พระเยซูทรงเปรมปรีดิ์


ศบ.
“ในโมงนั้นเอง พระเยซูทรงมีความเปรมปรีด์ ในพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ลูกา 10:21)

 


พระเยซูทรงได้รับพระฉายานามว่า “บุรุษแห่งความเศร้า”
เข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไม พระองค์จึงได้รับพระนามนี้ เพราะพระองค์เสด็จมาช่วยคน นำคนมาหาพระบิดา เมื่อคนที่พระองค์จะนำมาดื้อดึง ไม่ยอมมา ไม่ต้อนรับพระองค์ แน่นอนพระองค์ยอมเศร้าพระทัย ไม่ใช่เศร้าน้อย ๆ เสียด้วย เพราะมนุษย์นั้นเป็นที่รักของพระองค์ ลูกชาวบ้านดื้อ เราคนไม่ทุกข์โลกอะไรมากมายนัก แต่ลองเป็นลูกของเราเอง ไม่เชื่อฟังดื้อดึง เราที่เป็นพ่อแม่ย่อมเศร้าใจ ตรอมตรม หวานอมขมกลืนแน่นอน เพราะรักมากยังไงล่ะ ถึงได้เศร้ามาก
ยิ่งรู้อะไร ๆ มาก ยิ่งเศร้ามาก ผมเคยเห็นพ่อแม่บางคน มีลูกเกเร ไม่เอาถ่าน ไม่เรียนหนังสือหนังหา เที่ยวเตร่ เล่นเกมส์ มั่วเซ็กส์ และผมก็เห็นว่าพ่อแม่ไม่ทุกข์ใจอะไร สักเท่าไร อดคิดไม่ได้ว่า คงเป็นเพราะเขาเก่ง เขาทำใจได้ แต่เมื่อพินิจพิเคราะห์ดู ผมคิดว่า เป็นเพราะเขาไม่รู้พิษสงของ การดื้อดึง และปล่อยตัวสำมะเลเทเมามากกว่า เขาไม่ตระหนักว่า มันจะส่งผลอะไรกับลูกในอนาคต มันจะส่งผลอะไรกับ ครอบครัว กับลูก หลาน เหลน โหลน กับการอยู่ในสังคมของเขา และที่จะทำให้ลูกเอาตัวไม่รอด เขาก็ไม่รู้ การไม่รู้ ทำให้ ลดระดับความทุกข์ใจขอเขาไปไม่น้อย อันนี้ผมประเมินเองน่ะครับ
หันมาพูดถึงพระเยซู พระองค์ทรงทราบคุณค่าแห่งชีวิตเรา ว่ามีค่าสูงแค่ไหน ทรงตรัสว่า ทรัพย์สมบัติหมดสิ้นทั้งโลกยังเอามาแลกกับชีวิตคนคนหนึ่งไม่ได้ ทรงทราบว่า ใจขบถ ดื้อดึงน่ารังเกียจขนาดไหน เวลาคนยิวขบถต่อพระองค์ คนไทยเราว่า รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี พระองค์รักเขา จึงทรงตีสอนเขา ตีแล้วต้อนตีให้เจ็บจะได้เข็ดหลาบ แต่เขายังดื้อต่อไม่หยุด จึงทรงตรัสว่า จะให้เฆี่ยนตรงไหนอีก ที่เฆี่ยนก็ระบมหมดไปทั้งตัว ยังไม่เลิกหรือ พ่อแม่ตีลูกก็เพราะไม่อยากเห็นหายนะซึ่งจะบังเกิดกับลูกในอนาคต ถามว่า พระองค์ทรงทราบไหมว่า อนาคตผู้ไม่เชื่อฟังจะเป็นอย่างไร แน่นอน พระองค์ทรงทราบดียิ่งกว่าผู้ใด ทรงรู้ว่าบั้นปลายนั้นน่าเวทนาเพียงไร แล้วคนที่พระองค์รักจะต้องไปลงเอยที่นั่น มีหรือพระองค์จะไม่ทุกข์หนักในพระทัย การที่พระเยซูทรงถูกฉายานามว่า บุรุษแห่งความเศร้านั้นถูกต้องแล้ว เวลาเขาทำหนังเรื่องพระเยซู ให้เห็นภาพว่าพระองค์ไม่ทรงพระสรวล หัวเราะ กิ๊ก ๆ กั๊ก ๆ กระโดดโลดเต้น แต่ทรงพระลักษณะค่อนข้างเคร่งขรึมนั้น สมเหตุสมผลแล้ว ปกติ เราเองก็มีประบการณ์ ความทุกข์ใจอยู่ไม่น้อย แต่ส่วนมากเป็นเรื่องของตัวเอง ทุกข์เพราะไม่ได้นั่น ไม่ได้นี่ ทุกข์เพราะบาปของตัวเอง ทุกข์เพราะโทษที่จะตามมา หากใครจับได้ ไล่ทัน ก็คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทุกข์เพราะหวาดหวั่น กับอนาคตที่ไม่แน่นอน ผมจะบอกไห้ พระเยซูไม่เคยทุกข์พระทัยเพราะเรื่องพรรณนี้เลย ทุกข์ของพระองค์ เป็นทุกข์เพราะคนอื่นทั้งสิ้น ทุกเพราะรักเราต่างหาก
บิดาที่รอคอยบุตรน้อยทุกข์ใจ นั้นกินไม่ได้ นอนไม่หลับ น้ำหนักลดลง เพราะรักลูกน้อยที่กำลังหลงทาง ไม่กลับมาบ้าน คำอุปมานี้ จึงสะท้อนภาพพระเยซูคริสต์เอง พระคัมภีร์บรรยายว่า พระองค์อธิษฐานทั้งคืน ทรงถือศีลอดอาหาร ทรงเศร้าพระทัย ทรงกรรณแสงสงสารคน
แต่พระคัมภีร์ที่เราอ่านวันนี้ บอกเราว่า “พระองค์ทรงเปรมปรีด์ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ “
จึงทำให้ผมสนใจเป็นพิเศษ

