้พวกเขาฟังว่า พระเจ้ารักฉัน ปกป้องฉันอย่างไร บางคนทำหน้าสงสัย แปลกใจ ไม่รู้ว่าเขาจะเชื่อคำบอกเล่าของฉันหรือไม่ ซึ่งไม่เป็นปัญหาสำหรับฉัน ในการพูดถึงความรัก และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเลย  เพราะฉันเชื่อว่านั้นคือพระประสงค์ของพระเจ้าทรงต้องการให้ผู้เชื่อทุกคนทำหน้าที่เป็นพยานบอกเล่าข่าวประเสริฐให้ผู้อื่นได้ฟัง ได้รับรู้ถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ทุกคน คนที่ได้ยินได้ฟัง จะเชื่อหรือไม่เป็นหน้าที่ของพระองค์เอง   (อิสยาห์ 52:7)

 

        ฉันเป็นเพียงผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ข่าวประเสริฐ แต่พระเจ้าทรงทำให้เกิดผล ด้วยพระองค์เอง (มาระโก 4:26-29,โรม 10:17,1โครินธ์ 3:6)

 

        ฉันจึงขอหนุนใจพี่น้องอีกครั้ง ขอให้ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และรักษาไฟที่เผานั้นให้ลุกโชติช่วงทุกลมหายใจ ของท่านทุก ๆ วัน จริง ๆ แล้วท่านจะรู้ว่า พระเจ้ารักท่านมากแค่ไหน และจะมากขึ้นเรื่อย ๆ จนท่วมท้น จนท่านทนไม่ได้ ต้องรีบแบ่งปันความรัก ของพระเจ้าที่กำลังเอ่อล้นในใจของท่าน ให้ผู้อื่นได้รับด้วย

 

         ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

         



Visitor 166

 อ่านบทความย้อนหลัง