มานาประจำวัน


ศบ.


“เขาเก็บมานากันทุกเช้า เท่าที่คนหนึ่งรับประทานพอดี”
(อพยพ 16:21)


คนยิวเป็นทาสในอียิปต์มานาน ขณะเป็นทาส นายงานก็เลี้ยงพวก เขาใกล้หม้อเนื้อ อิ่มอย่างทาส (อพยพ 16:3) พระเจ้าให้โมเสสพาพวกเขาไปสู่คานาอัน กว่าจะออกมาได้ ก็อาศัยอิทธิฤทธิ์มากมาย ให้ภัยพิบัติเกิดเรื่องต่อเรื่อง จนกษัตริย์ฟาโรห์ยินยอมให้ออกมา ออกมาแล้วก็ยังถูกไล่ล่า จนพระเจ้าให้โมเสส พาพวกเขาข้ามทะเลแดง ทั้งฝังกองทัพรถม้าอียิปต์ในทะเล อย่างอัศจรรย์ พ้นออกมาได้ ก็หายใจโล่งอก ปิติยินดีล้นพ้น

 


เหมือนเราทั้งหลาย อดีตเคยตกเป็นทาสบาป ติดกับเหล้ายา หวยเบอร์ ความโลภ อยู่ใต้อำนาจมาร มันเล่นงานเราเสียอ่อมอรทัย จนเงยหัวไม่ขึ้น วันหนึ่ง เพราะพระคุณของพระเจ้า โดยการไถ่โทษที่ไม้กางเขน เราหลุดพ้นออกมา เป็นอิสระสู่แผ่นดินของพระเจ้า ชื่นมื่น


เวลาผ่านไปไม่ถึงสามเดือน คนยิวก็พากันมาหาโมเสสกับอาโรน ต่อว่าต่อขาน “พาพวกเราออกมาทำไม หิวจะแย่ ฆ่าพวกเราให้ตายเสียที่อียิปต์ยังดีกว่า ที่นั่นยังนั่งใกล้หม้อเนื้อ และกินอิ่ม” (อพยพ 16:3) ผมไม่ทราบ ว่าคริสเตียนทุกวันนี้ บ่นกับพระเจ้าอย่างนี้บ้างไหม “แต่ก่อนแต่ไร ยังสบายกว่านี้ มาเชื่อพระเจ้าแล้วแสนยากลำบาก” พูดเหมือนนางโกเมอร์ พูดกับโฮเชยาห์ “ฉันจะตามคนรักของฉันไป ผู้ให้อาหารและน้ำแก่ฉัน เขาให้ขนแกะและป่านแก่ฉัน ทั้งน้ำมันและของดื่ม” หลงหรือเปล่า? โฮเชยาห์ว่า “แต่นางหาทราบไม่ว่า เราคือผู้ให้” (ฮชย 2:5,8) ผมไม่ทราบว่า ผู้รับใช้ พระเจ้าบ่นอย่างนี้บ้างหรือเปล่า “ทำงานอยู่ดี ๆ สบาย ๆ ออกมารับใช้ อด ๆ อยาก ๆ”


ตกลงจะไปคานาอันกันไหมนี่
การเลี้ยงดูของพระเจ้า ไม่เหมือน อาหารที่นายงานอียิปต์ให้ ชีวิตใหม่ในพระเยซู ไม่เหมือน ตอนที่เราเป็นทาสมาร พระเจ้าผู้เลี้ยงดูเรารักเราจริง แต่มารไม่เคยหวังดีอะไรกับเรา ผมเคยอ่าน เรื่องตอนที่ฝรั่งถูกเกณฑ์ให้สร้างสะพานข้ามแม่น้ำแคว ไปพม่า เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารญี่ปุ่นสมัยนั้น ให้อาหารดีแก่แรงงานที่แข็งแรง เพื่อจะได้ใช้งาน พอใครอ่อนระโหยโรยแรง หรือเจ็บป่วย ก็ลดอาหารหรือปล่อยให้ตายไป เพราะเปลืองข้าวสุก ข้าวที่มีจำกัด สงวนไว้สำหรับคนมีกำลัง ไม่ใช่เพื่อ พยาบาลคนป่วย ความคิดนี้ช่างสวนทางกับหลักการแพทย์สากล แต่เป็นหลักเดียวกับแรงงานอียิปต์ เป็นหลักเดียวกับมารที่เล่นงานคนเราในปัจจุบัน พระเยซูตรัสว่า “ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลัก และฆ่า และทำลายเสีย แต่เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์”(ยน 10:10)


