ดาวิดเผชิญอันตราย ได้อย่างไร


ศบ.


เมื่อ​ข้า​พระ​องค์​กลัว ข้า​พระ​องค์​วางใจ​ใน​พระ​องค์ ​
(สดุดี 56:3)
สตีฟ เซนนารา กล่าวว่า ความแตกต่างระหว่าง ความกลัว กับ อันตราย คือ “ความกลัว มิได้มีจริง แต่อันตรายนั้นมีจริง” อันตรายนั้น บางทีเราวิ่งไปหามัน และบางทีมันก็วิ่งมาหาเรา
วันนี้ ผมขอพูดเรื่องดาวิด เผชิญหน้าอันตรายอย่างไร


1. ดาวิดวิ่งไปหาอันตราย
คงจำกันได้น่ะครับว่า ดาวิด เป็นลูกคนสุดท้องของเจสซี ในหมู่บ้านเบ็ธเลเฮ็ม เจสซี ใช้เขาไปเลี้ยงแกะที่ทุ่งนา ในขณะที่พวกพี่ ๆ ไปเป็นทหารในกองทัพของซาอูล ทุกวันดาวิดสัตย์ซื่อ ดีดพิณสรรเสริญพระเจ้า ฝึกฝนการใช้สลิง ฆ่าหมีหรือสิง ที่มาลักลูกแกะในฝูง ตอนดาวิดอายุได้ 15 ปี กษัตริย์ซาอูล ดื้อดึง ขัดคืนพระบัญชาของพระเจ้า พระเจ้าทรงใช้ให้ซามูเอล ผู้เผยพระวจนะมาชโลมดาวิดเป็นกษัตริย์ ทำกันที่บ้านเจสซี ไม่ใช่ที่สาธารณะเอิกเกริกอะไร พระเจ้าทรงทอดพระเนตรจากฟ้าสวรรค์ เห็นเด็กหนุ่มคนนี้ศรัทธาพระองค์ ฟ้ามีตาครับ แต่ดาวิดก็ไม่ได้เห่อเหิมอะไร ยังคงไปเลี้ยงแกะตามปกติ ช่วงปีนั้นเอง พวกฟะลิศเตีย ยกทัพมารบกับคนอิสราเอล พวกเขามียอดทหาร คือ โกลิอัท อัศวินร่างยักษ์ สูง แกร่ง รบเก่ง สวมเสื้อเกราะถือหอก มีโล่หนักอึ้ง มาท้ากองทัพอิสราเอล ทุกวัน ให้กษัตรย์ซาอูลหาใครมาต่อสู้กัน แบบตัวต่อตัวกับเขา ใครแพ้ ฝ่ายนั้นก็ต้องยอมตกเป็นขี้ข้าไปทั้งเมือง คนยิวกลัวหัวหด ขลาดยักษ์ กษัตริย์ซาอูลเองก็แก้ไม่ตก จึงทรงเสนอรางวัล คือยกธิดาให้ ทั้งให้เว้นการเกณฑ์ทหาร แต่ไม่มีคนกล้าอาสาออกไปสู้กับโกลิอัทสักคน วันนั้น ดาวิดเอาข้าวห่อมาส่งให้พวกพี่ชาย ที่แนวรบ มาได้ยินยักษ์ท้าหยาบหยามคนยิว ก็ประหลาดใจ จึงขันอาสาซาอูลไปสู้กับยักษ์ “อย่าให้จิตใจของผู้ใดฝ่อไปเพราะชายคนนั้นเลย ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะไปสู้รบกันคนฟิลิศเตียคนนี้” ดูกันตามรูปการณ์ดาวิดสู้เอาชนะโกลิอัทยากยิ่ง ดาวิดเป็นเด็กน้อย อายุแค่ 15 ปีเอง ไม่เคยฝึกการใช้หอกดาบในกองทัพ กษัตริย์ซาอูลเอง ก็ยังประหลาดพระทัย เพราะดาวิดมิหวาดหวั่นพรั่นพรึงแม้แต่น้อย พร้อมเอาตัวเองเข้าไปเผชิญอันตราย พูดภาษาชาวบ้าน ก็คือ อยู่ดีไม่ว่าดี แกว่งเท้าเข้าหาเสี้ยน เอาภัยมาหาตัว แต่ดาวิดไม่กลัว เขาขันอาสา เพราะเห็นแก่กองทัพพระเจ้า ถามว่า ดาวิดเอาความกล้าหาญเช่นนี้มาแต่ไหน ครับ ก็มาแต่ความไว้วางใจพระเจ้าที่ตนผูกพันขณะเลี้ยงแกะในท้องทุ่ง
คนเรามักหาความปลอดภัยให้ตนเองเสมอ ฝรั่งเขามีภาษิตว่า “ถ้าไม่อยากให้เรืออับปาง ก็จอดมันไว้ที่ท่าเรือก็แล้วกัน” จริงซิ เรือจะปลอดภัย ไม่โดนพายุ ไม่โดนคลื่นยักษ์ถล่ม หากจอดเรืออยู่ที่ท่า พ่อแม่ทั้งหลาย หากท่านต้องการให้ลูกปลอดภัย ก็เลี้ยงเขาไว้ในรั้วรอบขอบชิด ก็แล้วกัน ไม่เสี่ยงกับอุบัติเหตุหรือภยันตรายใด ๆ แต่ลูกของท่านก็ไม่ได้อะไรเช่นกัน ถ้าดาวิดส่งข้าวห่อให้พวกพี่ชายเสร็จ กลับไปเลี้ยงแกะต่อไป ไม่มีใครว่าอะไรดาวิดได้ แต่ยิวก็ตกเป็นขี้ข้า ขี้ปากคนฟะลิศเตีย ต่อไป ไม่มีใครอยู่เป็นสุข คริสตจักรก็เช่นกัน ถ้าไม่อยากเสี่ยงทั้งเรื่องอุบัติเหตุ หรือการเงิน ก็นั่งนิ่ง ๆ อยู่ที่โบสถ์ก็แล้วกัน แต่คนไทยจำนวนมากก็พินาศไม่รู้จักพระเจ้าต่อไป


