เราต่างเล่นในสนามเดียวกัน (1)

ศบ.

 

 วันนี้ผมขอพูดเรื่องการรับใช้  โดยเอาประสบการณ์ของผมเองมาเล่าให้ฟัง

 

               ผมเรียนจบคณะเภสัชศาสตร์ ของ มหาวิทยามิดล  เมื่อปี  1960 พอเรียนจบก็ไปสมัครทำงานบริษัทเลอเปอร์ตี้ต์ จำกัด ที่บางนา เป็นดีเทล ขายยาบริษัทแอสตรา ตามโรงพยาบาล และคลินิค ในกรุงเทพฯ ผมทำงานที่บริษัทนี้นาน 3 ปี   เข้าทำงานในบริษัททุกครั้งก็ตอกบัตร ออกจากบริษัทก็ตอกบัตร เหมือนพนักงานทุกคน ความจริง ที่ทำงานของผมส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาล ผมคุ้นเคยกับโรงพยาบาลรามาธิบดี รพ.พระมงกุฏฯ  รพ.วชิรพยาบาล  รพ.ภูมิพล  และโรงบาลเล็กๆอีกหลายแห่ง   ในแต่ละเดือนเรามีการตั้งเป้าว่า  จะต้องขายยาให้ได้ยอดที่บริษัทต้องการ  และต้องพยายามแนะนำยาตัวใหม่ให้หมอในโรงพยาบาลใหญ่ใช้ให้ได้   ในระหว่าง 3 ปีนั้น ผมทำงานบริษัทสัปดาห์ละ 5 วัน คือวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ 8:00 ถึง 17:00 น. บริษัทหยุดวันเสาร์วันอาทิตย์   ตอนนั้นผมเข้ามาเป็นสมาชิกของคริสตจักรสามัคคีธรรมกรุงเทพแล้ว คริสตจักรของเราอยู่ในบ้านเช่าของ อาจารย์เออบาน วอง ซึ่งอยู่ใกล้ ถนนสุขุมวิท ซอย 59 ตรงหน้าท้องฟ้าจำลอง  มีอาจารย์บอบบี้ เป็นศิษยาภิบาล 

 

           คริสตจักรมีการประชุมอธิษฐานทุกวันพุธ  ผมและน้องๆ พักอยู่ที่สยาม สแควร์ ชั้นดาดฟ้าของร้านขายหนังสือ คริสเตียน พอเลิกจากงานในวันพุธแล้ว ผมก็จะรีบขึ้นรถเมล์จากสยามสแควร์มาลงแถวหน้า

 

                           

 

                                

 

ท้องฟ้าจำลอง  เพื่อมาร่วมประชุมอธิษฐานที่โบสถ์  ประชุมเริ่มประมาณ 1 ทุ่มเลิกประมาณ 3 ทุ่ม นี่คือชีวิตปกติของผมช่วงนั้น   จนวันหนึ่ง ในประชุมอธิษฐาน ผมได้รับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์   ร้องไห้เสียงดังเชียว ทั้งพูดภาษาแปลกๆด้วย   ใจเร่าร้อนอยากรับใช้พระเจ้าก็ยิ่งคุกรุ่นอยู่ในใจมากขึ้น สิ่งที่ผมทำในตอนนั้นก็คือ ในวันเสาร์ อาจารย์เขานัดพวกเราที่เป็นอนุชนออกไปประกาศบ้าง ไปเยี่ยมเยียนสมาชิกบ้างผมก็ไปกับอาจารย์   ยังจำได้ว่าเราไปประกาศที่คลองเตย และที่ซอยกลาง อาจารย์เขาเล่นแอคคอเดียน   มีคนมาฟังไม่มากนัก  ส่วนมากเป็นพวกเด็กๆ   

 