พระเจ้าเลี้ยงดูเราด้วยวิธีใหม่


พระเจ้าให้โมเสสบอกพวกยิวว่า พระองค์จะประทานอาหารให้พวกเขา เป็นอาหารสวรรค์ ตอนเช้าให้ “มานา” ตกจากฟ้า ตอนเย็นให้ฝูงนกคุ่ม บินมาเป็นเนื้อสัตว์ให้พวกเขารับประทาน จากที่นั่น จนถึงทางเข้าคานาอันเชียว


มานา นั้น เป็นเม็ดขาวเหมือนเมล็ดผักชี มีรสเหมือนขนมแผ่นประสมน้ำผึ้ง ( อพย 16:31) ผมอยากชิมจังเลย น่าจะอร่อย ฟังดูก็ไม่ได้ยินคนยิวบ่นเรื่องรสชาติ แสดงว่า รสดี ถ้ามันเผ็ดเหมือนพริก หรือ ขมเหมือนมะระ คนยิวคงโอดครวญ โวยวาย เพราะพวกเขาขี้บ่นอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครร้องว่ากินไม่ได้ ผมจึงว่าคงอร่อยครับ อาหารที่พระเจ้าเลี้ยงดูเรา หรือพระพรนั้นรับประกันคุณภาพน่ะครับว่าดีแน่ ถ้าสมัยนั้นมีแม่ช้อยนางรำ ก็คงจะติดป้ายให้ มานาตกมาจากฟ้า แปลว่ามาจากพระเจ้าโดยตรง แม้ผมไม่เคยทานมานา แต่เวลาผมทานอาหารที่พระเจ้าทรงปรุงให้ ผมอดชมพระองค์ไม่ได้จริง ๆ ผมยังไม่เคยเห็นใครทำขนมอร่อยเท่าทุเรียนหมอนทอง กรอบนอกนุ่มใน แต่งกลิ่นให้อ่อน ๆ สีสันเหลืองทองชวนน้ำลายสอ ตั้งแต่เป็นเด็ก ผมไม่เคยเห็น ผลแก้วมังกร ตอนเห็นครั้งแรก ผมทึ่งมาก พระเจ้าผสมงาดำลงไปในผลไม้ชนิดนี้ได้ยังไง ผมเคยทำเค๊ก ถ้าจะให้เนื้อเค๊กมีลูกเกด กระจายอยู่ในเนื้อเค๊ก การผสมแป้งก่อนเข้าเตาอบ เราต้องใส่ลูกเกิดลงไปในเนื้อแป้ง คนเบา ๆ และเอาเข้าอบ เนื้อแป้งถ้าไม่หนืดพอ ลูกเกด อาจตกไปกองที่ก้นขนมเค๊ก ไม่กระจายในเนื้อ แต่งาดำในแก้วมังกรของพระองค์กระจายในเนื้อผลไม้ชนิดนี้ ทั่วไปทั้งผล เป๊ะทุกลูก ทรงทำได้ไง ดังนั้นไม่ต้องสงสัยนะครับ พระพรจากพระองค์นั้นวิเศษแน่นอน เรามีสุขภาพดีขึ้น สดชื่นขึ้น สงบขึ้น อิ่มหนำขึ้น ฉลาดขึ้น รุ่งเรืองขึ้น ปลอดภัยขึ้น ยิ้มแย้มเบิกบานขึ้น ดีขึ้นทุกทางครับ


มานาตกลงมาจากฟ้าทุกเช้า เหมือนน้ำค้างพร่างพรม พอน้ำค้างระเหยไป พวกเขาก็เห็นมานา เป็นเกล็ดเล็ก ๆ เท่าเกล็ดน้ำค้างแข็งอยู่ที่แผ่นดิน (อพยพ 16:13-14)