 


พระองค์ทรงดีใจ มีความสุขรื่นรมย์ ในโมงนั้น ผมนึกภาพว่า คงจะเห็นพระองค์ยิ้มแย้มแจ่มใส ร่าเริง ซึ่งแน่นอนสาวกที่อยู่ใกล้เคียงย่อม พลอยรื่นรมย์ไปด้วย คำถามก็คือ พระองค์ชื่นพระทัยเรื่องอะไร คำตอบอยู่ในข้อความถัดมาครับ
จึงตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ผู้เป็นพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และโลก ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากผู้มีปัญญา และผู้ฉลาด แต่ทรงสำแดงให้ผู้รู้น้อยรู้ ข้าแต่พระบิดา พระองค์ทรงเห็นชอบดังนั้น” (ลูกา 10:21)
ผมรู้แล้ว พระเยซูทรงดีพระทัยเรื่องอะไร
เรื่องตาสาตาสี คนยากคนจน คนลำบากยากแค้น คนบ้านนอกคอกนา คนจรหมอนหมิ่น พากันมาหาพระองค์ ถามว่าพระองค์ไม่ประสงค์จะช่วยเหลือคนที่มีสติปัญญา หรือคนฉลาดหรือ เปล่าเลย ปราชญ์ทั้งหลาย ศาสตราจารย์ทั้งหลาย เมธีทั้งปวง เป็นบุคคลแรก ๆ ที่สมควรได้เห็นสัจจะธรรม และเข้ามาต้อนรับ เชื่อถือเปิดหูออกฟังพระเยซู แต่น่าเสียดายน่ะครับ คนเหล่านี้พากันปฏิเสธ

 