            พอวันอาทิตย์   เนื่องจากสมาชิกคริสตจักรช่วงนั้น  มีฝรั่งชาวต่างชาติมาร่วมประชุมหลายคน   การเทศนาจึงต้องมีล่ามแปล ผมถูกฝึกฝนให้เป็นล่ามคำเทศน์ และคำสอน  ท่านเทศน์เป็นภาษาอังกฤษ  ผมแปลเป็นไทย  ผมเป็นคนพูดติดอ่าง   ออกคำรัสสะ สระยาก  เวลาแปลทั้งๆรู้ความหมาย  แต่พูดออกมาไม่ได้  ผมอายมาก พี่น้องในโบสถ์ที่ฟังอยู่ แทนที่จะหัวเราะ  ก็ออกอาการสงสารผมมากกว่า  อาจารย์ท่านก็อดทนกับผม  สมัยนั้นไม่มีการประชุมกลุ่มภาคบ่ายวันอาทิตย์  มีแต่พูดคุยกัน   

 

พี่น้องในคณะวายแวม  เดินทางมาประกาศในกรุงเทพฯ  เป็นคณะใหญ่ มาคราวหนึ่งก็มีประมาณ  20-30 คน ส่วนมากเป็นฝรั่ง พูดไทยไม่ได้  หนุ่มสาวเหล่านี้อยากออกไปประกาศ  แต่ก็ต้องการคนไทยไปร่วมเป็นล่าม ผมเป็นคนหนึ่งที่สมัครเข้าไปเป็นล่าม   และคู่ประกาศของผม คือ อาจารย์ เคลวิน สไตเนอร์ (ที่เพิ่งมาเทศน์ที่โบสถ์ของเรา)  พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ดีแท้ๆ อาจารย์เคลวิน  เป็นคนมีของประทานในการประกาศ  ผมจึงมีโอกาสเรียนการประกาศจากท่าน  ผมกลับมาจากทำงานบริษัท พอถึงบ้านวางกระเป๋าขายยาลง  ส่วนอาจารย์เคลวิน  ก็มารอผมที่บ้านอยู่แล้ว แล้วเราก็พากันออกไปทานข้าวเย็นด้วยกัน จำได้ว่าเราเดินกันไปตามซอกซอยย่านสุขุมวิท  เจริญกรุง ไปที่แฟลตแถวดินแดง  ขึ้นแฟลตลงแฟลต  ประมาณ  3-4 ทุ่มถึงจะกลับบ้าน รุ่งขึ้นผมก็ไปทำงานที่บริษัทต่อ มีผู้เชื่อในช่วง 3 เดือนที่เราออกไปเป็นพยาน  ประมาณ 7-8 คน  เรื่องนี้ทำให้ผมตื่นเต้นมาก  เพราะผมไม่เคยคิดว่า  ตนเองจะมีส่วนนำใครมาหาพระเจ้าได้  อาจารย์เคลวินแนะนำให้เราจัดประชุมสอนพระคัมภีร์ น้องๆเหล่านี้  ทุกวันเสาร์ ที่ชั้นสองของร้านขายหนังสือที่สยามสแควร์  ซึ่งผมพักอยู่  ร้านขายหนังสือเอฟ ซี เอ็ม แห่งนี้ แหม่มแอนนา ชาวนอร์เวย์เป็นผู้ดูแล  ท่านก็อนุญาตให้เราใช้สอนคนใหม่  ซึ่งต่อมาห้องนั้นก็กลายเป็นที่ตั้งคริสตจักรสยาม


                                         

 