อาหารสวรรค์นี้ พระองค์ให้แค่พอกิน ในหนึ่งวันเท่านั้น
“ให้ทุกคนเก็บเท่าที่พอรับประทานอิ่ม ....ไม่มาก ไม่น้อย แต่พอดีทาน” ครับ (อพยพ 16:16-19) เก็บตุนก็เสีย มีบางคนไม่ฟัง โลภ เก็บตุนไว้กินหลายวัน แล้วมันก็มันบูดหมด พระเจ้าทรงสั่งแล้ว โมเสสกำชับแล้ว แต่พวกเขายังทำ จนโมเสสโกรธ (อพยพ 16:20) คนยิวเหล่านี้นิสัยไม่พ้นอียิปต์ เพื่อความปลอดภัย คงอยากเก็บมานาเป็น กระสอบ ๆ ไว้ในเต็นท์ ให้อยู่ได้เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน แล้วก็คงนอนตาหลับ มั่นใจว่าตนจะไม่อดไปนาน ยิ่งถ้าเก็บได้เป็นปีก็คงจะยิ่งคลายเครียด และถ้าพระเจ้าให้พวกเขาเก็บได้อย่างนั้น ผมคิดว่ายิวคงเดินทางไปไม่ถึงคานาอันแน่ ๆ แต่ละเต็นท์ แต่ละเผ่าคงไม่สาละวนอยู่กับ การขนมานา ทุลักทุเล มีข้าศึกอย่างพวกอามาเลขมาโจมตี ก็คงละล้าละลังเรื่องกระสอบมานา มานาสด เอร็ดอร่อยนี้ต้องเก็บทุกเช้า วันต่อวัน
พระเจ้าทรงสอนอะไรเรา

 


คริสเตียนต้องวางใจพระเจ้า ผู้เลี้ยงดูเรา ยิวไม่มั่นใจว่า พรุ่งนี้ มะรืนนี้ มานาจะตกมาอย่างวันนี้หรือไม่ คนไทยเราว่า “อย่าหวังน้ำบ่อหน้า” “นกหนึ่งตัวในมือ ดีกว่านกสิบตัวบนกิ่งไม้” “อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคนจะจนใจเอง” แล้วเราก็เอาภาษิตเหล่านี้มาใช้กับพระพรที่พระเจ้าประทานให้ คริสเตียนไม่วางใจว่า พระเจ้าจะเลี้ยงดูเราในอนาคตหรือไม่ ผู้รับใช้ก็เช่นเดียวกัน ไม่วางใจพระดำรัสที่ว่า “นี่แนะ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนสิ้นยุค” เรากระวนกระวายใจ กลัดกลุ้ม บ่นกะปอดกะแปด วุ่นไปหมด ก็นิสัยอียิปต์เดิม ๆนั่นเอง พระเยซูสอนเราว่า “จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมในยุ้งฉาง แต่พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกศอกหนึ่งได้หรือ” (มัทธิว 6:26-27)


ในคำอธิษฐานตามอย่างพระเยซู พระองค์ว่า “ขอโปรดประทานอาหารแก่ข้าพระองค์ในกาลวันนี้” ทุกวัน พระเจ้าจะดูแลเรา ไม่ได้แปลว่า คริสเตียนไม่ต้องทำงาน คนยิวต้องลุกขึ้นแต่เช้า ออกไปเก็บมานา ขี้เกียจนอนตื่นสาย จนตะวันโด่งไม่ได้ “พอแดดออกร้อนจัดแล้ว อาหารนั้นก็ละลายไป” โยสิยาห์ กิลเบิร์ท ฮอลแลนด์ กล่าวว่า “พระเจ้าประทานอาหารให้แก่นกทั้งหลาย แต่พระองค์มิได้โปรยอาหารเข้าไปรังของมัน” เปาโลว่า “คนที่ไม่ทำงาน อย่าให้เขากิน” การขยันออกไปเก็บมานาแต่ละวัน ต่างจากการขยันเร่งรีบกวาดโกยมานา มาเป็นกระสอบ ๆ เพราะไม่มั่นใจว่า พรุ่งนี้ พระเจ้าจะให้มานามาอีกหรือไม่ การทำแต่พอดี แสดงออกว่าเราวางใจพระบิดา ผู้ดูแลเราอยู่ ใจเราจะมีสันติสุข ไม่ว้าวุ่น พระเจ้าทรงพอพระทัย

