ข่าวประเสริฐประกาศแก่คนอนาถา


ศบ.


นำข่าวดีไปหาคนยากจน (ลูกา 4:18)
และข่าวประเสริฐก็ประกาศแก่คนอนาถา (มธ 11:5)
วันนี้เป็นวันสงเคราะห์ เราได้จัดถุงถวายพิเศษ เพื่อเงินถวายในถุงพิเศษนี้ จะได้นำมาช่วยเหลือสงเคราะห์ครอบครัวยากจนระหว่างปี พระเยซูตรัสว่า “คนจนอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอ” (ยอห์น 12:8) คริสตจักรไม่เคยขาดคนจน และในสังคมที่เราอยู่ มีคนที่มีฐานะ มีคนชั้นกลางและก็มีคนยากจน ซึ่งพระเจ้าทรงปารถนาให้เราช่วยเหลือเจือจุน คนเหล่านี้
ผมสังเกตว่า พระเยซูทรงประกาศพระกิตติคุณแก่คนทุกฐานะ แต่กลุ่มคนที่ตอบรับพระกิตติคุณดีที่สุด เป็นคนเจ็บคนยากจน คนอนาถา


1. ทำไมคนจน อนาถา จึงตอบรับพระกิตติคุณดี
คนจนเข้าถึงง่าย คริสตจักรเราคุ้นเคยกับการออกไปประกาศในกรุงเทพ ด้วยทีมที่ไปตามหมู้บ้าน แน่นอนบ้านเศรษฐีมักมีรั้วรอบขอบชิด มีบริเวณกว้างขวาง มีสาวใช้ มีคนสวน มีสุนัขตัวโต ๆ ซึ่งใครจะเข้าไปถึงตัวยาก ผู้ที่ประกาศ อยากเป็นพยานกับเศรษฐี ต้องใช้วิธีอื่นไม่ใช่เดินไปตามซอกซอย แต่บ้านคนยากจน อยู่ในชุมชนแออัด ไม่มีรั้วอะไร มีบริเวณอยู่เท่าแมวดิ้นตาย การแวะที่หน้าบ้านก็ถึงตัวเจ้าบ้าน ไม่ต้องผ่านคนยาม หรือสาวใช้


คนขาดแคลน เสาะหาผู้ช่วย คนง่อยที่ขอทานหน้าพระวิหาร ชะเง้อหาทุกวันว่าใครที่ผ่านมาจะช่วย เรื่องแรกที่เขาต้องการ คือ อาหารเพื่อประทังชีวิต ในขณะที่เศรษฐี มีอาหารบริบูรณ์ มากจนเกินพอ สุขภาพก็เช่นกัน คนเจ็บคนป่วย ร้องหาคนช่วย ในขณะที่คนสุขภาพดี แข็งแรงไม่สนใจ พระเยซูตรัสว่า “คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนที่เห็นว่าตนปกติไม่ต้องการ” ในสมัยของพระองค์ กลุ่มคนแรก ๆ ที่มาหาพระองค์จึงเป็นคนเจ็บคนป่วยมากมายไปหมด มาระโกบรรยายว่า “เวลาเย็นวันนั้น ครั้นตะวันตกแล้ว คนทั้งหลายพาบรรดาคนเจ็บคนป่วย และคนที่มีผีสิงมากาพระองค์ และคนทั้งเมืองก็แตกตื่นมาออกันที่ประตู พระองค์จึงทรงรักษาคนเป็นโรคต่าง ๆ ให้หายหลายคน และได้ทรงขับผีออกเสียหลายผี” (มาระโก 1:32-34) 

คนยากจน เปิดใจง่ายกว่า พระกิตติคุณเป็นความจริง ถ้าใครฟังด้วยใจเป็นธรรม ไม่มีทิฐิ ก็จะเข้าใจและรับไว้โดยง่าย แต่หลายครั้งความมั่งมีศรีสุข การเป็นคนเก่งมีความสามารถรอบตัวของเรา เป็นกำแพงขวางกั้นการเข้ามาต้อนรับพระคริสต์ ตราบเท่าที่คนเรายังดิ้นได้ พึ่งตนเองได้ มีช่องทางเดินได้ มิได้สิ้นเนื้อประดาตัว เราก็จะมุ่งมั่นทำของตนเองไป สมัยพระ เยซูก็เช่นเดียวกัน เศรษฐียึดติดกับทรัพย์ของตน จนแลไม่เห็นราคาสวรรค์ พระองค์ตรัสว่า “เศรษฐีเข้าสวรรค์ก็ยากนักหนา ตัวอูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่า” ตรงกันข้ามกับคนยากคนจนทั่วไป มาระโก บรรยายว่า “ฝ่ายประชาชนฟังพระองค์ด้วยความยินดี” (มาระโก 12:37)