    ปกติ  ผมอ่านพระคัมภีร์มาตั้งแต่เป็นเด็ก  นับตั้งแต่รับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์   ผมรู้สึกชอบพระคัมภีร์ขึ้นมาก   ผมอยากรู้ไปหมดว่าพระเจ้าสอนเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างไร  ทุกวัน  เวลาออกไปขายยา  ผมจะมี  พระคัมภีร์พกติดไปด้วยทุกครั้ง  เพราะผมมักมีช่วงเวลาว่างอ่านพระคัมภีร์  ทีมวายแวมไม่ได้อยู่กรุงเทพฯตลอด  แต่จะแวะเวียนมาเมืองไทยเป็นระยะ ๆ บริษัทให้พนักงานลาพักร้อนได้ ปีละ 14 วัน  มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ อาจารย์เคลวินนัดพวกเราพากันขึ้นไปประกาศที่เชียงใหม่   ผมก็ใช้ช่วงพักร้อนประมาณ 4-5 วัน ขึ้นไปเชียงใหม่ เราพักที่คริสตจักรไทยลานนา ซึ่งในตอนนั้นยังเช่าห้องแถวอยู่  ยังจำได้ว่า อาจารย์มนูญศักดิ์ก็ขึ้นไปด้วยในคราวนั้น  แต่ละวันเราจะเริ่มด้วยการเฝ้าเดี่ยว  เรียนพระคัมภีร์  โดยมีอาจารย์เคลวินเป็นผู้สอน  ตอนบ่ายเราก็จะพากันออกไปประกาศ พูดคุยกับคนในหมู่บ้าน  พอตกตอนเย็นเราก็กลับมาจัดประชุมประกาศที่โบสถ์  ทุกรายการ  ต่างคนต่างควักกระเป๋าออกเงินกันเองทั้งหมด ไม่มีทุนอะไรจากที่ไหน  แต่ก็ไม่ได้ยากอะไรกับผม เพราะผมเองก็ทำงานบริษัทมีเงินเดือน  

 

                              

 

 ผมเล่นกีตาร์เป็นเพราะ แหม่มลอนเน่อ มิชชั่นนารีชาวสวีเดนเปิดสอนกีต้าร์ที่บ้านของท่าน  ผมมีแรงบันดาลใจอยากหัดกีตาร์ก็เพราะ ต้องการใช้ในการประกาศ  เวลาร้องเพลงพิเศษ และกลุ่มเซลล์  ซื้อกีตาร์โปร่งยามาฮาตัวหนึ่ง แล้วไปหัดกันที่บ้านของท่านที่เอกมัย  ผมเพิ่งรู้ว่า เล่นได้ 3 คอร์ด ก็ใช้กับเพลงในหนังสือชีวิตคริสเตียนได้แทบทุกเพลง โดยการซื้อกีตาร์ คาโป ตัวหนึ่งมาคาดที่บาร์ของกีตาร์ เพื่อจะเปลี่ยนคีร์ให้สูงต่ำ แล้วก็เล่น 3 คอร์ดเดิม  ช่วงแรกๆ ผมหัดเล่นได้แค่ 3 คอร์ดก็ออกโรงเลย เป้าหมายของผมคือเพื่อใช้งานพระเจ้าได้ ถึงวันนี้ ผมอยากให้นักดนตรีมีเป้าหมายเล่นเพื่อการรับใช้เช่นเดียวกัน และผมเชื่อว่าพระเจ้าจะอวยพระพรการฝึกซ้อมดนตรีของท่าน  

 

               อาจารย์ดาวิด คาวี  เข้ามาเป็นผู้นำวายแวมในสมัยนั้น  ครอบครัวของท่านมาเช่าบ้านอยู่ที่ถนนสุขุมวิท ซอย 11  นี่เป็นครั้งแรกที่คณะวายแวม  มาตั้งฐานในประเทศไทย  ผมมีโอกาสรู้จักมักคุ้นกับอาจารย์มากขึ้น  เพราะที่บ้านของท่านได้จัดประกาศกับนักศึกษาบ่อยๆ  จนกระทั่งวันหนึ่งอาจารย์ได้แนะนำให้ผมไปเรียนพระคัมภีร์  ในโรงเรียนสอนการประกาศ (School of Evangelism) หลักสูตร 8 เดือน ของคณะวายแวมที่เมืองโลซาน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์  เมื่ออธิษฐานแล้ว ผมก็ตัดสินใจขายรถโฟลคตู้ของตัวเองคันหนึ่ง ลาออกจากบริษัทเลอเปอร์ตี้ต์   ที่ทำงานมาประมาณ 3  ปี  ในปลายปี 1973  รวบรวมเงินทั้งหมดที่มี เดินทางไปเรียนพระคัมภีร์ต้นปี 1974  ก่อนกลับมารับใช้พระเจ้าที่คริสตจักรสามัคคีธรรมกรุงเทพ  ซึ่งมีสมาชิกอยู่ประมาณ 30 คน