มานานี้พระเจ้าให้คนยิวออกไปเก็บมารับประทานพอกิน ทุกวัน วันต่อวัน สำรองไว้ไม่ได้ ยกเว้นก่อนสะบาโตวันเดียว ที่พวกเขาได้รับเป็นสองเท่า เพื่อเก็บไว้ทานในวันสะบาโต ส่วนที่เก็บเพื่อวันรุ่งขึ้นนี้ ไม่บูดอย่างวันอื่น ๆ ในสัปดาห์ พระเจ้าทรงประสงค์ ให้พวกเขาหยุดทำงานในวันสะบาโต อันเป็นวันบริสุทธิ์ เพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า อย่างที่ทรงสอนโมเสส ( อพยพ 16:23;20:8-11)
ทุกวันนี้ เราทำมาหากินมาทุกวัน หกวันใน หนึ่งสัปดาห์ พอถึงวันอาทิตย์ วันต้นสัปดาห์ พระองค์ทรงปรารถนาให้เราหยุดงาน มาโบสถ์ นมัสการ ฟังเทศน์ ฟังพระสุรเสียง ทบทวนชีวิตที่ดำเนินกับพระองค์ เป็นประโยชน์กับจิตวิญญาณของเรา และแผ่นดินของพระเจ้า

 


แต่คนยิวเหล่านั้น ตอนนั้นก็ดื้อเหลือหลาย พยายามออกไปเก็บมานาวันสะบาโต “แต่เขาไม่ได้พบ” (อพยพ 16:27) พระเจ้าต่อว่าพวกเขา “ ดูซิ พระเจ้าทรงกำหนดวันสะบาโตไว้ให้เจ้า ให้มีอาหารพอสองวัน... อย่าให้ใครออกไปในวันที่เจ็ดนั้นเลย” (อพยพ 16:29) คนยิวขยันจัด จะเก็บมานาวันสะบาโต แต่เขาไม่พบมานาเลย คริสเตียนหลายคนไม่ต่างกัน ท่านทำงานมาแล้ว 6 วัน หาเงินหาทอง พอถึงวันอาทิตย์ ท่านก็ยังไม่หยุดอีก ขาดโบสถ์ ขาดการนมัสการ ไม่ได้เรียนพระคัมภีร์ สามัคคีธรรมกับพี่น้อง หรือ รับใช้ตามของประทานอย่างใด หวังว่าวันนั้นจะได้มานาอีก “แต่ท่านจะไม่พบ” ผมเคยได้ยิน คนพูดมามาก ว่าวันอื่นขายไม่ดี ลูกค้าไม่มี วันอาทิตย์สุดสัปดาห์คือวันที่จะขายดีที่สุด จะมีรายได้เป็นสองเท่า ก็ลองซิครับ ลองกับพระเจ้า ผมไม่ได้ท้าทายท่าน แต่ผมว่า ท่านกำลังท้าทายพระเจ้ามากกว่า พระคัมภีร์ว่า “ท่านจะไม่พบ” นอกจากเสียกำลังเปล่า คว้าน้ำเหลวแล้ว ยังยั่วโทสะพระเจ้าด้วย
นี่คือระบบของ ยิวขณะเดินทางไปยังคานาอัน มันต่างจากระบบอียิปต์ครับ นี่คือระบบของคริสเตียน เมื่อเราเดินทางสู่แผ่นดินพระเจ้า อย่าได้ใช้วิธีการเดิม ๆ สมัยก่อนมารู้จักพระเจ้า ผมอยากบอกว่า พระเจ้าจะทรงให้เรารุ่งเรืองกว่าเดิมเป็นไหน ๆ ทั้งสุขใจ ทั้งมั่นใจ ผ่านไปทุกวันท่านจะเห็นว่า ความมั่นคงปลอดภัย มิได้อยู่ที่จำนวนเงิน 8 – 9 ในบัญชีเงินฝาก ไม่ได้อยู่ที่ประกันภัย หรือประกันชีวิต ไม่ได้อยู่ที่ท่านมีรากฐานมั่นคงในโลกเพียงใด มันอยู่ที่พระเจ้าต่างหาก ท่านจะนอนหลับไร้กังวลทุกคืน แม้ภายนอกดูไม่มีอะไรเลย


อย่าทำเป็นบื้อไปหน่อยเลย ท่านไม่ทราบหรือว่า ผู้ที่ประทาน มานา ประจำวันให้ท่านนั้น คือ อภิมหาเศรษฐี อันดับหนึ่งของโลก และจักรวาล ถ้าพระองค์สั่งซ้าย ท่านเดินไปขวา สั่งขวาท่าน ไปเดินซ้าย ท่านจะไม่ยั่วพระองค์ให้เกิดโทสะหรือ

 



Visitor 256

 อ่านบทความย้อนหลัง