ดอกเตอร์ พอลีน จี แฮมิลตัน

ศบ.

 

วันนี้คริสตจักรจัดเป็นวันสงเคราะห์   สองสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเขียนเรื่อง “ เราลงเล่นในสนามเดียวกัน”  พูด ถึงการรับใช้ ของผู้ที่เรียกตนเองว่า ฆราวาส  และ  ผู้รับใช้เต็มเวลา  ที่เราเรียกว่า “พระ” วันนี้  ผมอยากนำชีวิตของ  หมอชาวอเมริกันคนหนึ่งที่  ตัดสินใจออกไปรับใช้เป็นมิชชั่นนารี ที่ประเทศจีน  เธอ คือ ดร. พอลีน แฮมิลตัน   ฝรั่งเรียกเธอว่า “ดอกเตอร์  พี”  แต่ชาวจีนเรียกเธอว่า “คุณยาย ฮาน”  เธอชนะใจของคนเป็นพัน ๆ คน ในช่วงที่เธอรับใช้กับนักศึกษา  คนจำนวนมาก  ในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่  และที่ไต้หวัน 

 

          ชีวิตวัยเด็ก 

 

         พอลีน แฮมิลตัน  เกิดเมื่อวันที่  29 มกราคม  1915 ที่  มลรัฐ  เพนซิลเวเนีย  สหรัฐอเมริกา  เธอเป็นลูกคนที่  5 ครอบครัว  คุณพ่อเป็นศิษยาภิบาล เมธอดิสท์  ทั้งคุณพ่อคุณแม่ ได้อธิษฐานขอพระเจ้าให้เธอได้เป็นมิชชั่นนารี  ไปประเทศจีน  ดูซิ  พ่อแม่ช่าง  ตั้งใจและอธิษฐานเผื่อลูกสาวคนนี้  เจาะจงเหลือเกิน  ทั้งสองจึงตั้งชื่อเธอ  ว่า เปาโล  หรือ  พอล  แต่เพราะเป็นผู้หญิงก็เติม คำ อีน  ลงไปเป็น  “พอลีน” 


                        

 

ออกนอกทาง 

 

          ส่วนพอลีน   โตขึ้นก็ไม่ชอบชื่อตัวเอง  กอรปกับ  ตนมีพี่ชาย 2 หญิง 2 ครบคู่กันแล้ว ก็รู้สึกว่าตนเป็นน้องเล็กที่เป็นส่วนเกินของบ้าน  พอลีนจึงใช้ชีวิตก๋ากั่น  ดื้อดึง  ขบถ  เย่อหยิ่งทะนงตัว “ฉันแค้นใจ  ชิงชังเสียงหัวเราะเยาะ ของพวกพี่  อย่างที่สุด  ฉันจึงเก็บตัวและเกลียดคำพูดที่บอกว่าฉันเล็กเกินไป  ที่จะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้   ฉันทำได้ดีกว่าพวกเขาเสียอีก”  ตอนเก้าขวบ  แม่เคยชวนให้เปิดใจต้อนรับพระเจ้า  เธอสวนขึ้นทันควัน  “แล้วอีนังนั่นล่ะ  จะได้ไปสวรรค์ด้วยไหม?  ลูกเกลียดมัน  มันทำร้ายลูกหลายเรื่อง” “อาจจะได้ไปน่ะ” แม่ตอบอย่างไม่แน่ใจ  “ถ้ามันได้ไปสวรรค์ ลูกก็จะไม่ไป”  เธอปิดประตูตายกับเรื่องพระเจ้าตั้งแต่นั้นมา  พอลีนติดบุหรี่  ติดเหล้า ติดยา   มันช่างตรงกันข้ามกับคำอธิษฐานและความตั้งใจของพ่อแม่โดยสิ้นเชิง  ความจริงปัญญาเธอมิได้เลวเลย  พอลีน เข้าเรียนวิชาสรีระวิทยา  ในมหาวิทยาลัยแพทย์  ปีที่สอง หมอบอกเธอว่าเธอเป็นวัณโรค   ที่ปอดด้านขวา  หมอให้เธอพักผ่อน มหาวิทยาลัยให้เธอหยุดเรียน  ช่วงนั้นชายที่บอกรักเธอ  ซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์  ที่ทั้งพ่อและแม่คัดค้านเธอ  แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ  เธอไม่ยอม  แต่แล้วคู่รักก็สลัดรักจากเธอ  เมื่อรู้ว่าเธอเป็นวัณโรค  “เลิกกันดีกว่า  เธอคงไม่รอดแน่”  คำพูดเขาบาดหัวใจเธอ  เหมือนถูกมีด ไม่นานนัก  เธอก็ทราบว่าพ่อหนุ่มคนนั้นไปเป็นแฟนกับเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ  