ผมเพิ่งเดินทางกลับมาจากยุโรป ได้ไปเยี่ยมชม Colosseum โรงละครที่ กรุงโรม ที่มีชื่อเสียงมาก โรงละครแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นในช่วงแรก สร้างเสร็จในยุคของจักรพรรดิ ทิตัส โดยสถาปนิกผู้มีปัญญา ในปี คศ 79 คริสเตียนในศตวรรษต้น เคยมาถูกประหารชีวิต นับไม่ถ้วน โดยการถูกสิงโตกินบ้าง ถูกตรึงที่กางเขนบ้าง ถูกตัดศีรษะที่นั่น ก็มีไม่น้อย ผมอดคิดไม่ได้ว่า คนกลุ่มแรก ๆ ที่มาเชื่อพระเยซูเป็นชาวบ้าน เป็นทาส เป็นคนไม่มีความรู้เสียส่วนมาก เปาโลจึงว่า “จงพิจารณาดูว่าพวกท่านที่พระเจ้าทรงเรียกมานั้นเป็นคนพวกไหน มีน้อยคนที่โลกนิยมว่ามีปัญญา มีน้อยคนที่มีอำนาจ มีน้อยคนที่มีตระกูลสูง แต่พระเจ้าทรงเลือกคนที่โกถือว่าโงเขลา เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย และได้เลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนแข้งแรงอับอาย” คนสามัญเหล่านี้ เขาเชื่อพระเยซู เขาเชื่อจริง ถึงคราวถูกฆ่า พวกก็พร้อมพลีชีพเพราะเชื่อพระเยซู นอร์แมน แลงฟอร์ด เล่าในหนังสือ ชื่อ Fire upon the earth ที่ผมพกติดตัวไปอ่านด้วย ท่านเล่าว่า ยิ่งถูกการข่มเหง ความเชื่อของคริสเตียนเหล่านั้นยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ทำให้คนในรั้วในวังหลายคนมาเชื่อพระเจ้า แท้จริง คริสต์ศาสนา มีราฐานมาจาก ผู้น้อยที่ยืนหยัดเชื่อพระเจ้าในช่วงต้น
พระเยซูทรงชื่นพระทัย เวลา เห็นคนเก็บภาษี หญิงโสเภณี ทาส ชาวบ้าน ฝูงชนจำนวนมากทะลักกันเข้ามาเชื่อถือในพระองค์ พวกเขาฟังพระองค์ เข้าใจ ตาสว่าง นำคำสอนออกไปปฏิบัติ ในขณะที่พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ บาเรียน ทั้งหลายที่โลกถือว่าเป็นปราชญ์ดูหมิ่นพระดำรัส ฟังพระองค์ไม่เข้าหู เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา มึนงง เพราะใจทิฐิ และเพื่อช่วยให้เขาไม่อยู่ภายใต้การปรับโทษหนัก การปิดตาของพวกเขาเอง พระเยซูสอนพวกเขาเป็นคำอุปมาที่ไม่มีคำแปล พระเยซูจึงโมทนาว่า “ข้าแต่พระบิดา ผู้เป็นพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และโลก ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากผู้มีปัญญา และผู้ฉลาด แต่ทรงสำแดงให้ผู้รู้น้อยรู้ ข้าแต่พระบิดา พระองค์ทรงเห็นชอบดังนั้น”
ในยุคปัจจุบัน ก็เชื่นเดียวกัน คนไทยเรามีปราชญ์เยอะแยะ ฉลาดกันทั้งนั้น แต่น่าเสียดายที่เขาปฏิเสธพระเจ้า หลายคนเลือกเชื่อว่าโลกมาจาก การอุบัติขึ้นมาเอง มากกว่า เชื่อว่า พระเจ้าทรงประทานสิ่งเหล่านี้ให้ พึ่งตนเอง ไม่วางใจพระเจ้า ขณะที่คนยากคนจน ชาวบ้าน จบ ป 4 หรือแม้แต่อ่านหนังสือก็ไม่ออก กลับหันมาหาพระเจ้า แห่กันมาหาพระเจ้า ครับ กำลังพากันเข้ามาฟังความจริงของพระองค์ มอบชีวิตให้พระองค์ ทวีมากยิ่งขึ้น ลูกหลานคริสเตียน ก็เช่นเดียวกัน เราเป็นคนกลุ่มแรกที่พระเจ้าเปิดโอกาสให้ เป็นคนกลุ่มแรกที่ ได้รับสิทธิพิเศษ เราเรียนพระคัมภีร์ รู้เรื่องพระเจ้ามาตั้งแต่เป็นเด็ก อย่างผมนี่แหละ เราเป็นเด็กโบสถ์ พระพรมาสู่เราผ่านทางพ่อแม่ที่มีความเชื่อ มาถึงเราก่อนคนอื่นที่เขาเกิดในสังคมที่ไม่เชื่อพระเจ้า อย่าให้เราเฉยเมยโอกาสที่ทรงประทานให้ อย่าให้เราหลงหายอย่างบุตรน้อย และหากเราหลงไปให้เรารีบกลับมาเอาจริงเอาจังหับพระองค์ วันที่บุตรน้อยกลับบ้าน พ่อก็จัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ “เพราะลูกคนนี้หายไปแล้ว กลับมาบ้าน”ความยินขแงพระองค์ยิ่งใหญ่ครับ ก็เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่า ชีวิตใหม่ในพระเจ้านั้นมีค่าเท่าไร ความชอบธรรมหวานชื่นเพียงไร และสวรรค์นั้นถาวรนิรันดร์แค่ไหน อย่าลืมน่ะครับ เราจะเป็นคนไกล หรือคนใกล้ ขอให้วันนี้เรากลับมามีความสัมพันธ์กันดีกับพระบิดา


ผมจะบอกให้ พระเยซู บุรษแห่งความศร้า ทรงเปรมปรีด์เปี่ยมล้นครับ

 



Visitor 140

 อ่านบทความย้อนหลัง