ดาวิดตัดสินใจออกไปรบ และล้มยักษ์ได้อย่างห้าวหาญ เพราะวางใจพระเจ้า อันตราย มีจริง ยักษ์ตัวใหญ่กว่าจริง ชำนาญศึกจริง มีประสบการณ์ในสงครามจริง แต่ เมื่อดาวิดวางใจพระเจ้า อันตรายที่เป็นของจริงนั้น ไม่อาจทำให้ดาวิดกลัว นักวิชาการสามารถชี้แจงได้เป็นฉาก ๆ ว่า โอกาสพลาดพลั้งในการออกไปของลูกในโลกกว้าง มีเต็มไปหมด หนึ่ง สอง สาม สี่ การล่อลวง อุบัติเหตุ การหลงทาง ความผิดพลาด ครับ ถูกต้องทั้งหมด การออกไปรับใช้ก็เช่นเดียวกัน ผมเคยได้ยินคนแจงสี่เบี้ยให้ฟังว่า การออกไปรับใช้ จะลำบาก ขัดสน ถูกคนเกลียดชัง ล้มเหลว พบการข่มเหง ถูกทั้งหมดครับ แต่มันคืออันตราย เหมือนยักษ์ที่มาประจันหน้าเรา แต่ถ้าเราวางใจพระเจ้า เราก็สามารถชนะได้เหมือนดาวิด ดาวิดเสี่ยงอันตราย และฆ่าโกลิอัทได้ การออกไปประกาศ เสี่ยงภัย แต่พระเจ้าจะช่วยให้ประสบความสำเร็จได้ เพราะวางใจพระองค์

 