                                        

 

พบพระเจ้า

 

        พอลีนตัดสินใจ ฆ่าตัวตาย  โดยขับรถไปลงหน้าผา  เธอขับไปตามโค้งอันตราย  ตั้งใจจะพุ่งรถลงหน้าผา ในบ่อแร่  “ฉันตั้งความหวังไว้ว่าจะมีอาชีพ  บ้าน ครอบครัวแสนสุข  บัดนี้ฉันไม่มีอะไรเหลือเลย”  ขณะเหยียบคันเร่งอย่าบ้าคลั่ง  เธอได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่น  รถส่ายจนเกือบพลิกคว่ำ ก่อนหยุด  เธออกไปดู  ล้อรถด้านหน้า ยางแตก!  เหมือนฟ้าฟาด  เธอได้สติ และตระหนักถึง  ความรัก และความห่วงใยของพระเจ้า   พอลีนกลับใจ หันมาหาพระเจ้า  เป็นคนละคน  เธอเป็นคนใหม่เลิกจากเหล้ายาปลาปิ้งทั้งหมด   สมัครเข้าไปเรียนใหม่ที่มหาวิทยาลัย เพนซิลวาเนีย  เธอเป็นนักเรียนหญิงคนเดียว ท่ามกลางนักเรียนชายเก่ง ๆ  25 คน   ในที่สุดเธอก็เรียนจบปริญญาเอกสรีระวิทยา  ในวิชาสัตววิทยา  ได้รับทุนการศึกษาโดยไม่ได้ขอ  ดูซิ   เวลาคนเรา หันมาหาพระเจ้า   จากที่ตกต่ำดำดิ่งเหว  กลับทยานขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด    เป็นการทรงจัดเตรียมแท้ ๆ  

 

งานอาชีพ และการทรงเรียก

 

           พอลีนเข้าไปศึกษาพระคัมภีร์กับ  กลุ่มเพื่อนคริสเตียน เสมอ  ครั้งหนึ่ง  เขามีประชุมศึกษาพระคัมภีร์ที่ รัฐนิวเจอร์ซี่ ตอนใต้   นักศึกษาหญิงบางคนเข้าไปสมัครเป็นแม่ครัว เพื่อหารายได้ พอลีน ไปช่วยเสิร์ฟอาหารในประชุมด้วย  โต๊ะที่เธอให้บริการเป็นโต๊ะวิทยากร   มีคนมากมายที่นั่น  วันนั้นพอลีน  ไปทำกาแฟหกราดเลอะเทอะเสื้อวิทยากรคนหนึ่ง ท่านเป็นคนร่างใหญ่ดูภูมิฐาน   แต่ใจดีมาก “ แทนที่ฉันเป็นคนผิด  ท่านก็รับผิดเสียเอง  ว่าท่านเดินไม่มอง… ฉันทั้งอายและสับสน”  ต่อมาเธอทราบว่า ท่านคือ  หัวหน้าคณะ ซี  ไอ เอ็ม (China Inland Mission ) เป็นคณะนานาชาติใหญ่  ทำงานที่ประเทศจีน  ก่อตั้งโดย  ฮัดสัน  เทเลอร์   ด้วยใจศรัทธา  ตั้งแต่วันนั้น  พอลีน  จึงค้นคว้าหาว่า  คณะนี้เป็นใคร  ทำอะไร ที่ไหน

 