 

             ที่เล่าเรื่องของตัวเองทั้งหมดในช่วงนั้นมาให้ฟัง  มิได้ต้องการจะอวดตัวเองแต่อย่างใด  ตรงกันข้าม ผมเห็นว่าเป็นพระกรุณาคุณของพระเจ้าที่ทรงใช้ผม ผมตัดสินใจ ไม่กลับไปทำงานขายยาที่บริษัทอีก แม้พี่ที่เป็นซุปเปอร์ไวเซอร์จะชวนให้กลับไป  เพราะลึกๆในใจตั้งแต่เดิม ผมรู้สึกว่า  พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ผมทุ่มเทเวลากับการสอนพระคัมภีร์ และการประกาศมากขึ้น  

 

             มีหลายคนถามผมว่า ไม่เสียดายอาชีพเภสัชที่ร่ำเรียนมาหรือ ด้วยความสัตย์จริง  ผมรู้สึกว่า  การสอนพระคัมภีร์  และการประกาศกิตติคุณของผม  จะช่วยพี่น้องชาวไทยได้มากกว่า  การแนะนำให้คนไทยได้ใช้ยาแก้หืด  หรือยาแก้โรคหัวใจของบริษัท  อีกประการหนึ่ง  คนไทยไม่ขาดเภสัชกร  แต่คนไทยขาดครูสอนพระคัมภีร์ 

 

             มีคนถามผมอีกว่า  ไม่เสียดายหรือ เพราะอาชีพเภสัชกรทำเงินได้มากว่าการเป็นนักเทศน์หรือศิษยาภิบาล   เรื่องนี้ผมตอบได้ง่าย  เพราะตั้งแต่ผมสัมผัสความรักของพระองค์  เงินไม่ใช่ตัวตั้งในการนำมาใช้ตัดสินใจอีกต่อไป  มันเป็นความเชื่อในใจของผมเสมอมาว่า  คริสเตียนทุกคนควรพิจารณา ดูความสามารถ  ตะลันต์  และของประทานที่พระเจ้ามอบให้แก่เรา แล้วตัดสินว่า เราจะใช้ชีวิตอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์กับแผ่นดินของพระเจ้ามากที่สุด  ไม่ใช่ใช้ชีวิตอย่างไร เราจึงจะสบายที่สุด หรือร่ำรวยที่สุด  ผมไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ทำงานอาชีพจะต้องออกมาจากงานอาชีพ  และมาเป็นนักเทศน์  แต่เราต้องพิจารณาว่า   ตะลันต์  และของประทานที่พระเจ้าให้นั้น ใช้ชีวิตอย่างไรจึงจะช่วยคนอื่นได้มากที่สุด   ถ้าท่านหาเงินเก่ง  ประกาศไม่เก่ง   ท่านทำงานอาชีพเป็นหลักและใช้ของประทานที่มีเช่นหนุนใจ หรือ บริจาคเพื่องานพระเจ้า  ขณะทำงานอาชีพของท่านไป ก็น่าจะเกิดประโยชน์ในแผ่นดินของพระเจ้ามากกว่า    

 