2. อันตรายวิ่งมาหาดาวิด
ชัยชนะที่ดาวิดล้มยักษ์ได้ในวันนั้น ทำให้เขากลายเป็นพระเอกขึ้นมา ในเวลาชั่วข้ามคืน โด่งดังไปทั้งเมือง หนุ่ม ๆ สาว ๆ สรรเสริญเยินยอ “ซาอูลฆ่าคนเป็นพัน ดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่น” เสียงโห่ร้องกระหึ่มอย่างนี้ บาดใจกษัตริย์ซาอูล เหมือนดาราถูกแย่งมงกุฎ เหมือนพระเอกถูกแย่งซีน พระทัยอิจฉาริษยาของซาอูล บดบังพระเนตร แทนที่พระองค์จะชื่นชมสนับสนุน คนรุ่นน้อง ซาอูลกลับเอาลูกน้องมาแข่งกับตัวเอง กลายเป็นความเกลียดชัง อย่างไร้เหตุผล เราต้องระวังนะครับ ถ้าลูกทำอะไรได้ดีกว่าพ่อ พ่อน่าจะนั่งอมยิ้มชื่นชม ถ้าศิษย์ที่เราปั้น รับใช้เกิดผลกว่าเรา เราควรลิงโลด ดีอกดีใจ แต่กษัตริย์ซาอูลกลับอิจฉา พระอารมณ์ของพระองค์ผันผวน คุ้มดีคุ้มร้าย เพราะความกลัวดาวิด กษัตริย์ซาอูลจึงแต่งตั้งให้ดาวิดเป็นผู้บังคับกองพัน ออกรบ คาดว่าดาวิดคงไปตายในสนามรบ แต่การณ์กลับตรงกันข้าม ดาวิดออกไปรบที่ไหน ก็ชนะที่นั่น ครั้งหนึ่งขณะดาวิดดีดพิณเพราะ ๆ ถวายกษัตริย์ซาอูล ด้วยแรงริษยา ซาอูลก็เอาหอกพุ่งใส่ดาวิด เพื่อจะฆ่าเสีย ยังดีนะครับที่ดาวิดหลบได้ทัน จึงรอดมาได้หวุดหวิด ดาวิดคิดว่า ซาอูลเป็นอย่างนี้ เขาคงมอดม้วยมรณังเข้าสักวัน เพราะซาอูลเกลียดชังตัวเขา
ผมเล่าให้สั้นลง
ดาวิดตัดสินใจหนีซาอูล ระหกระเหิน เข้าป่า ขณะที่กษัตริย์ซาอูลเอากองทัพทหารออกไล่ล่าเด็กหนุ่มคนเดียว เหมือนผู้ใหญ่รังแกเด็ก เหมือนพรานล่าเหยื่อ แผ่นดินอิสราเอล มันกว้างใหญ่ไพศาลซะที่ไหน เด็กคนเดียวจะไปซ่อนตัวที่ไหนพ้นกองทัพมหึมาของกษัตริย์ที่มีกำลังได้หรือ ค้นหากันทุกซอกทุกมุม มีหรือจะรอดไปได้ คราวนี้แตกต่างกับการต่อสู้กับยักษ์น่ะครับ คราวก่อน ดาวิดสมัครใจออกไปรบกับยักษ์เอง วิ่งออกไปหาอันตรายเพื่อชาติเอง แต่หนนี้ อันตรายวิ่งมาหาเขาโดยเขาไม่ได้เลือก ผู้เชื่อก็อย่างนี้แหละ แต่ละวันเราขันอาสาออกไปทำพระราชกิจ เสี่ยงภัย แต่บางครั้ง พระเจ้าก็ทรงอนุญาตให้โพยภัยผจญเราอย่างเลี่ยงไม่ได้
ยุคเรานี้ มีอันตราย รายรอบทิศ สุดจะปิด ปกป้องตัว ทำรั้วกั้น
ทุกแห่งหน คนชั่วช้า สารพัน ทุกวี่วัน มหันตภัย อยู่ใกล้ตัว
พระเป็นเจ้า ให้เราเฝ้า อธิษฐาน ขอให้พ้น ภัยพาล การเย้ายั่ว
ฉลาดเหมือนงู รู้เท่าทัน มิพันพัว ดั่งพิราบ สุภาพชั่ว คนกลัวเกรง