            เมื่อเรียนจบปริญญาเอก  พอลีน  ก็เข้าไปเป็นอาจารย์สอน ที่หมาวิทยาลัยสมิธ  ในนอร์ทแฮมตัน   รัฐเมซาซูเซท  ชีวิตเธอร่มรื่น  สุขสบาย  และมีเกียรติ  ตอนสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง   เธอเป็นอาจารย์สอนที่นั่นมาได้  3 ปีแล้ว  ขณะที่จะต่อสัญญา เพื่อนคนหนึ่งเขียนจดหมายถามเธอว่า “เธอจะไปเมืองจีนเมื่อไหร่”  เธออ่านจดหมายแล้วนึกขำ  “ฉันรึ  จะไปจีน  ไปทำไม  วันนี้ฉันก้าวมาถึงจุดสูงสุดที่ใคร ๆใฝ่ฝัน” แต่จดหมายฉบับนั้นกวนใจเธอ  ปกติ  มิชชั่นส่งคนอายุต่ำกว่า  30 ปีเท่านั้นไปจีน  เดี๋ยวนี้ เธออายุ  32  ปี แล้ว   ยิ่งอธิษฐาน พระ


                           

 

เจ้ายิ่งสำแดงพระประสงค์  เธอต้องเลือกระหว่าง  การแสวงหา ความก้าวหน้า  ชื่อเสียง  เกียรติยศ  กับ  การไปเป็นมิชชั่นนารีธรรมดา ๆ ที่ประเทศจีน  พอลีนเขียนจดหมายเล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อแม่ฟัง   คิดว่าท่าน  คงตำหนิว่า “เธอบ้าไปแล้ว”  แต่เธอคิดผิดหมด  ทั้งสองกลับดีใจ และอวยพรเธอ  

 

         เตรียมตัวไปประเทศจีน

 

         อาจารย์ร่างสูง  หัวหน้าคณะซี  ไอ เอ็ม  ที่วันก่อน เธอเคยทำกาแฟหกใส่เสื้อของท่าน  เป็นมิชชั่นนารี คนเดียวสู่ประเทศจีนที่เธอรู้จัก  เธอจึงสมัครกับท่าน   การทรงนำของพระเจ้านี่  อะไรมันจะเหมาะซะประจงตรงเผง ขนาดนั้น  ครั้งแรกคณะซี ไอ เอ็ม ก็ไม่อยากรับเธอ เพราะเห็นว่าอายุเกิน  และอ้างว่า เธอมีปริญญาเอก ซึ่งสูงเกินไป   เธอถามกลับไปน่าฟังมากกว่า  “พวกคุณนี่แปลก  ตอนหาคนไปประเทศจีน  พวกคุณเที่ยวป่าวประกาศไปทั่วว่า  ให้ถวายสิ่งดีที่สุดให้องค์พระผู้เป็นเจ้า  แต่พอใครทำตามนั้น  พวกคุณก็ไม่ยอมรับ”  ครับ  ต้องให้คะแนนเต็มร้อยไปเลย สำหรับคำตอบนี้ของเธอ 

 

          พอลีน  เรียนพระคัมภีร์  แบบหลักสูตรสั้น   ที่วิทยาลัยพระคริสตธรรมนิวยอร์ค  วิชา  อิสยาห์  ฮีบรู  พันธสัญญาเดิม  พันธสัญญาใหม่  และจดหมายของเปาโล   เธอเข้าอบรมในคณะซี  ไอ เอ็ม  พร้อมกับเพื่อนอีก 4 คน  พอลีนเคยไปประชุมกับคริสตจักรพาร์คสตรีท  ที่บอสตันช่วงสุดสัปดาห์   เขามีสมาชิกอยู่ 150  คน   พอเขาทราบว่าพอลีน  จะไปจีน เขาก็สัญญาถวายทรัพย์และอธิษฐานเผื่อเธอ  เขาทำติดต่อกันนานถึง 34 ปี  อย่างน่าชื่นชมยิ่ง

 

           ที่ประเทศจีน แผ่นดินใหญ่

 

          เรือแล่นผ่านคลองปานามา  ขึ้นฝั่งแมกซิโก ไปคาลิฟอร์เนีย  ข้าม

 


                   

 