คนจนมักเห็นคุณค่าของการเชิญชวน ถึงวันนี้ คริสตจักรก็ดี ผู้ประกาศก็ดี ในสังคมทั่วไป ยังมิได้มองว่า มีราคาค่างวดอะไร เมื่อเทียบกับการรับเชิญไปงานปาร์ตี้ สังสรรค์ งานบอล กาลาดินเนอร์ ตนเองมีเวลาน้อยนิดอยู่แล้ว เพราะคิดว่าตนเองมีธุระยุ่งมาก กับครอบครัว กับอาชีพ กับการพัฒนาธุรกิจของตน หลายคนจึงมิอาจสละเวลากันมีค่า ให้แก่การมาโบสถ์ฟังเทศน์ฟังธรรม


พระเยซูเล่าเป็นอุปมาว่า “มีคนหนึ่งทำการเลี้ยงใหญ่ จัดอาหารชั้นดี จัดดนตรีชั้นเลิศ ส่งบ่าวออกไปเชิญแขกเหรื่อ ผู้ทรงเกียรติ แต่บรรดาคนเหล่านั้นพากันขอตัว คนแรกว่า “ข้าพเจ้าได้ซื้อนาไว้ จะต้องไปดูนานานั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ” อีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าซื้อโคไว้ห้าคู่ และจะต้องไปลองดูโคนั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ” อีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงานใหม่ ฉะนั้นข้าพเจ้าไปไม่ได้” ที่แก้ตัวกันนั้น เรื่องสามัญทั้งนั้น ไม่ว่างเพราะไม่เห็นราคา ทั้งงานทั้งคนเชิญชวน พระองค์เล่าต่อว่า “นายทราบก็โกรธ จึงให้บ่าวออกไปตามถนนใหญ่ ตรอกน้อยในเมือง พาคนจน คนพิการ คนตาบอด และคนเขยกมาที่นี่” (ลูกา 14:15-22) ได้ผลครับ คนจน คนเจ็บมากันตรึม เชิญชวนง่ายกว่าเยอะ เขาเห็นค่าเห็นราคา เห็นเป็นเกียรติ และนี่เป็นเหตุที่ทำให้เขาพบพระเจ้าก่อนใคร มีเหมือนกันที่เข้ามาโดยอ่านไม่ออกว่า พระกิตติคุณนั้นทรงเกียรติอะไร นายก็ตำหนิเขา


2. ความรอดต้องมาก่อน พระพรจึงจรตาม

นี่คือสิ่งที่พระเยซูทรงสั่งสอน และกระทำให้เราดูเป็นแบบอย่าง พระกิตติคุณเดินนำหน้าการสงเคราะห์
พระองค์ตรัสว่า “จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้” การประกาศนำให้คนได้รับความรอดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ชีวิตใหม่ในพระเจ้าทำให้ผู้เชื่อ มีสันติสุข มีเป้าหมายใหม่ มีนิสัยใหม่ เป็นชาวแผ่นดินสวรรค์ พบสันติสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า แล้วพระเจ้าทรงประทานพร ดูแล เรื่องที่เรากระวนกระวาย ทุกอย่าง สิ่งที่พระเยซูทรงกระทำขณะอยู่ในโลก พระองค์เสด็จไปตามนคร และหมู่บ้านโดยรอบ เทศนา สั่งสอน นำพระกิตติคุณไปให้เขา แต่เมื่อพวกเขาอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ไม่มีอาหารรับประทาน พระองค์ก็เลี้ยงอาหารพวกเขา ด้วยการเสกขนมปัง ห้าก้อนปลาสองตัว เลี้ยงพวกเขา


การสงเคราะห์ ที่มาก่อนการประกาศนำวิญญาณ มักทำให้คนติดสิ่งสงเคราะห์ และกลับกลายเป็นไม่พบพระเจ้า ติดสิ่งของ ทรัพย์ การช่วยเหลือ มากกว่าการติดพระเยซู เปาโลว่า เหมือนการสร้างอาคารโดยการวางรากไว้ที่ ไม่ ฟสงหญ้าแห้ง เงิน ทอง เพชร ฯลฯ แล้วพอพวกเขาพบ พายุชีวิต ก็ละทิ้งพระเจ้าไป ผิดพลาดที่เราเอง ผู้มุ่งนำคนโดยใช้สิ่งอื่น ก่อนให้เขาพบพระเจ้า (1โครินธ์ 3:11-15)

 