ภัยที่มาผจญดาวิดคราวนี้ ไม่ธรรมดา ตอนนั้น ดาวิดอายุประมาณ 25 ปี โยนาธัน โอรสของกษัตรย์ซาอูล รักนิยมชมชอบในตัวดาวิดมาก พยายามโน้มน้าวใจพ่อให้เลิกแสวงชีวิตดาวิด ครั้นทราบแน่ว่าตนเปลี่ยนใจพ่อไม่ได้ จึงจำใจยอมให้ดาวิดหนีไป เพื่อความปลอดภัย ( 1 ซามูเอล 20: 42)
ดาวิดก็เริ่มซัดเซพเนจร ที่แรกคือพระนิเวศ ดาวิดเข้าไปพึ่งอาหิเมเลค ปุโรหิต ที่เมืองโนบ ขณะที่ปุโรหิตกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ท่านก็ตัดสินใจ ให้ขนมปังไร้เชื้อ แก่ดาวิดทานแก้หิว ทั้งให้ดาบที่ดาวิดเคยใช้ฆ่าโกลิอัท ตามที่ดาวิดขอ คงเพื่อป้องกันตัว ( 1 ซามูเอล 21:6,9) ภายหลังมีคนชั่วไปฟ้องกษัตริย์ซาอูล พอพระองค์ทราบเรื่อง ก็สั่งให้ประหารอาหิเมเลค กับปุโรหิตอื่นอีกหลายคน ทั้งพวกภรรยา ลูกเล็กเด็กแดง ที่นั่นทันที (1 ซามูเอล 22:6-19) ประเมินดูเอาก็แล้วกันว่า กษัตริย์ซาอูลจงเกลียดจงชังดาวิดแค่ไหน
ดาวิดหมดทางไปครับ จึงหนีไปต่างแดน จากซาอูลไปหาอาคีช พระราชาเมืองกัท คนฟะลิศเตีย ศัตรูที่ดาวิดเคยเอาชนะ แต่คนเขาจำดาวิดได้ มหาดเล็กของอาคีช ทูลว่า “ดาวิดคนนี้ไม่ใช่หรือ.... ที่เขาร้องเพลงกันว่า ซาอูลฆ่าคนเป็นพัน แต่ดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่น ๆ” (1 ซมอ 21:11) แย่แล้ว! ไม่ถึงที่ตายคราวนี้ แล้วจะไปถึงที่ตายคราวไหน นี่ถ้าเป็นทุกวันนี้ คงต้องไปทำบัตรใหม่ เปลี่ยนชื่อใหม่ นามสกุลใหม่ ทำศัลยกรรม เปลี่ยนโฉมหน้าตาตัวเองใหม่ ให้คนจำไม่ได้ ดาวิดไม่มีทางออกครับ จึงเปลี่ยนภาพลักษณ์ตนเองฉับพลัน “ดาวิดเปลี่ยนอากัปกริยาต่อหน้าเขาทั้งหลาย ทำตนเป็นคนบ้า ทำท่าขีดเขียนโน่นนี่นั่นที่ประตู ปล่อยให้น้ำลายไหลเลอะเปรอะเครา” ( 1 ซมอ 21:10-13) ได้ผลครับ อาคีช สั่งให้ไล่คนบ้าออกจากนิเวศตน “ข้าขาดคนบ้าหรือ เจ้าจึงพาคนนี้มาทำบ้าให้ข้าดู คนอย่างนี้ควรเข้ามาในนิเวศข้าหรือ” (1 ซมอ 21:15) ดาวิดรอดตายหวุดหวิดอีกครั้ง หนีกลับไปอยู่ในถ้ำอดุลลัม แดนยิวอันตรายอย่างเดิม

 


หมดที่พึ่งละครับ ดาวิดพลัดที่นาคาที่อยู่ ไร้ที่พักพิง ระหก ระเหิน เหมือนกไร้รัง หาที่ซุกหัวนอนไม่ได้ ศัตรูนั้นก็มากหลายเหลือคณนานับ พวกเขารวมหัวกัน ซ่อนเร้น แยบยล เหมือนอย่างที่พระเยซูทรงเผชิญ หลายปีต่อมา แต่ผมจะบอกเคล็ดลับของดาวิดให้ ดาวิดเผชิญอันตรายที่พุ่งมาหาตน โดยวิธีเดียวกับต่อสู้ยักษ์ครับ คือดาวิดไว้วางใจพระเจ้า ท่านเปิดใจในสดุดี 56:3 ว่า “เมื่อข้าพระองค์กลัว ข้าพระองค์วางใจในพระองค์“ คนเราเวลาอันตรายวิ่งเข้ามาหาตัว เราอาจหวาดหวั่น ตกอกตกใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ครอบครัว เรื่องการเงิน เรื่องสุขภาพ หรือเรื่องงานรับใช้ เราใจหายใจคว่ำเมื่อมีวิกฤติ ให้เราเอาดาวิดเป็นตัวอย่าง เมื่อมีเรื่องชวนให้ขลาดกลัว ดาวิดวางใจพระเจ้าครับ จงจำไว้ว่า ที่พึ่งสำคัญคือพระเจ้า ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต สิ่งใด ๆ ก็เกิดขึ้นกับเราไม่ได้ แม้มันดูหมิ่นเหม่ราวกับยืนอยู่ปากเหว แต่ถ้าพระองค์ทรงอยู่ข้างเรา มันปลอดภัยยิ่งกว่า อาศัยอยู่ในป้อมปราการอันแข็งแกร่งเสียอีก คนหรือจะสู้พระเจ้าได้ “ในพระเจ้า ข้าพระองค์วางใจ อย่างปราศจากความกลัว เนื้อหนังจะทำอะไรแก่ข้าพระองค์ได้” (สดุดี 56:4)
เมื่อดาวิดเดินถูก เลือกสิ่งดี ท่านมั่นใจว่าพระเจ้าอยู่ข้างท่าน พระองค์ทรงสนพระทัยในทุกข์สุข “ทรงนับการระหกระเหินของข้าพระ องค์” (สดุดี 56:8 ) ย้ายมากี่บ้าน นอนมากี่ที่ กะโพลกกะเพลกมากี่ก้าว เดินทางมากี่ลี้ พระเจ้าวัดระยะทางและ บันทึกเอาไว้หมด “ทรงเก็บน้ำตาของข้าพระองค์ ใส่ขวดของพระองค์ไว้” (สดุดี 56:8 ) พระเจ้ามีขวดเก็บน้ำตาด้วย ท่านร้องไห้โฮมากี่ครั้ง มีน้ำตามากี่หยด มันไม่ได้หยดลงพื้นสูญเปล่าหรอก ถูกบรรจุลงในขวดของพระเจ้า น้ำลายที่ไหลหยดลงที่เคราดาวิดต่อหน้าอาคีช พระเจ้าเก็บไว้ในถ้วยตวง มันอยู่ในบัญชีของพระองค์ จงจำไว้ พระเจ้าใส่พระทัยครับ