มหาสมุทรไปญี่ปุ่น ไปสุดทางที่เซี่ยงไฮ้   พอลีนกับเพื่อนเฮเซล  ล่องเรือไปตามแม่น้ำแยงซีเกียง  4 วันครึ่ง  ไปเรียนภาษาจีนที่เมือง อันกิง จังหวัดอันเว กับมิชชั่นนารีที่รู้ภาษาจีน  บ้านเมืองและวัฒนธรรมจีนต่างจากฟิลาเดลเฟียราวฟ้ากับดิน   ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า  และแม้มีไฟฟ้า  ก็เปิดให้ใช้เฉพาะตอนค่ำด้วยแสงไฟริบหรี่  มีน้ำให้ใช้อาบวันละถัง  ยังแถมทีแมลงป่องตัวโต ๆ มาป้วนเปี้ยนในที่พัก  “เราต้องตรวจตราให้แน่ใจว่ามันไม่ขึ้นมาบนที่นอน เวลาเราหลับ”  ขณะอยู่ที่โรงเรียนสอนภาษา   ผู้ก่อการร้ายคอมมูนิสท์กำลังเข้าโจมตีเมืองโฮนาน  ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก  จีนประสบภาวะเงินเฟ้ออย่างหนัก  1 ดอลล่า  เท่ากับ  30,000 เหรียญของจีน  พอลีนถูกเรียกตัวกลับไปเซี่ยงไฮ้ด่วน  เพื่อไปสอนวิทยาศาสตร์ให้พวกลูกมิชชั่นนารี  ที่เมืองชีฟู  ที่เมืองนี้เธอต้องสร้างหลักสูตร   ตำรา เคมี  ฟิสิกส์  7  ชั้น ตั้งแต่วัย 9 ขวบถึงเด็กโต  ด้วยตัวเธอเอง เพราะมิชชั่นบอกว่า  ตำราวิทยาศาสตร์  ถูกญี่ปุ่นเผาเรียบ ตั้งแต่สงคราม  และเด็ก ๆ เหล่านี้จะต้องไปทำข้อสอบของมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์  และออก ฟอร์ด  นี่ไม่ใช่ความตั้งใจที่เธอมาประเทศจีนเลย  เมื่อทางอเมริกาทราบว่า เธอมาสอนลูกฝรั่งที่นี่  หลายคนไม่พอใจ  บางคนก็ว่า  ถ้าอยากสอนอย่างนั้น  ก็ควรไปสอนตามมหาวิทยาลัยในจีน  จะตรงกว่า  ดีกว่า  แต่พอลีนก็เรียนเรื่องการยอมฟังผู้นำ   ทั้งการอดทนด้วยความยินดี  รอเวลาของพระเจ้า  เธอมาประเทศจีนได้เพียงปีเดียวก็ทราบข่าวว่าคุณแม่จากไปอยู่กับพระเจ้า เพราะโรคหัวใจวาย  ในความเศร้า  พอลีนดีใจที่รู้ว่าฝันของคุณแม่เรื่องเธอ  เป็นจริง

 

                                     

 

เริ่มงานมิชชั่นารีครั้งแรก

 

               จากซีฟู  พอลีนย้ายไปอยู่ที่นานกิง  ซึ่งเป็นเมืองหวงของจีนตอนนั้น  ผู้คนอพยพ  หนีคอมมิวนิสต์เข้ามาอยู่ในเมืองนี้มาก  กว่า ล้านคน   ที่นี่  มิสซิสหยู  คริสเตียนชาวจีนน่ารัก ช่วยสอนภาษาจีนให้เธอ   ที่นานกิง  พอลีนมีโอกาสได้สอนภาษาอังกฤษ  จากพระคัมภีร์  หลายชั้น  โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้ามาเรียนที่บ้านเธอ “ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังเป็นมิชชั่นนารีเต็มตัว”  เธอเริ่มสนุกกับชีวิตการเป็นมิชชั่นนารีที่นี่   ปี 1948 คอมมิวนิสต์กำลังปลุกปั่นนักศึกษาอย่างหนัก  แต่งานสอนนักศึกษาของพอลีนก็ยังคงคืบหน้าไป  จนกระทั่งวันหนึ่งสถานทูตสหรัฐซึ่งย้ายไปอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ก่อนแล้ว   มีคำสั่งให้ชาวอเมริกันทุกคนย้ายออกจากนานกิง   “จบกันแค่นี้หรือ”  พอลีนถามพระเจ้า 


                               

 