             อีกด้านหนึ่งที่คนออกมาสู่งานรับใช้ ถูกโจมตี ว่า เพราะไปทำงานอาชีพที่ไหนไม่ได้  เคยไปทำก็เจ๊งมาแล้ว  จึงเลือกมาเข้าศูนย์ฝึกอบรมฯ  หรือโรงเรียนพระคัมภีร์  เพื่อออกมาสอนพระคำหรือประกาศ  อันนี้ผมไม่เห็นด้วย   ผู้รับใช้ไม่ควรเลือกรับใช้เพราะไม่มีทางไป  หรือเพราะงานรับใช้มันสบายกว่า  แต่เราต้องเลือกงานเผยแพร่พระกิตติคุณเพราะเล็งเห็นว่า  เราสามารถช่วยคนได้มากกว่า  เป็นประโยชน์กับแผ่นดินของพระเจ้ามากกว่า    พระเยซูตรัสว่า  จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมก่อนไม่ใช่หรือ(มัทธิว 6:33) 


                                       

 

  เมื่อผมเข้ามาทำงานที่คริสตจักรครั้งแรก เป็นผู้ช่วยศิษยาภิบาล  ผมก็สังเกตว่า หลายคน แบ่งแยก คริสเตียนออกเป็นสองพวก   พวกหนึ่งคือ ผู้รับใช้เต็มเวลา ส่วนอีกพวกหนึ่งคือ ฆราวาส  ฆราวาสคือคนที่ทำอาชีพการงาน ได้เงินจากงานอาชีพ  อย่างที่ผมเคยทำงานที่บริษัทเลอเปอร์ตี้ต์  3 ปี มีเงินเดือนจากบริษัท ส่วน ผู้รับใช้เต็มเวลา ก็คือคนที่ออกมาจากงานอาชีพ มาเป็นผู้รับใช้ มาเป็น“พระ”ว่างั้นเถอะ เหมือนกับผมที่มาเป็นผู้ช่วย ศบ.  มารับเงินค่ากินอยู่จากโบสถ์ แล้วผมก็สังเกตมากยิ่งกว่านั้น  คือ  สมาชิกที่เรียกตัวเองว่าเป็นฆราวาส  เข้าใจว่า  งานประกาศ  การสั่งสอน  การเลี้ยงดูลูกแกะ การวางมือผู้ป่วย  เป็นงานของพระ  หรือผู้รับใช้เต็มเวลา  ส่วนตัวเขาที่เป็นฆราวาส  ทำหน้าที่หาเงินมาถวายทรัพย์สิบลด   ว่าจ้างให้พวก “พระ” ทำงาน เมื่อเข้ามาทำงานที่คริสตจักรใหม่ๆ ผู้รับใช้ทั้งหมดถูกเรียกว่า “คนงาน” (Staffs)   

 

           ครั้งหนึ่ง พี่น้องคนหนึ่งมีเพื่อนที่สนใจในพระเยซูอยู่ใกล้บ้านเขา เขาก็โทรศัพท์มาที่โบสถ์ ให้ผมส่งคนงานไปนำวิญญาณเพื่อนของเขา บางคนอาจเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ผมตกใจมาก  ผมถามว่าทำไมไม่เป็นพยานให้เพื่อนฟังด้วยตนเอง   เขาบอกว่าเขาพูดไม่เป็น  ไม่เก่งเหมือนคนงาน  ผมไม่เคยคิดว่าโบสถ์จะขยายได้ดีโดยวิธีนี้  ในสมัยกิจการ คริสเตียนถูกข่มเหงกระจัดกระจายกันออกไป ไปที่ไหนก็เป็นพยานที่นั่น  ไม่มีใครวิ่งไปตามอัครทูตมาเป็นพยาน ( กิจการ 8: 4;11:19) ทุกคนสามารถเป็นพยานประสบการณ์ของตัว  ตามสไตล์ และสำนวนภาษาของตน  งานจึงขยายไปมาก  เมื่อออกจากบริษัทมาเป็นผู้ช่วย ศิษยาภิบาล  ผมไม่คิดว่าผมมาทำงานประกาศ แทนพี่น้องที่เรียกว่าฆราวาส   ผมมาประสานให้เราร่วมทำงานด้วยกันต่างหาก  นี่เป็นเหตุผลที่ผมเปลี่ยนชื่อ  “คนงาน”  เป็น “ผู้ประสานงาน” 