 


วันนั้น อาคีช มีสิทธิฟังคำแนะนำของมหาดเล็กที่มารื้อฟื้นความทรงจำ ว่าดาวิด คืออัศวินของยิว ศัตรูตัวฉกาจฉกรรจ์ ที่พวกยิว ยกย่องว่าฆ่าคนมากเป็นสิบเท่าของซาอูล อาคีช สามารถระลึกได้ว่า ดาวิดคนนี้ เคยทำให้ชาวฟะลิศเตียอัปยศอดสูแค่ไหน ที่ฆ่าโกลิอัท ยอดทหารเขาได้ อาคีช อาจแลเห็นว่า ดาวิดแกล้งบ้า ทำตัวเป็นบ้าใบ้เอาตัวรอด ยามคับขัน ครับ ในวิกฤติดาวิดร้องทูล ท่านวางใจพระเจ้า แล้วพระองค์ทรงสามารถทำให้อาคีช ซื่อบื้อ เซื่อเซอะ โง่เง่าเตาตุ่น สมองว่าง คิดอะไรไม่ออก อย่างน่าประหลาด แลเห็นแต่เพียง “ไอ้นี่มันบ้า เอาคนบ้าออกไปให้พ้น” ดาวิดถึงรอดตาย อาคีช คิดได้อย่างไร เกิดขึ้นจากพระเจ้าแท้ ๆ ดาวิดกล่าวว่า “แล้วศัตรูของข้าพระองค์หันกลับ ในวันที่ข้าพระองค์ร้องทูล ข้าพระองค์ทราบเช่นนี้ว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่ฝ่ายข้าพระองค์” ( สดุดี 56:9) มีกี่ครั้ง ที่เราใจหายใจคว่ำ กับปัญหาเรื่องคน เรื่อง เงิน เรื่องสุขภาพ เรื่องงานรับใช้ แต่แล้ว สถานการณ์มัน พลิกกลับ อย่างการวินิจฉัยของ อาคีช พลิกกลับอย่างเหลือเชื่อ ดาวิดว่าการพลิกกลับ คือหมายสำคัญ ว่าพระเจ้าอยู่ฝ่ายท่าน และจะอยู่ฝ่ายท่านไปอย่างนี้ทุกเรื่อง จน ดาวิดประสบชัยชนะในที่สุด เราก็เช่นเดียวกัน หากเราวางใจพระเจ้า อย่างดาวิด ทั้งเมื่อเราวิ่งไปหาอันตราย และเมื่ออันตรายวิ่งมาหาเรา แล้วเราจะได้โห่ร้องอย่างชื่นบานอย่างแน่นอน
ขอพระเจ้าอวยพรครับ



Visitor 253

 อ่านบทความย้อนหลัง