ที่เซี่ยงไฮ้  พอลีน ซึ่งมีประสบการณ์ การสอนนักศึกษาที่นานกิง  ก็เริ่มสอนพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษกับนักศึกษาที่นี่ด้วย  “ไม่นาน  นักเรียนของฉันเริ่มหายหน้าไป  เพราะติดประชุมการเมืองในโรงเรียน” 13 ธันวาคม  1950  คณะ ซี ไอ เอ็มต้องเดินทางออกจากประเทศจีนอย่างเป็นทางการ  รวมเวลาที่พอลีนอยู่ในจีนในช่วงที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเวลา 4 ปี เธอทำคู่มือเฝ้าเดี่ยวมอบให้นักศึกษาก่อนที่เธอจะออกมา  

 

                งานยิ่งใหญ่กว่าที่ไต้หวัน

 

                แม้พอลีน มิอาจทำงานที่จีนแผ่นดินใหญ่ได้ออกต่อไป  หลังจากกลับมาเยี่ยมคุณพ่อชราที่อายุ 80 ปี เธอได้กลับไปเป็นมิชชั่นนารี ที่ไต้หวัน ในปี 1952  สอนพระคัมภีร์ภาษาจีนกลาง ที่เมืองไทจุง  ที่นี่เธอตั้งสถาบันสอนพระคัมภีร์ระยะสั้นแก่หนุ่มสาว  พระเจ้าตรัสกับเธอว่า “สิ่งที่เธอต้องทำมีอยู่สิ่งเดียว  คือรักพวกเขา  ให้เขารู้ว่ามีคนหนึ่งรักและห่วงใยพวกเขา”  เธอจัดค่ายอนุชนประจำปีให้แก่คริสตจักรพระคุณ  ซึ่งต่อมาก็ขยายเป็นประชุมใหญ่ ของ คริสเตียนไต้หวันทั้งหมด เธอทำงานกับนักศึกษาในมหาวิทยาลัย โดยการศึกษาพระคัมภีร์  จัดประชุมสามัคคีธรรม   


                   

 

และการให้คำปรึกษา  เธอทำงานหนักกับกลุ่มย่อยต่าง ๆ  ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย  พวกหนุ่มสาวที่เธอฝึกฝนหลายคนเป็นผู้นำ เป็นผู้ให้คำปรึกษา  นโยบายเปิดบ้าน ของเธอ  ใช้กันในคริสตจักรที่เมืองไทจุง อย่างกว้างขวาง  เธอทำงานกับเด็กจรจัดในเมือง แม้เธอมิได้แต่งงาน  แต่พวกเด็ก ๆเรียกเธอว่า “คุณยาย ฮาน” แก๊งวัยรุ่น  8 แก๊งที่เคยยกพวกตีกัน  หันมาจับมือกันช่วยปกป้องเธอ  


             

 

เมื่อรัฐบาล ตั้งโรงเรียนสอนเด็กวัยรุ่นขึ้นที่  แถวชานเมืองชานฮัว  ผู้ว่าฯ  ขอให้เธอสอนเด็กวัยรุ่นที่นั่น  เธอขอท่าน 4  ข้อ (1) ดิฉันต้องใช้พระคัมภีร์ (2) ขอไม่บันทึกประวัติอดีตเด็กเหล่านี้ (3) เด็กต้องมั่นใจว่า  ดิฉันเก็บความลับพวกเขาได้  (4)  ไม่ขอรับเงิน  เธอว่า  “ดำเนินโดยความเชื่อ  คือ วางใจ ไม่เฉพาะเรื่องเงิน หรือการทรงนำ  แต่วางใจเมื่อพบปัญหายุ่งเหยิง” ชั้น ภาษาอังกฤษของเธอคือชั้นสอนพระคัมภีร์  พระเจ้าได้ใช้พอลีน สร้างรากฐานก็หนุ่มสาวชาวจีนไต้หวัน  เกินกว่าที่เธอคิดฝัน

 

  เธอกลับไปอยู่ที่อเมริกา เมื่ออายุ  63 ปี   จากไปอยู่กับพระเจ้าในปี 1978 ก่อนที่เธอจากไป เธอบันทึกข้อความว่า  “อะไรก็ตามที่ฉันมอบถวายให้พระองค์  พระองค์ทรงประทานคืนกลับให้ดิฉัน ร้อยเท่า”  



Visitor 185

 อ่านบทความย้อนหลัง