3. ทรงอุปถัมภ์คนยากจน ให้เขามั่งมี

คนอนาถา คนยากจน ที่เข้ามาพบพระเจ้า ไม่มีใครจนอยู่อย่างนั้นตลอดการ
เปาโลกล่าวถึงพระเยซู ว่า “เพราะท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูคริสตเจ้าของเราแล้วว่า แม้พระองค์มั่งคั่ง พระองค์ก็ทรงยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะเป็นคนมั่งมี เนื่องจากความยากจนของพระองค์” ( 2 โครินธ์ 8:9) ความจริง พระเยซูทรงช่วยให้เรา มั่งมีขึ้นทุกด้าน พูดเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น รอบรู้มากขึ้น มีชีวิตชีวาขึ้น รวยรักด้วย (2 คร 8:7) เพราะแต่เดิมเราแย่ทุกด้าน แต่ที่แน่นอน คือเรามิได้รวยขึ้นเฉพาะฝ่ายวิญญาณ แต่รวยทรัพย์ด้วย เพราะบริบทของพระคำตอนนี้ เปาโลพูดเรื่องทรัพย์ และขณะที่พระเยซูเข้ามาในโลก พระองค์ก็ยอมเป็นคนจนทรัพย์ เกิดในคอกวัว โตที่นาซาเร็ธ หมู่บ้านคนจน เป็นช่างไม้ เมื่อโยเซฟ จากไป มารีย์ เป็นแม่ม่าย ในครอบครัวมีน้อง ๆ ตั้ง 5-6 คน เมื่อทำพระราชกิจ ไปไหนมาไหน อย่างคนจรหมอนหมิ่น แต่ความยากจนของพระองค์นั้น ทำให้เราที่กลับใจมาเชื่อพระเจ้า มั่งคั่งขึ้น ครับ คือรวยขึ้น มีฐานะการเงินดีขึ้น ผมอยู่ในโบสถ์สามัคคีธรรมมาหลายปี เราสอนให้พี่น้องถวายสิบลด สอนให้ขยันทำงาน สัตย์ซื่อกับนายจ้าง สิ่งที่เห็นได้ก็คือ พี่น้องผู้เชื่อมีชีวิตดีขึ้น มั่งคั่งขึ้นด้วย อาจารย์โดแนล แมคกราแวน เรียกว่า การชุบชีวิต (Redemptive Lift) ผมจึงว่า ไม่มีคนอนาถาที่ไหน มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยากจนเหมือนเดิมเรื่อยไป เว้นแต่ เขามีของประทาน อยู่อย่างยากจน เพื่องานพระเจ้า ( 1 คร 13:3 ) เราจึงมีบ้าน มีรถ มีธุรกิจ มีเรือกสวนไร่นา ล่ำซำขึ้น ซึ่งต้องโมทนาพระคุณของพระเจ้า เพราะอดีตเราอาจมาตัวเปล่า เสื่อผืนหมอนใบ เร่ร่อน เช่าบ้าน เช่าคอนโด ขึ้นรถเมล์ ซ้อนมอเตอร์ไซค์ วันนี้ เราเป็นเจ้าของงานอะไร ต่อมิอะไรมากมาย ทำให้เราโมทนาพระคุณ

 


4. มั่งคั่งแท้ ต้องเผื่อแผ่คนอื่น
แล้วก็มาถึงเรื่องสำคัญ พระเยซูช่วยให้เรามั่งคั่งขึ้นเพื่ออะไร จากสวรรค์ ทรงยอมยากอยู่อย่างยาก เพื่อช่วยให้เรากลายเป็นคนมั่งมีเพื่ออะไร? คงไม่ได้จบอยู่แค่นี้
แน่นอน ผู้สำนึกถึงพระคุณ มีคำตอบให้ตัวเองชัดเจน คำตอบคือ เพื่อเราจะได้ช่วยคนอื่นต่อไป ในบริบทของพระคัมภีร์ข้อนี้ เปาโลพี่น้องชาวโครินธ์ว่า “ท่านทั้งหลายจงประกอบการกุศล เหมือนกันเถิด” ( 2 คร 8:7) ในโลกนี้ มีเจ้าสัว พ่อเลี้ยง มีมหาเศรษฐี ที่รวยล้นฟ้ามากมาย ท่านเหล่านี้แตกต่างจาก ผู้เชื่อที่พระเยซูทรงชุบชีวิตขึ้นมาอย่างไร มันต่างกันครับ ต่างกันที่ เขามั่งคั่งเพื่อตัวเขาเอง แต่ผู้เชื่อมั่งคั่ง เพื่อแผ่นดินของพระเจ้าและการช่วยเหลือคนอื่น เขาส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในโลก แต่ผู้เชื่อส่ำสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ที่ตัวหนอน และสนิมกัดกินไม่ได้ ขโมยก็ปล้นไม่ได้เสียด้วย ( มัทธิว 6:20)
สรุปนะครับ คริสตจักรมีภารกิจสำคัญ คือประกาศพระกิตติคุณ คนที่ตอบรับดีที่ที่สุด มักเป็นคนยากจน คนเจ็บ คนป่วย ไม่เป็นไรครับ แต่ความรอดต้องเป็นเรื่องเอกของเขา เมื่อเขาพบพระเจ้า เขาเชื่อฟัง ปฏิบัติตาม พระเจ้าจะช่วยให้เขามั่งคั่งขึ้น จนเขาสามารถช่วยคนอื่นต่อไปได้ด้วย

ขอพระเจ้าอวยพรครับ



Visitor 139

 อ่านบทความย้อนหลัง