 

          ผมไม่เห็นด้วยกับระบบ พระกับฆราวาส อย่างมาก ผมคิดว่าระบบนี้คือระบบที่ทำลายการเพิ่มพูนคริสตจักร อย่างร้ายแรง                    

 

            หน้ากระดาษมีน้อย  ก่อนผมจะจบบทความนี้   ผมอยากบอกว่า  เราทุกคนต่างเป็นคนงานด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ใช่  ฝ่ายหนึ่งเป็นคนงาน  ส่วนอีกฝ่ายเป็นผู้ว่าจ้างคนงาน  เราเปรียบเหมือนนักกีฬาในสนามฟุตบอลล์   ไม่มีการแบ่งให้ บางคนเป็นคนเล่น และบางคนเป็นคนดู  ทุกคนคือนักกีฬาในสนาม ไม่ใช่คนดูขอบสนาม  

 

            เป้าหมายของเรา  คือ  “ชัยชนะ” เราชนะได้โดยการยิงประตูคู่ต่อสู้ และกันไม่ให้คู่ต่อสู้ยิงเข้าประตูของเรา  บางคนเป็นกองหลัง เก่งในการกันประตูตัวเอง  บางคนเป็นกองกลาง แย่งลูกมาครองและส่งลูกบอลไปให้กองหน้า   ส่วนกองหน้าก็เก่งในการยิงประตูคู่ต่อสู้  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นโค้ช เป็นผู้บริหารทีม  พระองค์คือผู้เลือก


                    


                


                      

 

ตำแหน่งเล่นให้เรา ( 1 โครินธ์ 12:11) งานของบางคนเป็นผู้เลี้ยง ผู้หนุนใจเตือนสติ ผู้บริจาค ผู้ต้อนรับแขก ผู้สำแดงเมตตา ท่านช่วยป้องกันประตูไม่ให้เสียลูก  บางคนพระเจ้าใช้เป็นผู้ปรนนิบัติ   ผู้ช่วย เป็นครู  เป็นผู้บริหาร ผู้เผยพระวจนะ  ประสานระหว่างกองหลังและกองหน้า  คอยแจกลูกให้คนอื่นเล่น   บางคนเป็นผู้นำ  หรือเป็นกัปตันของทีม  ที่คอยฟังสัญญาณจากโค้ชว่าจะให้ลูกทีมเล่นสูตรไหน และศิษยาภิบาลก็คือกัปตัน  ไม่ใช่โค้ช ส่วนกองหน้า  ทั้งปีกซ้ายและขวา คือผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ   การย้ายจากกองหลังของผมมาเล่นตำแหน่งกัปตันทีม  มิได้เป็นการเสียสละพิเศษแต่อย่างใด  ผมก็คือผู้เล่นคนหนึ่งในสนามนี้  เหมือนพี่น้องที่เล่นตำแหน่งอื่น  ที่โค้ชเลือกให้เล่น เราต้องเล่นด้วยกันทั้งทีมถึงจะชนะ  เราย้ายตำแหน่งเล่นตามที่โค้ชเห็นเหมาะสม  ไม่ใช่ตามใจของเราเอง  บางคนบอกว่า  ผมลาออกจากการเป็นฆราวาส มาเป็นพระ  ไม่ใช่ครับ  ผมเพียงย้ายตำแหน่งจากกองหลังมาเล่นในตำแหน่งกองหน้าเท่านั้น  ตอนที่เล่นกองหลัง ผมก็ต้องเล่นให้ได้ดีที่สุดเหมือนกัน  แผ่นดินของพระเจ้าเติบโตได้ก็เพราะเราเล่นถูกตำแหน่งตามน้ำพระทัย  และไม่ยอมให้องค์ประกอบอื่นใดมาขวางกั้น   

 

           ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ 

 



Visitor 105

 อ่านบทความย้อนหลัง